ทางตอนเหนือของทวีปไท่เซวียน มองสุดลูกหูลูกตาไปทางใดก็เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
สถานที่แห่งนี้มีหุบเขาหิมะสูงชันและอยู่ในขอบเขตการดูแลของนิกายเซียนโม่เหมิน
ณ ตำหนักโม่เหมิน ทุกคนเดินออกไปแล้วจึงเหลือเ้านิกายโม่เหมินอยู่เพียงลำพัง
ในเวลานี้เองกระจกแสงเหนือตำหนักสว่างขึ้น มีเสียงของผู้สูงวัยดังออกมาจากกระจก “สามปีผ่านไปแล้ว มีข่าวของผู้สืบทอดสำนักเทียนกงหรือไม่”
“เรียนท่านผู้เฒ่าโม่ มีข่าวส่งมาจริงๆ”
โม่จงกล่าวอย่างนอบน้อม “วันนี้เพิ่งได้รับข่าวว่า จู่ๆ ในทะเลล่วนซิงก็ปรากฏะเิเพลิงอัสนีกับลูกปัดเพลิงอัสนีจำนวนมาก ได้ยินมาว่าสร้างโดยฝีมือคนที่ชื่อไป๋เฮ่อ”
“ไป๋เฮ่อหรือ? คนผู้นี้มีประวัติเช่นไร?”
เมื่อได้ยินคำถามของผู้เฒ่าโม่ โม่จงรีบกล่าวอธิบายว่า “ผู้สืบทอดที่หายตัวไปในปีนั้นมีนามว่าจั๋วอวิ๋นเซียน และตราประทับของตระกูลจั๋วก็มีรูปร่างเป็กระเรียน ดังนั้น ‘กระเรียนขาว ไป๋เฮ่อ’ คนนี้เป็ไปได้ว่าจะเป็คนที่เรากำลังตามหา”
“ดีมาก! เขาอยู่ที่ใด?”
“คนคนนี้อยู่เกาะสามเซียน”
“หืม? เกาะสามเซียนหรือ?”
ผู้เฒ่าโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “จากที่ข้ารู้มา เกาะสามเซียนค่อนข้างมีอิทธิพลในทะเลล่วนซิง ด้วยอิทธิพลของนิกายเซียนโม่เหมิน เกรงว่าคงมิอาจสั่งให้เกาะสามเซียนมอบตัวคนได้กระมัง!”
โม่จงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่าโม่กล่าวมิผิด เกาะสามเซียนได้รับพลังของลูกปัดเพลิงอัสนีมา ตอนนี้กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนมีเค้าลางว่าจะกลายเป็ขั้วอำนาจอันดับหนึ่งของทะเลล่วนซิง หากอยู่ในทวีปไท่เซวียนพวกเราไม่จำเป็ต้องหวาดกลัว แต่กลับกันในทะเลล่วนซิงมีขั้วอำนาจมากมาย ความสัมพันธ์ซับซ้อน นิกายเซียนโม่เหมินทำสิ่งใดมากมิได้”
ผู้เฒ่าโม่เงยหน้ากล่าวว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็ส่งผู้แข็งแกร่งระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ไปคนหนึ่งและใช้กำลังจับเขากลับมา”
โม่จงจิตใจสั่นไหว จากนั้นถามต่อว่า “เช่นนั้นผู้เฒ่าโม่คิดว่าควรส่งผู้ใดไปจะเหมาะสมหรือ?”
“ทะเลล่วนซิงฆ่าฟันกันไม่ขาดสาย ส่งโอวหยางไปแล้วกัน”
“โอวหยางหรือ?”
โม่จงอดตะลึงมิได้ เขาเผยสีหน้าลำบากใจ “แต่เขาคือนักโทษของโม่เหมินที่ถูกกักขังมานานหลายปี หากปล่อยออกไป เกรงว่าผลลัพธ์จะมิอาจคาดเดาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้พันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์มาหาเื่พวกเรา”
“เช่นนั้นก็ให้เขาสร้างผลงานชดใช้ความผิด”
ผู้เฒ่าโม่ตัดสินใจไปแล้ว เขาจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ “ไม่ว่าจะเป็ไป๋เฮ่อหรือจั๋วอวิ๋นเซียนก็ต้องนำตัวกลับมา ศาสตร์วิชาสำนักเทียนกงจะปล่อยให้เผยแพร่สู่คนนอกมิได้เด็ดขาด”
โม่จงขมวดคิ้ว “เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับเกาะสามเซียนเล่า?”
คนคนเดียวจัดการง่าย แต่หากจะกำจัดขั้วอำนาจสักแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะขั้วอำนาจที่อยู่ในสถานที่อย่างทะเลล่วนซิง แทบจะเป็ไปมิได้
ผู้เฒ่าโม่กล่าวอย่างมิใส่ใจ “ความโกลาหลกำลังมา เกาะสามเซียนไม่น่าเป็ห่วง จะมีคนไปจัดการพวกเขาเอง”
เมื่อกล่าวจบผู้เฒ่าโม่ก็จากไป กระจกแสงจึงดับตามไปด้วย
โม่จงมีสีหน้าเยือกเย็น สายตาของเขาค่อยๆ มืดมนมากขึ้น
……
ณ เมืองซานเซียน บรรยากาศในตอนนี้คึกคักมาก
เมื่อเื่การแย่งชิงเหมืองแร่จบลงแล้ว เกาะสามเซียนจึงเริ่มพัฒนาอย่างเข้าที่เข้าทาง กลุ่มการค้าของขั้วอำนาจต่างๆ ทยอยพากันมาที่นี่ บางคนมาทำการค้า บางคนมาสืบหาข้อมูล จึงทำให้เจริญรุ่งเรืองกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
ส่วนทางด้านจั๋วอวิ๋นเซียนยังคงเก็บตัวเงียบ เขาค่อยๆ หายไปจากสายตาของทุกคน แทบจะไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น ในเวลาปกตินอกจากสร้างลูกปัดเพลิงอัสนีแล้ว เวลาที่เหลือหากมิใช่อ่านหนังสืออยู่หอตำราหลางฮ้วน ก็สอนศาสตร์วิชาของสำนักเทียนกงอยู่ที่สำนักศึกษา
สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือเื่ที่ในที่สุดฉินตงหวู่ก็ทะลวงคอขวด กลายเป็ผู้บำเพ็ญเซียนระดับหลอมิญญา
เมื่อเหมยซิงหงเห็นว่าฉินตงหวู่มีพร์ไม่ธรรมดาจึงคิดจะรับเป็ศิษย์ แต่ฉินตงหวู่ติดค้างบุญคุณของจั๋วอวิ๋นเซียน ดังนั้นนางไม่อยากจากไปจนกว่าเขาจะหายดี
เมื่อเป็เช่นนี้ เหมยซิ้งหงก็มิได้คิดจะบังคับฉินตงหวู่ กลับมอบสถานะศิษย์ในนามให้อีกฝ่าย ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต่างจากคนอื่น
เดิมทีฉินตงหวู่ยังรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่หลังจากจั๋วอวิ๋นเซียนโน้มน้าวแล้วนางถึงได้ยอมรับ
อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ จั๋วอวิ๋นเซียนก็เช่นกัน หากสามารถหาที่พึ่งพิงให้ฉินตงหวู่ได้ ก็ไม่เสียทีที่พวกเขาได้รู้จักกัน
สำหรับตัวของเขาเอง กำลังเริ่มเตรียมตัวหลอมรวมเข้ากับิญญาอัสนี เขารู้ว่าความสงบของทะเลล่วนซิงเป็เพียงเวลาชั่วคราวเท่านั้น หลังจากเกาะสามเซียนสั่งสมพลังได้ระดับหนึ่งแล้ว จะเกิดพายุความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้น
อีกทั้งตอนนี้ลูกปัดเพลิงอัสนีปรากฏในทะเลล่วนซิง ก็หมายความว่าเกาะสามเซียนมีศาสตร์วิชาสำนักเทียนกงอยู่ในมือ นิกายเซียนโม่เหมินไม่มีทางยอมปล่อยเขาไปแน่
เมื่อความขัดแย้งรุนแรงถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีศัตรูที่แข็งแกร่งปรากฏตัวมากขึ้น
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่คิดว่าเกาะสามเซียนจะเป็ที่พึ่งของเขาได้ตลอด และไม่คิดว่าพวกเหมยซิ้งหงจะปกป้องเขาไปได้ตลอดชีวิต เส้นทางของเขาต้องพึ่งตัวเอง พลังจากภายนอกไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็พลังจากภายนอก มิใช่สิ่งที่ยั่งยืนและมิใช่วิถีของจั๋วอวิ๋นเซียน
……
ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิด บรรยากาศเงียบสงบ
หลังจากจั๋วอวิ๋นเซียนกลับมาถึงห้อง เขานั่งลงบนเตียงอย่างยากลำบาก
จากนั้นสะบัดแขนเสื้อดับไฟตะเกียง รอบด้านก็มืดสนิท
“เปรี๊ยงๆ!”
จิตสำนึกของจั๋วอวิ๋นเซียนจมเข้าไปภายในจิตใจ จากนั้นปรากฏตัวในทะเลจิตสำนึก ที่นี่ยังคงมีสายฟ้ากะพริบไหวไม่ขาดสาย
กระเรียนเซียนบินวนด้านข้างดอกบัวั์ ส่วนใต้ตราประทับดอกบัวก็คือต้นกำเนิดของสายฟ้า ‘ิญญาอัสนี’ ถึงแม้จะถูกสะกดเอาไว้หลายปี แต่เขายังคงไม่สามารถทำลายสติปัญญาของมันได้
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ั้แ่การต่อสู้เมื่อสามปีก่อน ิญญาของเทียนเสียก็มิเคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย ไม่ว่าจั๋วอวิ๋นเซียนจะค้นหาอย่างไร ก็มิอาจรับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้ เหมือนกับสลายหายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่จั๋วอวิ๋นเซียนััได้อย่างเลือนรางว่า ิญญาของเทียนเสียต้องมิได้หายไปอย่างแน่นอน อาจจะเข้าสู่สภาวะหลับลึก หากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ต้องเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงแน่
เดิมทีแผนการของจั๋วอวิ๋นเซียนคือค่อยๆ หลอมรวมกับิญญาอัสนี แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มีอันตรายจากทั้งภายในและภายนอก เวลากระชั้นชิดยิ่งนัก เขาจึงต้องลองเสี่ยงอันตราย เพื่อเพิ่มพลังของตัวเองให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นเมื่ออันตรายมาถึง เขาจะไร้กำลังตอบโต้
……
ทุกสรรพชีวิตต่างมีสติปัญญาของตัวเอง
หลอมรวมเจ็ดจิต กำเนิดวิชา
ยิ่งหลอมิญญาแข็งแกร่ง วิชาก็ยิ่งแข็งแกร่ง สิ่งนี่ก็คือจุดสำคัญในการบำเพ็ญเซียนของระดับหลอมิญญา
แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตที่ต่างกันย่อมมีพร์ไม่เหมือนกัน หลังจากหลอมิญญาแล้วความพิเศษของวิชาจะแตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกหลอมิญญาทุกครั้งล้วนสำคัญมาก ทางที่ดีที่สุดคือเลือกให้เหมาะสมกับวิทยายุทธ์ที่ฝึกหรือคุณสมบัติของร่างกาย มิเช่นนั้นอาจจะเสียโอกาสได้
มนุษย์มีสามิญญาเจ็ดจิต หมายความว่าชั่วชีวิตของผู้บำเพ็ญเซียนอย่างมากที่สุดสามารถปลุกพร์ได้สามครั้ง หลอมรวมดวงจิตได้เจ็ดชนิด หลังจากนั้นวิชาจะเกิดการวิวัฒนาการกลายเป็เทวยุทธ์ ก้าวข้ามขีดจำกัด เพื่อเปิดประตูเซียน
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่นี่มิได้หมายความว่าผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนจะสามารถหลอมรวมได้อย่างสมบูรณ์
ความจริงแล้วผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ชั่วชีวิตจะปลุกพร์ได้เพียงครั้งเดียว มีพร์หนึ่งอย่าง ผู้บำเพ็ญเซียนที่ปลุกพร์จากิญญาสองดวงอย่างจั๋วอวิ๋นเซียน อาจมิได้มีเพียงเขาผู้เดียว ทว่าั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบันก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
และเจ็ดจิตหลอมิญญาก็เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของดวงิญญาด้วย ยิ่งิญญาแข็งแกร่งก็ยิ่งหลอมรวมเจ็ดจิตได้มากขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาจะหลอมได้เพียงหนึ่งถึงสองจิตเท่านั้น คนที่มีพร์ระดับกลางจะหลอมได้สามถึงสี่จิตเท่านั้น คนที่หลอมรวมได้ห้าจิตหกจิตจะนับว่ามีพร์ระดับสูง ดังเช่นบุตรแห่ง์ในทำเนียบบุตร์
สำหรับคนที่เปิดเจ็ดจิตได้ทั้งหมด มีพร์ระดับสูงสุด คนเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก
……
พลังที่สั่งสมมาสามปี เพื่อวันนี้เพียงวันเดียว
จั๋วอวิ๋นเซียนมีจิตใจยึดมั่น เขาทานผลหยินหยางเข้าไปในคำเดียว จากนั้นล่อลวงิญญาอัสนี หลอมรวมเข้ากับจิตดวงที่หนึ่ง
