“ไหลลาคือใครเหรอ?” อี้สี่ถาม อี้สี่และเฉินเจี้ยนฉวินนำวัตถุดิบเข้าตู้เย็นด้วยกัน จากนั้นก็จัดโต๊ะเตรียมของสำหรับมื้อเย็นในตอนเย็น เหลือเวลาพักผ่อนอีกประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเขาทั้งสองนั่งอยู่บริเวณที่นั่งแขกพูดคุยกัน “คุณไม่รู้จักไหลลาเหรอ เป็ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของจ่านเฟิง สามารถพูดได้เลยว่าเธอคือเ้านายของพวกเรา” เฉินเจี้ยนฉวินพูด ซ่งจื่อฉีและหลัวจ้งซีเดินผ่านประตูเข้ามา ตามมาด้วยผู้หญิงสองคน คนหนึ่งผมยาวสลวยสวมแว่นตา ดูอ่อนโยนและสง่างาม อีกคนมัดผมหางม้าดูเป็ผู้ใหญ่ ดูเ็าและค่อนข้างฉลาดเฉลียว “สองคนนั้นเป็ใครคะ?” อี้สี่อดถามไม่ได้ หลัวจ้งซีเผยยิ้มเต็มหน้า กำลังหัวเราะหยอกล้อกับหญิงสาวที่สวมแว่น ดูไม่มีความเบื่อหน่ายเลย แม้ว่าจะมองเพียงครั้งเดียวแต่อี้สี่ก็รู้สึกว่าในแววตาของหญิงสาวผู้นั้นมีทั้งความรักความและความชื่นชมอยู่
เฉินเจี้ยนฉวินมองดูแล้วก็พูดว่า “คนที่สวมแว่นตาเหมือนจะเป็พนักงานการตลาด และดูเหมือนจะชื่อถีน่า ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ ส่วนอีกคนคือคุณเพ่ยจวนจากฝ่ายจัดซื้อ”
“ปกติพวกเขาอยู่ที่ไหนกันเหรอ?”
“ทุกคนจะอยู่ที่ออฟฟิศน่ะ เลยไม่ค่อยได้เจอกัน จริงๆ แล้วก็ผมรู้จักเขาแค่ชื่อ ไม่สนิทกันเท่าไหร่”
“ออฟฟิศ?”
“ออฟฟิศอยู่ตึกใกล้ๆ นี้เอง พื้นที่ในร้านมีความสำคัญมาก ออฟฟิศจะไม่อยู่ที่นี่” เขาพูด
อี้สี่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แสร้งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คุณหลัวกับถีน่าสนิทกันมากหรือเปล่า?”
“เขาก็เป็แบบนั้นกับทุกคนนะ” เฉินเจี้ยนฉวินตอบพลางเปิดดูโทรศัพท์ เขาดูแตกต่างไปจากที่เห็นในห้องครัวอย่างสิ้นเชิง ดูผ่อนคลายมาก คนจากส่วนหน้านำแก้วและเหยือกชาเย็นเข้าไปในห้อง การประชุมคงจะต้องใช้เวลาสักครู่
“ปกติพวกเขาประชุมกันแบบนี้นานมากไหม?” อี้สี่ถาม
“บางทีอาจจะหารือพูดคุยกันถึงเมนูของฤดูกาลหน้า ยังไงซะมันก็ไม่ใช่เื่ของพวกเรา” เฉินเจี้ยนฉวินตอบอย่างไม่ใส่ใจ จู่ๆ อามีก็เดินเข้ามาหาเขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเรา วันนี้ฉีเสี่ยวิ่เข้างานตอนเย็นนะ!”
“ได้ยินแบบนั้นแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีเลย ผมจะหาที่กินยามดึกว่าไปไหนดี!” ดวงตาของเฉินเจี้ยนฉวินเป็ประกายและเริ่มปัดโทรศัพท์เพื่อค้นหาร้านอาหารทันที อามีพูดว่า “ฉีเสี่ยวิ่ไม่ได้บอกว่าเธออยากจะออกไปข้างนอกกับคุณ แต่ถ้าคุณชวนฉันไปด้วย ฉันจะลากเธอไปที่นั่นเอง”
“เงินเดือนของคุณพี่สาวอามีได้เท่าไหร่ ผมได้เท่าไหร่เอง คุณช่างไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว” เฉินเจี้ยนฉวินคร่ำครวญ
เฉินจั่วชวนเองก็ส่งเสียงขึ้นมาว่า “ผมก็อยากไปด้วย พี่ฉวินเลี้ยงทั้งที จะไม่ไปได้ยังไงกัน”
อาเฉียงที่เดิมทีกำลังเล่นเกมมือถืออยู่ เมื่อได้ยินความวุ่นวายตรงที่นี้ก็เอ่ยแทรกเข้ามาด้วย “เสี่ยวเฉิน ฉันบอกนายเลยนะว่า ของฟรีนั้นมีค่ามากที่สุด นายอย่าโง่สิ อย่าไปอย่าหลงกลคนพวกนี้ นายไปกินข้าวกับฉีเสี่ยวิ่ไม่ได้หรอก!”
“เชฟ! ไม่ใช่นะ! ผมก็แค่อยากไปกินข้าวด้วยกันกับทุกคนต่างหาก อี้สี่เองก็ไปด้วยใช่ไหม?” เฉินเจี้ยนฉวินรู้สึกอับอายกับคำพูดของอาเฉียง จึงบังคับลากอี้สี่ให้ไปด้วย เพื่อที่จุดประสงค์ของเขาจะได้ไม่ได้ชัดเจนมากนัก แม้ว่าทุกคนจะรู้แล้วก็ตาม อี้สี่ไม่ตอบตกลงหรือปฏิเสธ ด้วยไม่รู้ว่าวันนี้หลัวจ้งซีจะมีประชุมจนถึงกี่โมง แต่เธอก็ยังคงมีความคาดหวังภายในใจอยู่บ้าง
คืนวันเสาร์ลูกค้ามีเยอะมาก ซึ่งแน่นอนว่าธุรกิจก็ย่อมต้องดำเนินไปได้ดีมาก เพียงแต่ลูกค้าในวันเสาร์ต่างก็มีบรรยากาศที่ง่ายๆ สบายๆ และเนื่องจากพรุ่งนี้มีเข้างานอีกวันหนึ่งก็จะได้หยุดพักแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกเร่าร้อน ซึ่งนี้คือท่าทีของพนักงานก่อนวันหยุด โชคดีที่มีลูกค้าเยอะ ดังนั้นเวลาทำงานจึงไม่ใช่เื่ที่ทรมานนัก โดยอีกไม่นานก็ได้เวลาปิดร้านแล้ว
อี้สี่ยังคงให้ความสนใจกับห้องที่จัดประชุม สงสัยว่าการประชุมจะสิ้นสุดลงตอนไหน บางครั้งประตูจะเปิดออกและมีคนออกมาเข้าห้องน้ำ หรือหลัวจ้งซีทนกับความอยากบุหรี่ไม่ไหวเลยเดินออกไปสูบบุหรี่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่นาน ในที่สุดอี้สี่ก็เห็นไหลลาออกมายืดกล้ามเนื้อโดยเดินดูไปรอบๆ ร้าน คางของเธอเชิดขึ้นให้ความรู้สึกเย่อหยิ่งไม่อาจขัดขืนได้ เธอมองดูคืนวันเสาร์ที่วุ่นวายด้วยสีหน้าภาคภูมิใจและพึงพอใจ ดวงตาของเธอกวาดสายตามองทุกคนทั้งที่อยู่ด้านในและนอกห้องครัว เมื่อทุกคนเห็นเธอก็เกร็งเครียดมาก อี้สี่รู้สึกประหลาดใจนักที่พบว่าไหลลาเป็หญิงสาวสวยผมสีน้ำตาลที่อยู่กับซ่งจื่อฉีในวันนั้น เธออยากรู้อยากเห็นมาก แต่เนื่องจากไหลลาเป็เ้านาย เธอจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไป
ในที่สุดร้านก็ปิด ทว่าพวกเขาก็ยังคงประชุมกันอยู่ อี้สี่ต้องไปทานอาหารเย็นกับทุกคน แม้ว่าทุกคนอยากจะแกล้งเฉินเจี้ยนฉวิน แต่ทุกคนก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ก่อนกินข้าวทุกคนก็พากันไปเซเว่นอีเลฟเว่นเพื่อกดเงิน จากนั้นก็ไปร้านอาหารข้างทางราคาถูกแต่เปิดจนดึกดื่น เมื่อทุกคนไปถึงที่ร้าน ซึ่งฉีเสี่ยวิ่เองก็ตามมาด้วย ทุกคนก็สั่งอาหารมาสองสามอย่างพลางพูดคุยกันขณะที่ดื่มเบียร์ไปด้วย และด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ จินอิ๋นก็กลายมาเป็หัวข้อการสนทนา อาจจะเพราะเขาสนิทกับทุกคนดี แล้วก็ไม่อยู่ตรงนี้ด้วย
อามีรินเหล้าให้อี้สี่ ทำท่าทางซุบซิบเอ่ยถามเหมือนเฉินเจี้ยนฉวินเมื่อตอนเช้าว่า “วันนั้นเป็ยังไงบ้าง? ฉันหมายถึงวันที่งานจัดเลี้ยงจบลง เราเพิ่งขนของเสร็จก็เห็นเธอกับจินอิ๋นออกไปด้วยกัน”
“บังเอิญไปทางเดียวกันน่ะค่ะ ก็เลยนั่งแท็กซี่ไปด้วยกันก็แค่นั้นเอง” อี้สี่ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยจริงๆ
“คำตอบนี้เห็นได้ชัดว่ายิ่งพูดยิ่งรู้ว่าไม่ใช่แบบนั้น” เฉินจั่วชวนพูด
อี้สี่ยักไหล่ “ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรไปพวกคุณก็ไม่เชื่อฉันอยู่ดี” พูดตามตรง อี้สี่เองก็ถือว่าหน้าหนาเช่นกัน เธอเอ่ยพูดคำโกหกได้อย่างหนักแน่น
“ไม่มีทาง อีกฝ่ายคือจินอิ๋นนะ” อามีพูด
“การกระทำที่ร่ำลือของเขาคืออะไรงั้นเหรอคะ?” อี้สี่เริ่มอยากรู้อยากเห็น
เมื่ออี้สี่เอ่ยถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับการกระทำของจินอิ๋น ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออก เหมือนไม่มีอะไรจะพูด แต่อามีที่อยู่มานานที่สุดสามารถเล่าได้นิดหน่อย “ก่อนหน้านี้เขาเคยคบกับเ้านายคนหนึ่ง ต่อมาเ้านายคนนั้นก็เริ่มป่วย ลาพักงาน และลาออกจากงานไปเปิดร้านอาหาร”
“ฟังดูไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยนี่”
“หลังจากนั้นเขาก็เป็ผู้เชี่ยวชาญในด้านการเก็บแต้ม ทั้งเด็กฝึกงานแล้วไหนจะลูกค้าก็ล้วนอยู่ได้ไม่นาน เขามีวิธีการที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนกับเพลย์บอยคนอื่นๆ เขาเก่งกาจมาก ไม่เคยมีใครมาสร้างปัญหาและไม่มีใครคอยมารังควานเขาเลย พวกผู้หญิงที่ช่างพูดบางคนมักจะชื่นชมจินอิ๋นเสมอ ซึ่งมันก็ไม่แปลก เขาแทบจะเป็ไอดอลของผู้ชายทุกประเภทเลย” อามีพูดด้วยดวงตาที่สดใส ในคำพูดมีความชื่นชมแฝงอยู่ จริงๆ แล้วที่พูดถึงเขาได้ขนาดนี้ อาจเป็เพราะว่าอามีชื่นชมในตัวจินอิ๋นเหมือนกัน!
เฉินจั่วฉวนร้องคร่ำครวญขึ้นมาทันที “ผมอยากเป็คนแบบนั้นจริงๆ นะ พระเ้า ต้องทำไงถึงจะไม่ดูขี้แพ้ได้!”
“ในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอกนายก็ไม่สามารถเทียบกับจินอิ๋นได้แล้ว” เฉินเจี้ยนฉวินใช้โอกาสโจมตี อี้สี่คิดเกี่ยวกับมันแล้วก็พบว่ามันน่าสนใจ เมื่อมองย้อนกลับไป จินอิ๋นเองก็น่ายกย่องชื่นชมเช่นกัน อันที่จริงเขาเอาใจใส่ผู้หญิงมากในทุกๆ ด้าน หรือถ้าจะเรียกเขาว่าเพลย์บอย เขาเองก็เคยพูดไว้ทำนองว่าแค่ทักไลน์มา เขาก็จะปรากฏ
หลังจากที่หัวข้อของเื่จินอิ๋นทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้น ทุกคนก็เริ่มชนแก้วกับเฉินเจี้ยนฉวินและฉีเสี่ยวิ่ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะให้เฉินเจี้ยนฉวินช่วยรินเหล้าให้ฉีเสี่ยวิ่แล้วก็คีบอาหารต่างๆ ให้ ตามที่คาดไว้อามีเป็หัวหน้างานเบื้องหน้าเธอจึงสังเกตผู้คนได้ดีมาก เธอดูแลทุกคนอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้ฉีเสี่ยวิ่ต้องอับอาย หลังจากรับประทานอาหารร้านนี้แล้ว อี้สี่ก็รู้สึกว่าฉีเสี่ยวิ่ไม่ได้รังเกียจเฉินเจี้ยนฉวินเลย อาจพูดได้ว่าดูสนใจนิดหน่อยด้วยซ้ำ เธอยอมรับการดูแลต่างๆ จากเฉินเจี้ยนฉวินด้วยความเต็มใจ
เมื่อเวลาเกือบเที่ยงคืน โทรศัพท์ของฉีเสี่ยวิ่ก็ดังขึ้น เธอเดินออกไปข้างนอกเพื่อรับสาย ในกรณีนี้อย่างดีที่สุดก็คือที่บ้านโทรมา ส่วนที่แย่ที่สุดก็คือแฟนหนุ่มเป็คนโทรมาหา เมื่อเห็นเฉินเจี้ยนฉวินคอยยืดคอชะเง้อมองโดยพยายามดูการแสดงออกของฉีเสี่ยวิ่ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอกประตู อี้สี่ก็พบว่าหลัวจ้งซีส่งไลน์มาบอกเธอ “ผมอยู่ในรถที่จอดอยู่ข้างนอก รถสีน้ำเงิน ออกมาเร็ว!”
ไม่แน่ใจว่าหลัวจ้งซีรู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่นี่ แต่อี้สี่รู้สึกมีความสุขมาก เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอย แต่ก่อนที่จะเดินออกไป อี้สี่ก็มีน้ำใจมาก เธอส่งเงินให้เฉินเจี้ยนฉวินเป็จำนวนหนึ่งพันหยวน “ฉันจะจ่ายมื้อนี้เอง”
“มันไม่ได้แพงขนาดนี้เลยนะ!” เฉินเจี้ยนฉวินเอ่ยพูดเบาๆ
“ถ้ามันมากไป ครั้งหน้าคุณก็ค่อยเลี้ยงฉันอีก” เธอพูด เธอรู้ดีว่าเงินเดือนพนักงานในครัวไม่สูงมากนัก ทุกคนต่างก็ทำงานหนัก และด้วยกังวลเกี่ยวกับหน้าตาของเฉินเจี้ยนฉวิน อี้สี่จึงได้มอบให้เขาเป็การส่วนตัว
มีรถสีน้ำเงินอยู่นอกประตูจริงๆ มันเป็ยี่ห้อธรรมดาๆ นี่เป็ครั้งแรกที่อี้สี่ได้เห็นรถของหลัวจ้งซี ตอนนี้เธอไม่ได้คิดอะไรมากทำเพียงะโขึ้นรถอย่างมีความสุข ขณะนั้นเองฉีเสี่ยวิ่ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ก็บังเอิญเห็นเธอเดินเร็วๆ หายเข้าไปในรถเข้าพอดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้