ณ เรือนโฉวงจี๋
“น้องหก...น้องหก...” หลี่หลินวิ่งมาถึงเรือนโฉวงจี๋ แต่ถูกองครักษ์หน้าประตูขวางเอาไว้
“คุณหนูใหญ่” สีหน้าขององครักษ์เกรงใจยิ่ง แต่กิริยาขวางกั้นนั้นไม่ได้ลดลง โหวเหฺยเคยสั่งไว้ว่า หากไม่มีคำสั่งจากเขาใครก็เข้าไปในเรือนโฉวงจี๋ไม่ได้
หลี่หลินวิ่งมาด้วยความร้อนใจ หายใจหอบ หน้าอกทั้งสองของนางกระเพื่อมขึ้นลง นางเจริญเติบโตได้ดี องครักษ์ไม่ทันระวังมองเห็นเข้า จึงรีบเคลื่อนย้ายสายตาไปทางอื่น “รบกวนบอกน้องหกที ข้ามีเื่ด่วน” หลี่หลินพูดอย่างเกรงใจ
“คุณหนูใหญ่โปรดรอสักครู่” หลังจากองครักษ์เข้าไปก็ออกมาทันที “คุณหนูใหญ่ โหวเหฺยเชิญขอรับ”
“ขอบคุณมาก”
หลี่หลินยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไป เสี่ยวฟางติดตามอยู่ด้านหลัง
หลี่ลั่วกำลังอ่านหนังสือ หนังสือแพทย์ที่หมอเทวดาเมิ่งมอบให้เขาทำให้เขาตื่นเต้นยิ่งนัก นี่เป็วิชาแพทย์ที่ไม่เหมือนกับการแพทย์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเื่ของการแนะนำตัวยา ในความเป็จริงแล้วหลี่ลั่วไม่ค่อยแตกฉานเกี่ยวกับเื่ยา สิ่งที่เขาถนัดคือด้านศัลยกรรม ยามนี้สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนโบราณอย่างลึกซึ้ง จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร
หลี่ลั่วมีพร์ในการเรียนแพทย์สูงอยู่แล้ว ใช้วิธีการอ่านหนังสือของคนในยุคปัจจุบันย่อมจดจำและรวบรวมความรู้ได้ดีกว่าคนในสมัยโบราณ และคนในสมัยโบราณนั้นอาศัยเพียงการท่องจำเพียงอย่างเดียว ทำให้ไม่คล่องแคล่ว ดัดแปลงไม่ได้ ด้วยจิติญญาอายุยี่สิบกว่าปีของหลี่ลั่ว จึงรู้มานานแล้วว่าจะจับประเด็นสำคัญได้อย่างไร
ระยะนี้นอกจากที่ขาดการลงมือทำจริงแล้ว ความรู้ทางทฤษฎีนั้นเขาอ่านไปแล้วร้อยละแปดสิบ ที่จริงความรวดเร็วเช่นนี้แม้แต่หมอเทวดาเมิ่งเต๋อหลางก็ยังคาดไม่ถึง หากเป็เื่ทฤษฎีไม่ว่าจะถามเขาในส่วนใด หลี่ลั่วล้วนตอบออกมาได้หมด ทำให้เมิ่งเต๋อหลางรู้สึกว่าเป็เื่ยากนักในรอบร้อยปีที่จะได้พบเจอกับอัจฉริยะ จึงได้ตระเตรียมเสื้อคลุมสำหรับเขาเพื่อสืบทอดต่อจากตน
แม้จะเป็เช่นนี้ แต่เมิ่งเต๋อหลางกลับไม่ได้รับหลี่ลั่วเป็ศิษย์ ข้อแรก ตัวหลี่ลั่วเองนั้นคือความมหัศจรรย์ ข้อสอง ตัวหลี่ลั่วเองนั้นแตกฉานเื่การแพทย์อยู่แล้ว ไม่ใช่เขาเป็ผู้พร่ำสอนมาเพียงผู้เดียว ดังนั้นผลงานในส่วนนี้เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้อสาม ยามที่พูดคุยเื่ความรู้ทางการแพทย์กับหลี่ลั่ว เขามักจะรู้สึกว่าคำพูดและความรู้ของหลี่ลั่วเสมอเท่าเทียมกับตนเอง เป็อย่างที่หลี่ลั่วเคยพูดไว้ ระหว่างพวกเขามีเพียงความถนัดทางการแพทย์ที่ไม่เหมือนกัน
“น้องหก เ้ารีบไปช่วยท่านแม่เร็วเข้า” หลี่หลินพูดด้วยความรีบร้อน
หลี่ลั่ววางหนังสือลง เห็นดวงตาทั้งคู่ของหลี่หลินแดงก่ำ “ท่านแม่เป็อันใดไปเล่า?”
“ท่านแม่ถูกท่านย่าลงโทษ คุกเข่าอยู่ในเรือนของท่านย่า ต้องคุกเข่าสองชั่วยาม” หลี่หลินกล่าว
อะไรกัน? อยู่จวนโหวลงโทษเ้าบ้านฝ่ายหญิงของจวนโหวคุกเข่าสองชั่วยาม นี่ถือว่าเป็การตบหน้าหลี่หยางซื่อ หรือก็คือเป็การตบหน้าเรือนที่สองของพวกเขา ตบหน้าของจวนโหวใช่หรือไม่? เพราะหลี่เหล่าไท่ไท่นั้นอาศัยการรักษาไข้ฟื้นตัวเข้ามาอยู่อาศัย พูดไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือแขก ช่างเป็ผู้ที่แก่แล้วไม่ควรเคารพเสียจริง ยิ่งมายิ่งไม่ได้ความแล้ว หลี่ลั่วะโลงจากเก้าอี้ “ไป”
หลี่ลั่วเดินออกไปจากห้องหนังสือ ลวี่ผิงที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรอปรนนิบัติรับใช้หลี่ลั่วในยามปกติรีบติดตามมา ตามด้วยซินเป่า เมื่อออกจากเรือนไป องครักษ์ทั้งสี่ที่เป็เวรในวันนี้ก็ได้ติดตามไปด้วย รวมหลี่หลินและเสี่ยวฟางด้วยแล้ว คนทั้งเก้าคนเดินไปเป็ขบวนใหญ่โตมุ่งหน้าสู่เรือนว่านโซ่ว
อากาศในเดือนสิบเริ่มเย็นลงเล็กน้อย หากตามสภาพอากาศในยุคปัจจุบันแล้วควรจะเป็เดือนสิบเอ็ด นี่กลับเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เสื้อตัวบางตัวเดียวไม่พอแล้ว นี่ต้องคุกเข่าสองชั่วยามเท่ากับสี่ชั่วโมง อาหารเช้าก็ยังไม่ได้กิน หากต้องคุกเข่าต่อไปเช่นนี้ คนทนไม่ไหวไม่ว่า แต่หัวเข่ายังเอาได้อีกหรือไม่
หลี่ลั่วไม่อยากให้จวนโหวมีเ้าบ้านฝ่ายหญิงที่ต้องนอนแบ็บอยู่บนเตียงคนไข้ หลี่หงและหลี่หลินเป็หัวหน้าครอบครัวไม่ได้ ภรรยาของหลี่หงยังไม่แต่งเข้ามา จะเป็เช่นใดยังไม่รู้แน่ชัด และการที่ภรรยาของหลี่หงเป็หัวหน้าครอบครัวกับหลี่หยางซื่อเป็หัวหน้าครอบครัวย่อมไม่เหมือนกัน หญิงสาวนั้นมักจะเอนเอียงไปหาสามี จิตใจและสายตาไม่กว้างพอ เ้าบ้านฝ่ายหญิงของจวนโหวจึงจำต้องเป็เพียงหลี่หยางซื่อเท่านั้น และยังต้องเป็เช่นนี้ไปอีกหลายปี
“มารดา” หลี่ลั่วเดินมาถึงเบื้องหน้าหลี่หยางซื่อ
“เ้ามาได้อย่างไร?” หลี่หยางซื่อถาม นางเห็นอาภรณ์ที่หลี่ลั่วสวมอยู่นั้นบางอยู่สักหน่อย แล้วเมื่อหันไปมองหลี่หลินที่ยืนอยู่ข้างกายเขา ก็รู้ทันทีว่าเกิดอันใดขึ้น “เ้าออกมาไยไม่สวมเสื้อคลุมเล่า โดนความเย็นเข้าจะทำเช่นใด?”
“ข้าออกมาเพียงครู่หนึ่งอาจถูกความเย็นได้ หากมารดาคุกเข่าตลอด่เช้าพรุ่งนี้จะเข้าวังไปคารวะยามเช้าได้อย่างไรเล่า?” หลี่ลั่วหันไปพูดกับจี้หมัวมัว “ส่งเหล่าฮูหยินกลับเรือน แล้วเชิญท่านหมอมาด้วย ให้ท่านมาตรวจดูขาของเหล่าฮูหยินให้ดี ห้ามมีผิดพลาดเด็ดขาด”
“เ้าค่ะ”
จี้หมัวมัวรีบเข้าไปประคองหลี่หยางซื่อลุกขึ้น แต่หลี่หยางซื่อกลับลังเล “ลั่วเกอเอ๋อร์ นาง...อย่างไรเสียนางก็เป็ผู้ใหญ่ หากว่า...”
“มารดาไม่จำเป็ต้องกังวล” หลี่ลั่วตัดบทคำพูดของนาง “หากวันนี้ขาของท่านมีปัญหาเพียงเล็กน้อย พรุ่งนี้สิ่งที่จะแพร่งพรายออกไปก็คือเหล่าไท่ไท่กระทำทารุณต่อภรรยาม่ายของลูกเลี้ยง ชื่อเสียงของเหล่าไท่ไท่ต้องมัวหมอง ่ก่อนเพิ่งจะเกิดเื่ที่สัตว์เดรัจฉานสกุลหยวนได้ก่อเอาไว้ ซึ่งก็ทำให้ชื่อเสียงของเหล่าไท่ไท่เสียหายไปอยู่แล้ว ท่านกตัญญูต่อเหล่าไท่ไท่ จึงรู้จักคิดแทนนาง”
หลี่หยางซื่อถูกหลี่ลั่วลืมตาใสพูดเป็คุ้งเป็แควอย่างเก่งกล้า ฟังแล้วโง่งมไปเลยทีเดียว แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว การจะต่อสู้กับหลี่เหล่าไท่ไท่ที่เป็คนหน้าไม่อายเช่นนี้ก็คือต้องมีหน้ามีตากว่านางจึงจะยิ่งดี
นางเป็สะใภ้ต่อต้านไม่ได้ หลี่ลั่วเป็ว่าที่พระชายาฉีอ๋อง ทั้งยังเป็เ้าของจวนโหว ย่อมไม่กลัวหลี่เหล่าไท่ไท่จะทำลายชื่อเสียงของเขา นี่คือเหตุผลข้อแรก เด็กน้อยอายุห้าขวบย่อมไม่สนใจชื่อเสียง เด็กผู้ชายเมื่อเล็กๆ นั้นล้วนดื้อซนทั้งสิ้น ข้อสอง หลี่ลั่วนั้นถูกอบรมสั่งสอนจนโตมาโดยฝ่าา กล้าพูดว่าชื่อเสียงเขาไม่ดี เช่นนั้นมิใช่กำลังตบหน้าฝ่าาอยู่หรือไร?
เช่นนี้แล้วหลี่หยางซื่อจึงวางใจลงได้ “เ้าต้องระวังหน่อย อย่าได้ปล่อยให้เพียงแค่คนที่ไม่สำคัญมาทำลายชื่อเสียงของตนเอง” ชื่อเสียงข้างนอกของหลี่ลั่วนั้นดียิ่ง คำพูดที่เขารับมือกับหยวนข่ายหน้าประตูจวนครั้งนั้นถูกกล่าวขานร่ำลืออยู่เป็เวลานาน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเหล่าทหารนายพลอยู่ในเรือนยิ่งจดจำเขาได้ดีเป็อย่างยิ่ง ทหารไม่อยู่บ้านเป็เวลานาน ภรรยาและลูกๆ ที่บ้านน่าสงสารอยู่แล้ว หากทหารสละชีพเพื่อแผ่นดิน ลูกกำพร้าภรรยาม่ายในเรือนยังต้องถูกผู้คนรังแก นี่มิใช่ให้พวกเขาตายตาไม่หลับใช่หรือไม่?
“ท่านแม่โปรดวางใจ” พูดแล้ว หลี่ลั่วก็เดินเข้าไปในห้อง
เื่นอกห้องนั้นหลี่เหล่าไท่ไท่รู้แล้ว มีคนนำความมาบอกในห้องทันที ดังนั้นเมื่อหลี่ลั่วเข้ามานั้น หลี่เหล่าไท่ไท่จึงรู้ว่าหลี่หยางซื่อกลับไปแล้ว ทั้งยังรู้ว่าหลี่ลั่วมาเพื่ออันใด
นางมีสายตาเ็าแต่ไม่ได้พูดอันใด
หลี่ลั่วไม่เกรงใจนางเช่นกัน “ถอยออกไปให้หมด” เขาพูดเสียงเย็น
สาวใช้มองหลี่เหล่าไท่ไท่
ไม่รอให้หลี่เหล่าไท่ไท่สั่งการ หลี่ลั่วก็พูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “จวนโหวของข้าไม่ต้อนรับบ่าวที่ไม่เชื่อฟัง หากต้องให้ข้าพูดเป็ครั้งที่สอง เช่นนั้นก็คือไสหัวออกไปซะ”
เหล่าสาวใช้หัวใจหดรัด รีบเอ่ยขึ้น “เ้าค่ะ” ไม่มีเวลาสนใจว่าหลี่เหล่าไท่ไท่จะอนุญาตหรือไม่ เื่ของหยวนข่ายยังมีให้ดูเป็ตัวอย่าง อีกฝ่ายเป็หลานชายของเหล่าไท่ไท่ กลับโยนออกไปจากจวนทั้งอย่างนั้น ชีวิตของบ่าวอย่างพวกเขายิ่งไม่ไร้ค่ายิ่งกว่าหรือ
หลี่เหล่าไท่ไท่เห็นหลี่ลั่วราวกับเห็นภัยพิบัติ ใช้คำว่ากตัญญู คำว่าท่านย่ามาข่มขู่ ฐานะของผู้ใหญ่ล้วนไร้ประโยชน์ อยู่ต่อหน้าหลี่ลั่ว ไม่ว่าจะเป็กฎเกณฑ์ใดๆ ล้วนกลายเป็สุนัขผายลม เมื่อคราวที่เขาขับไล่ครอบครัวหยวนเฉิงออกไปนั้นไม่ได้คำนึงถึงหน้านางแม้แต่น้อย ยามนี้หยวนข่ายตายแล้ว ต่อหน้าหลี่เหล่าไท่ไท่ไม่ได้พูดอันใด แต่ในใจนั้นโกรธแค้นเขาแทบตาย
ครอบครัวหยวนเฉิงกลับบ้านเกิดไปแล้ว เมืองหลวงไม่มีที่ให้พวกเขาอยู่อีกต่อไป เมื่อคิดถึงลูกชายของตนที่คนผมหงอกต้องมาส่งคนผมดำ หลี่เหล่าไท่ไท่คิดอยากจะบีบคอหลี่ลั่วให้ตายนัก
“ลั่วเกอเอ๋อร์นับวันยิ่งน่าเกรงขาม บ่าวรับใช้ในเรือนเหล่านี้ล้วนฟังคำสั่งของเ้า” หลี่เหล่าไท่ไท่พูดจาส่อเสียด
“เป็เหล่าไท่ไท่ที่สอนมาดี รู้ว่าพวกเขาอยู่ในจวนโหวเป็เพียงแขกที่ผ่านมา ดังนั้นจึงเข้าใจกฎเกณฑ์ของจวนโหวดี พูดขึ้นมาแล้ว ยังต้องขอบคุณเหล่าไท่ไท่ ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อมาถึงจวนโหวแล้วต้องอบรมสั่งสอนใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของข้า เกรงว่าพวกเขาจะรับไม่ไหว” หลี่ลั่วกล่าว
หลี่เหล่าไท่ไท่หรี่ตา
หลี่ลั่วอ้าปากหัวเราะ “หลี่เหล่าไท่ไท่รู้กฎเกณฑ์ของข้าหรือไม่?”
หลี่เหล่าไท่ไท่เงียบขรึมไม่พูดจา
“ในเมื่อไม่รู้ ข้าจะพูดรอบหนึ่งก็ไม่เห็นเป็ไร” หลี่ลั่วไม่แยแสปฏิกิริยาของนาง “สถานที่ของข้า ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ต้องยึดข้ามาก่อน คนเช่นข้ารำคาญความยุ่งยาก หากรบกวนมาถึงข้า ข้าชมชอบที่สุดก็คือไม่พบไม่เห็นถือเป็ความสงบอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าขอเพียงแค่ไม่ต้องมารบกวนข้า ตนเองหามุมสักแห่งจะมีความสุขเพียงใดข้าย่อมไม่ใส่ใจ”
“ฮึ” หลี่เหล่าไท่ไท่ร้องเสียงเย็น
“หากเหล่าไท่ไท่รู้สึกว่าเมื่อมาอยู่จวนโหวแล้วไม่สบาย ย่อมย้ายกลับไปจวนสกุลหลี่ได้” หลี่ลั่วกล่าวอีก
“เ้าอกตัญญู...”
“อกตัญญูอันใดหรือ?” หลี่ลั่วย้อนถาม “เหล่าไท่ไท่มีบุตรชายแท้ๆ สองคน ทั้งยังมีหลานชายและหลานสาวแท้ๆ ของตน ั้แ่เมื่อใดกันที่้าให้ข้าซึ่งเป็บุตรชายของลูกเลี้ยงมาแสดงความกตัญญู”
“เ้า...”
“ถ้าหากหลี่เหล่าไท่ไท่ไม่อยากถูกขับไล่ออกไปให้ตกต่ำไม่น่าดู ก็อยู่กับที่อย่างสงบกับชีวิตในบั้นปลายเสีย” หลี่ลั่วกล่าวอีกว่า “ได้ยินว่าท่านอาสามผู้รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นเก้าออกทะเลไปซื้อสินค้าแล้ว อย่าให้เหตุเพราะความเห็นแก่ตัวของเหล่าไท่ไท่ทำให้เขาเดือดร้อน” หลี่ลั่วกลับจวนโหวมาห้าเดือน ยังไม่เคยเจอหน้าหลี่ฮ่าวเลย ก่อนหน้าที่หลี่ลั่วจะกลับจวนโหวนั้นหลี่ฮ่าวออกทะเลไปแล้ว “แต่โดยปกติขุนนางของราชสำนักห้ามทำการค้า และในระหว่างการเดินทางออกทะเล การตายกลางทะเลย่อมเป็ไปได้สูง หากเหล่าไท่ไท่เบื่อหน่ายเพราะไม่มีอันใดทำ ก็ควรเข้าห้องพระสวดมนต์ท่องพระธรรมวอนขอให้ท่านอาสามกลับมาอย่างปลอดภัยจึงจะดี”
“หลี่ลั่ว” สีหน้าของหลี่เหล่าไท่ไท่ดำทะมึนลง เขียวคล้ำ นางมีชีวิตอยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้ว หลี่ลั่วเป็คนแรกที่ทำให้นางโมโห ทั้งยังข่มขู่นาง “เ้าอายุน้อยเช่นนี้ ความสามารถกลับไม่น้อย เรือนที่สองดียิ่ง...ดีจริงๆ ที่กลับให้กำเนิดเ้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน”
“หากเรือนที่สองไม่มีข้า เหล่าไท่ไท่ยังคิดจะเอาทรัพย์สินของเรือนที่สองให้ได้ใช่หรือไม่?” หลี่หลั่วถาม
“เ้าใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น” หลี่เหล่าไท่ไท่โมโหจนอยากจะเขวี้ยงปาถ้วยน้ำชาบนโต๊ะข้ามไป แต่ยังดีที่นางยังพอมีสติ
หลี่ลั่วยิ้มบางๆ “หลานแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง เหล่าไท่ไท่ใจกว้างนัก ยังคงต้องขอให้อภัย ในเมื่อเหล่าไท่ไท่มารักษาตัวเป็เวลาหกปีแล้วยังรักษาไม่หาย เช่นนั้นการคารวะยามเข้าของผู้อื่นก็ให้ยกเลิกให้หมด เพื่อไม่ให้การรักษาตัวของเหล่าไท่ไท่แย่ลง ทั้งยังไม่คุ้มกับที่ผู้อื่นมาพูดว่าฮวงจุ้ยของจวนโหวนั้นไม่ดี หลานไม่รบกวนเหล่าไท่ไท่พักผ่อนแล้ว ขอตัวก่อน” หลี่ลั่วพูดจบก็หันกายจากไป
เท้าของหลี่ลั่วเพิ่งจะออกประตูไป ด้านหลังก็เกิดเสียงถ้วยน้ำชากระทบกับพื้นดังขึ้น หลี่ลั่วหยุดชะงักย่างก้าวลง จากนั้นหันกลับมา “อาการเจ็บป่วยของเหล่าไท่ไท่ยิ่งมายิ่งอาการหนักแล้ว เรี่ยวแรงจะยกถ้วยน้ำชายังไม่มี” หลี่ลั่วพูดแล้วหัวเราะฮิๆ “ได้ยินว่างานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าา ฝ่าาเชิญก่วงฉือไต้ซือมาสวดภาวนา รอพรุ่งนี้หลานจะไปขอฝ่าา เชิญก่วงฉือไต้ซือมาสวดภาวนาให้เหล่าไท่ไท่”
หลี่เหล่าไท่ไท่ครานี้ แม้แต่เรี่ยวแรงจะโต้ตอบก็ไม่มีแล้ว