ภายใต้ฤทธิ์ของลูกกวาด พลังิญญาที่แผ่ซ่านทั่วร่างของลู่เต้าแปรเปลี่ยนเป็สีแดงเพลิง ไม่ต่างอะไรกับเปลวไฟที่ลุกโชนแผดเผา
ลู่เต้ารู้สึกเผ็ดร้อนจนหน้าแดงก่ำ น้ำตาไหลพราก ลิ้นราวกับถูกใครดึงออกมาทุบตี ก่อนยัดกลับเข้าไปในปาก ทุกวินาทีล้วนเ็ปเหมือนถูกตะปูเหล็กที่ขึ้นสนิมตอกทะลุ
“ทุกสิ่งล้วนมีราคาของมัน” ไป๋เสียถอนหายใจภายในร่างพลางกล่าวอย่างจนใจ “แต่ก่อนลูกกวาดนี้ข้าปรุงขึ้นมาเพื่อเข้าไปในแดนเหมันต์ หากอยู่ในแดนเหมันต์อันหนาวเย็น ฤทธิ์ร้อนจะช่วยป้องกันความหนาวได้ ส่วนอากาศหนาวเย็นก็ช่วยลดความร้อน ลดผลข้างเคียงจากการเพิ่มพลัง แต่อยู่ในอุณหภูมิปกติ ความร้อนจะกลายเป็ภาระให้ร่างกาย”
เมื่อเห็นท่าทางทรมานของลู่เต้า ฉิวหมัวก็ร้อนใจขึ้นมา อยากช่วยแต่ก็จนปัญญา
ลู่เต้ากำหมัดแน่นพลางแลบลิ้น พยายามจะหาน้ำมาดับความเผ็ดร้อน แต่กลับถูกไป๋เสียห้ามไว้ “ฤทธิ์ของลูกกวาดอยู่ได้ไม่นาน หากไม่รีบใช้ประโยชน์ตอนนี้ พอความเผ็ดหายไป อิทธิฤทธิ์ก็จะหมดไปด้วย”
คราวนี้เขาลำบากใจขึ้นมาแล้ว ด้านหนึ่งร่างกายก็อยากหาน้ำมาดับเผ็ด อีกด้านหนึ่งก็ไม่อยากเสียเวลาอันมีค่า มิเช่นนั้นความเ็ปที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปคงกลายเป็ความทรมานอันเปล่าประโยชน์
ลู่เต้าแลบลิ้นที่เ็ป พลันลังเลใจ เหงื่อกาฬไหลอาบใบหน้า สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจกัดฟัน ก้าวเดินอย่างมั่นคง โอบก้อนหินขนาดั์เอาไว้ท่ามกลางพลังิญญาสีแดงที่ห่อหุ้ม
ส่วนหงฝูที่อยู่อีกฟากของก้อนหิน ตอนแรกยังคงเป็ห่วงลู่เต้า ไม่รู้ว่าเขาเป็อย่างไรบ้าง ฮูหยินตระกูลหงก็ยกยิ้มมุมปากจงใจเอ่ยเสียงดัง “เงียบไปนานขนาดนี้ คงจะหนีไปแล้วกระมัง”
“เป็ไปไม่ได้ ไม่มีเหตุผลให้ท่านผู้มีพระคุณต้องหนี” หงฝูยังคงเชื่อมั่นว่าลู่เต้าคือผู้ฝึกตนในดวงใจอย่างแน่นอน เขาหันไปถามหงฮวาที่อยู่ข้างๆ “เ้าว่าเช่นนั้นหรือไม่”
หงฮวาก็พยักหน้าอย่างมั่นใจเช่นกัน
ฮูหยินตระกูลหงเหลือบมองทั้งสองคนด้วยสายตาเหยียดหยาม หันไปพูดกับคนรับใช้ข้างกาย “เ้าไปดูหลังก้อนหินซิว่ามันคิดเล่นอะไรกันแน่”
“ขอรับ ฮูหยิน” คนรับใช้ถือไม้เท้าคำทักทายอย่างนอบน้อม
จากนั้นคนรับใช้ก็ส่งสายตาให้กับอีกสองคนเป็เชิงว่าให้ตามมา ทั้งสามคนจึงถือไม้เท้าเตรียมเดินไปทางหลังก้อนหิน
ทว่าขณะที่ทั้งสามกำลังเข้าใกล้ ก็มีคลื่นความร้อนพัดกระทบ ก้อนหินเคลื่อนไหวสั่นะเือย่างรุนแรง ก่อนจะลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายไปทั่วปิดบังทัศนวิสัยของทุกคน
หงฝูและคนอื่นๆ ใช้แขนเสื้อปิดปากและจมูก ไอค่อกๆ ท่ามกลางฝุ่นควัน คนรับใช้ทั้งสามกำไม้เท้าแน่น สีหน้าเคร่งเครียดราวกับเผชิญหน้าศัตรู
จากนั้น ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่ที่ถูกพัดพาไปกับสายลมค่อยๆ จางหายไป และเงาของก้อนหินขนาดั์ทาบลงบนม่านหมอกที่เบาบางลงเรื่อยๆ เมื่อมองแวบแรกราวกับลอยอยู่กลางอากาศ แต่เมื่อสังเกตดีๆ จะพบว่ามีร่างของเด็กหนุ่มอยู่ใต้ก้อนหิน ใช้เพียงแขนเดียวก็ยกก้อนหินขึ้นเหนือหัวได้อย่างง่ายดาย
ใบหน้าของลู่เต้าแดงก่ำ แต่ริมฝีปากกลับซีดเผือด เขายกหินขึ้นแสร้งทำเป็สงบนิ่งพลางยิ้มถาม “รออยู่นานแล้ว ไม่ทราบว่าฮูหยิน้าย้ายก้อนหินไปไว้ที่ใด”
ฮูหยินถึงกับตาค้าง ตกตะลึงจนพูดไม่ออก นางคาดไม่ถึงว่าเด็กนี่จะยกหินหนักห้าร้อยชั่งได้จริงๆ แถมยังใช้แขนเพียงข้างเดียวอีกด้วย
ความเ็ปที่ลิ้นยังคงอยู่ แต่ลู่เต้ารู้สึกได้ว่าฤทธิ์ของลูกกวาดเริ่มอ่อนลง จึงเร่งถาม “ฮูหยิน?”
ฮูหยินถูกเรียกถึงสองครั้งก็ยังไม่ตอบ สุดท้ายคนรับใช้ต้องเดินเข้าไปเรียกข้างๆ นางถึงได้สติกลับมา ชี้ไปที่ว่างในสวนด้วยนิ้วที่สั่นเทา “วะ...วะ...วางตรงนั้นก็ได้”
ลู่เต้าวางก้อนหินในมือลงตรงตำแหน่งที่ฮูหยินชี้ ส่งเสียงดังตึ้ง! สนั่นหวั่นไหว ทุกคนในจวนต่างก็รู้สึกได้ว่าพื้นสั่นะเืเล็กน้อย
“เฮ้อ” ลู่เต้าแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะความเ็ปที่ลิ้นได้หายไปแล้ว เปลวไฟที่แผดเผาอยู่รอบกายก็กลับกลายเป็ไอน้ำใสๆ หากช้ากว่านี้อีกนิด ลูกกวาดอาจจะหมดฤทธิ์ก่อน แล้วตนก็จะถูกก้อนหินทับแบนอยู่ข้างล่าง
“ครู่เดียวเอง! เพียงสิบลมหายใจเองกระมัง แถมยังปวดแสบปวดร้อนลิ้นเช่นนี้ ดูท่าว่าก่อนใช้แต่ละครั้งต้องไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนแล้ว” ลู่เต้ารู้สึกท้อแท้ ลองใช้ฟันกัดลิ้นเบาๆ ดูเหมือนลิ้นตนจะไม่รู้สึกอะไรไปแล้ว
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรง แขนขาก็ยังอ่อนปวกเปียกอีกด้วย หากไม่ใช้ความมุ่งมั่นประคองไว้ ลู่เต้าคงทรุดลงกับพื้นไปแล้ว
ถึงกระนั้นลู่เต้าก็ยังคงแสร้งทำเป็สงบนิ่ง บีบนวดบ่าพลางยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าฮูหยินยังมีสิ่งใดให้รับใช้หรือไม่”
“เอ่อ...ข้า...” ฮูหยินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะตอบอย่างไรดี แต่ถึงอย่างไรนางก็คือฮูหยินใหญ่ของหอเงินตระกูลหงแห่งเมืองัทมิฬ เคยผ่านโลกกว้างมาพอสมควร ในไม่ช้านางก็ตั้งสติได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอขอบพระคุณท่าน ไม่มีแล้วเ้าค่ะ”
“ไม่มีแล้วหรือ” ลู่เต้าซ่อนมือที่สั่นเทาไว้ข้างหลังพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
กล่าวจบลู่เต้าก็เดินไปทางเรือนรับรองโดยมีพี่น้องหงคอยคุ้มกัน ก่อนจากไปหงฝูก็ไม่ลืมหันไปมองฮูหยินด้วยสายตาเย้ยหยัน จนนางโกรธเืขึ้นหน้า แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
“หลับฝันดีเ้าค่ะ” ฮูหยินมองส่งลู่เต้าและคนอื่นๆ จากไปด้วยรอยยิ้มฝืดเฝือน
“เ้าเด็กนี่...มันไปหาผู้ฝึกตนมาช่วยได้จริงๆ หรือ” ฮูหยินพูดอย่างแค้นเคือง
“ฮูหยิน” สาวใช้เห็นฮูหยินไม่สบายใจ จึงคิดจะปลอบ
เพี้ยะ!
ฮูหยินที่โกรธจนเสียสติตบหน้าสาวใช้จนหงายหลัง แล้วชี้นิ้วด่าทอ “ใครอนุญาตให้เ้าพูด!”
สาวใช้กุมใบหน้าบวมแดงล้มลงไปกับพื้น สิ่งแรกที่ทำหลังจากลุกขึ้นคือ คุกเข่าขอร้องฮูหยิน “ฮูหยิน ขออภัย ข้าผิดไปแล้ว...”
เมื่อเห็นสาวใช้คุกเข่าขอร้อง ฮูหยินก็รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก คลายความโกรธลงไปมาก นางที่ไม่สนใจสาวใช้เดินจากไป พลางพึมพำเบาๆ “หึ ต่อให้เก่งกล้าแค่ไหน ก็ไม่ใช่คู่มือของท่านแม่ทัพติงอันอยู่ดี”
ระหว่างทางกลับห้อง หงฝูดีใจจนยิ้มหน้าบาน ต้องรู้ก่อนว่าั้แ่ฮูหยินใหญ่เข้ามาอยู่ในจวน เขากับหงฮวาก็ตกที่นั่งลำบาก ครั้งนี้ลู่เต้าช่วยเขาได้มากทีเดียว
เมื่อนึกถึงตอนที่ลู่เต้ายกก้อนหินขึ้นมา และท่าทางตะลึงงันพูดไม่ออกของฮูหยินใหญ่ หงฝูก็รู้สึกอารมณ์ดียิ่งราวกับความอัดอั้นในอกได้ถูกปลดปล่อยออกมา
“ท่านผู้มีพระคุณ ขอบคุณท่านที่ช่วยข้า!”
หลังจากฤทธิ์ของลูกกวาดหมดลง ลู่เต้าไม่เพียงแต่รู้สึกว่าแขนขาอ่อนปวกเปียกเท่านั้น เปลือกตายังหนักอึ้ง เขาพยายามฝืนลืมตาขึ้นยิ้มตอบ “เื่เล็กนิดเดียว ข้าทานอาหารของท่านมามากมายเช่นนี้ ก็สมควรทำแล้ว”
หงฝูถึงกับน้ำตาคลอตื้นตันใจ “สมกับเป็ผู้ฝึกตนผู้สูงส่ง หากเป็คนอื่นตอนนี้คงต้องเอ่ยปากขอเงินข้าแล้ว”
ลู่เต้าที่เหนื่อยล้าอย่างที่สุดหาวหวอดออกมา หงฝูเห็นว่ากลับมาถึงหน้าเรือนรับรองแล้วจึงเอ่ยอย่างรู้ความ “เช่นนั้น ท่านผู้มีพระคุณพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้หลังจากท่านตื่นแล้ว ข้าจะมาเยี่ยมใหม่”
หงฝูคำนับลู่เต้าอย่างนอบน้อม ก่อนจะพาหงฮวาจากไป และในตอนนั้นเองที่หงฮวาได้สบตากับลู่เต้า แต่เพียงแค่สบตากัน ทั้งสองก็รู้สึกร้อนหน้าผะผ่าวจนต้องรีบหลบสายตา
หลังจากกลับมาถึงเรือนรับรอง ลู่เต้าก็ขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงใหญ่ ไป๋เสียจึงโผล่ออกมานั่งลงข้างเตียง ในมือยังถือผลไม้สีทองที่ดูคุ้นตาเอาไว้
