เมื่อหลินหยางหันหลังกลับมามอง ก็พบว่าภายในโพรงถ้ำขนาดใหญ่นี้กลับมีเ้านกตัวจ้อยขนสีแดงสดนอนอยู่
ตอนนี้มันกำลังนอนเคี้ยวหญ้าอยู่บนต้นหญ้าที่เป็เหมือนที่นอนของมันอยู่แถมมันยังน้ำลายไหลออกมาไม่หยุดอีกด้วย
สิ่งแรกที่หลินหยางคิดคือ
เ้านกนี่ ทำไมพูดภาษามนุษย์ได้เล่า?
หรือว่ามันคือปีศาจ
แต่ก็ดูไม่น่าจะใช่นะ...มันมีปีศาจที่ตัวเล็กกระจ้อยร่อยแบบนี้ด้วยหรือ?
แถมเ้าตัวเล็กนี่ก็พิการอีก เกิดมามีขาแค่ข้างเดียวดูน่าสงสารมากกว่าอีก...
แต่ในขณะที่หลินหยางกำลังเดินเข้าไปหาเ้านกนี่ด้วยความสงสารนั้นความทรงจำส่วนหนึ่งของจักรพรรดิฟ้าก็ไหลเข้าสู่สมองของเขาทำเอาเขายืนอึ้งไปครู่หนึ่งเลยหลังจากนั้นไม่นานก็แย้มยิ้มออกมาด้วยความยินดีสุดขีดโดยไม่ปิดบัง!!
โอ้โห!!
เ้าตัวเล็กนี่คือหนึ่งในสิบสัตว์เทพในตำนาน วิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์- ปี้ฟัง?
อีกทั้งยังถูกจักรพรรดิฟ้าสะกดพลังเทวะของมันเอาไว้แล้วด้วยกลายเป็สัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ของข้าแล้วอย่างนั้นหรือ??
สัตว์เทพเลยนะ!
จากที่เห็นในความทรงจำของจักรพรรดิฟ้านั้น เหล่าสัตว์เทพในตำนานนั้นมีพลังมหาศาลในระดับที่สูงเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะต่อกรได้มีเพียงเหล่าเซียนวิเศษในอดีตเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับพวกมันได้
สัตว์เทพแค่ตัวเดียวก็มีพลังมากพอที่จะทำลายทวีปๆ หนึ่งทิ้งได้แล้วทวีปหวู่ชี่ที่เขาเหยียบอยู่ตอนนี้ไม่มีทางสามารถทนรับเปลวเพลิงอันร้อนแรงของปี้ฟังตัวเต็มวัยได้แน่
แต่ตัวตนที่ทรงพลังในระดับที่สามารถสั่นคลอนโลกมนุษย์ได้ง่ายๆ อย่างสัตว์เทพนี่กลับกลายมาเป็สัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปเสียอย่างนั้น!!
นี่มันเป็เื่ที่น่ายินดีจนแทบคลั่งเลยนะ!!
หลินหยางไม่คิดเลยว่าจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วท่านนั้นจะทิ้งของขวัญสุดล้ำค่าเอาไว้ให้เขาก่อนจากไปด้วย ตัวเขาที่ปกติมักทำตัวสุขุมตอนนี้ยังอดไม่ได้ที่จะะเิรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา
ถึงแม้ว่าเ้าปี้ฟังตัวนี้จะถูกผนึกพลังส่วนใหญ่เอาไว้แล้วก็ตามหลินหยางรู้ว่านั่นคือกฎเหล็กสำหรับการจับสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ สัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์จะแข็งแกร่งกว่าเ้าของมากเกินไปไม่ได้มิฉะนั้นพันธสัญญานายทาสที่ถูกสร้างขึ้นเอาไว้ในส่วนลึกสุดของิญญาจะถูกทำลายทิ้งได้
แต่ถ้าเขาพัฒนาระดับฝีมือของตัวเองไปเรื่อยๆ ละก็พลังของปี้ฟังตัวนี้เองก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามไปเรื่อยๆไม่แน่อาจจะแข็งแกร่งจนกลับไปเทียบเท่าเหล่าสัตว์เทพในตำนานตัวอื่นๆ อีกครั้งก็เป็ได้!!
กำไรบานแน่คราวนี้
เส้นทางล้างแค้นของหลินหยางตอนนี้มีกำลังรบสุดแกร่งเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว
เขายิ้มพลางเดินเข้าไปหาเ้านกน้อยที่นอนอยู่ แล้วค่อยๆ อุ้มตัวตนสุดล้ำค่านี่ขึ้นมาเบาๆแต่ถึงจะพยายามใช้แรงให้น้อยที่สุดแล้วก็ตามแต่สุดท้ายมันก็ใจนตื่นขึ้นมาอยู่ดี
ตื่นซะแล้ว
หลินหยางอยู่ๆ ก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
นี่มันสัตว์เทพเลยนะ!!
ตัวตนที่สามารถสั่นะเืไปถึง์เลยนะ!!
เ้านกน้อยขนสีแดงยกปีกของมันขึ้นมาขยี้ตาปากก็บ่นพึมพำพึมพำออกมา “แม่มันเถอะใครหน้าไหนมันบังอาจมารบกวนตอนข้ากำลังกินหม้อไฟักันเมนูที่อร่อยที่สุดอย่างตับัพึ่งจะถูกเสิร์ฟขึ้นโต๊ะเองแท้ๆ...”
เอ่ออ...
แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของหลินหยางหม่นลงไปเล็กน้อย
สัตว์เทพตัวนี้ทำไมมันดูไม่ค่อยเต็มเต็งซักเท่าไรเลย...
และในจังหวะที่เ้านกน้อยตื่นขึ้นมาอย่างเต็มตาแล้วหันมาเจอหน้าของหลินหยางนั้นมันก็ตื่นตัวขึ้นมาในพริบตา มันรีบบินฟิ้วไปก้มลงกราบอยู่บนมือทั้งสองข้างของหลินหยางอย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้กล้า!!”
“ขอบพระคุณท่านที่ไว้ชีวิตข้า ข้ามีนามว่า หั่วเอ๋อร์ท่านจะเรียกข้าว่าเสี่ยวหั่วก็ได้ นับจากนี้ไปข้าคือคนของท่านแล้วท่านสั่งให้ข้าไปซ้าย หั่วเอ๋อร์ไม่มีทางหันหัวไปขวาเด็ดขาดหรือถ้าท่านสั่งให้ข้าไปย่างน่องไก่ หั่วเอ๋อร์ไม่มีทางแอบไปย่างไตแพะแทนแน่...”
“ท่านผู้กล้า ท่านผู้มีอิทธิฤทธิ์เทียมฟ้า หั่วเอ๋อร์ขอติดตามท่านไปตลอดชีวิตเลย...เอ๋? ไอ้หยา ท่านผู้กล้า ท่านจะสะกดพลังของข้าไว้ทำไมเล่า!! อย่างนี้หั่วเอ๋อร์ก็ย่างน่องแพะให้ท่านกินไม่ได้น่ะสิ!!!!”
แววตาของหลินหยางเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง...
ไอ้บ้าแบบนี้นี่นะสัตว์เทพ!!!!
เขามองดูเ้าสัตว์เทพที่วาจาหยาบคายตัวนี้อย่างอ่อนเพลีย ไม่รู้ว่ามันไปเอาคำพูดพวกนี้มาจากไหน
แต่หลินหยางก็พลันสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
วิหคเทพอัคคี...
รู้แล้วว่าจะเอาไฟิญญามาจากไหน!!
..................................
ตอนนี้ พรรคพวกของหลินหยางก็มี “หั่วเอ๋อร์” ปี้ฟังที่ดูภายนอกไม่ต่างอะไรกับนกสีแดงธรรมดาๆตัวหนึ่งเลย เพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัว
หลังจากที่ทั้งสองได้รู้จักกันแล้วเป็ระยะเวลาสั้นๆทั้งสองต่างก็มีความคิดว่าอีกฝ่ายนั้นดูพึ่งพาไม่ค่อยได้เหมือนกัน
พลังของหลินหยางอยู่ๆ ก็ลดลง อดีตสัตว์เทพรู้สึกสิ้นหวัง
ลักษณนิสัยบ้าๆ บอๆ ของหั่วเอ๋อร์เองก็ทำเอาหลินหยางเคยคิดอยากจะถอนขนของมันออกมาทั้งตัว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พันธสัญญาอสูรศักดิ์สิทธิ์ระหว่างหลินหยางและหั่วเอ๋อร์ก็ไม่สามารถยกเลิกได้แล้วหนึ่งคนกับหนึ่งตัวต้องเริ่มฝึกฝนและเอาชีวิตรอดในเทือกเขาเมฆมรกตภายใต้บรรยากาศที่แต่ละฝ่ายต่างก็ไม่สบอารมณ์อีกฝ่ายเหมือนกันแบบนี้
..................................
ใน่เวลาเดียวกันนั้นเอง ณ เมืองอวิ๋นเฉิงหลังจากที่เหตุการณ์สังหารหมู่นั่นเกิดขึ้น ความขัดแย้งระหว่างตระกูลเวินและตระกูลเฉินก็มาถึงจุดที่ไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
ในวันที่สองหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเวินติ่งเทียนก็ได้รวบรวมคนของตระกูลเวินนับร้อยคนมา แต่ละคนล้วนสวมเสื้อสีขาวบนหัวคาดเอาไว้ด้วยผ้าสีเื พวกเขาพากันมาเรียกร้องความยุติธรรมกันถึงหน้าประตูของคฤหาสน์ตระกูลเฉิน
ชีวิตไถ่ชีวิต เืต้องล้างด้วยเื!!
ตัวอักษรคำว่าโลหิตที่ถูกเขียนขึ้นด้วยเืสดๆ ถูกเชิดขึ้นบนธงที่กำลังโบกสะบัดอยู่ที่หน้าประตูของคฤหาสน์ตระกูลเฉินเวินติ่งเทียนและแม่ทัพตู้ิแห่งกองกำลังพิทักษ์เมืองอวิ๋นเฉิงร่วมมือกันมาเพื่อถามหาความยุติธรรมให้กับทั้งหกสิบแปดชีวิตของตระกูลเวินที่ถูกฆ่าตายไป
แต่เื่ที่ทำให้คนของตระกูลเวินและแม่ทัพตู้ิไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมในครั้งนี้กลับถูกพวกข้าราชการของอาณาจักรชูอวิ๋นขัดขวางด้วยวิธีการที่น่าเกลียดและไร้ยางอายที่สุด
หัวหน้าผู้ดูแลภายในของราชสำนัก หวังิชงได้รวบรวมกำลังทหารของราชวงศ์กว่าสองพันคนมาล้อมรอบกลุ่มคนของเวินติ่งเทียนเอาไว้พร้อมกับบังคับให้สลายตัวภายในสิบนาที ส่วนเหตุผลน่ะหรือ
สร้างความวุ่นวายในที่สาธารณะ ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสังคม
เวินติ่งเทียนโมโหจนแทบจะเป็บ้าอยู่แล้ว
มารดามันเถอะ!! อีกฝ่ายสังหารคนของตระกูลเวินเราไปหกสิบกว่าชีวิตนั่นไม่ส่งผลต่อความมั่นคงบ้างเลยหรือ?
แต่ถึงจะโมโหอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
การฆ่าคนนอกเมืองอวิ๋นเฉิงนั้นไม่ได้อยู่ในความดูแลของราชการแต่ภายในเมืองนั้นไม่อนุญาตให้ใครก็ตามสร้างความวุ่นวายโดยเด็ดขาดเพราะมันจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจักรพรรดิ
ลำเอียงกันชัดๆ
เป็กฎที่เอาไว้ปกป้องพวกตระกูลเฉินชัดๆ
แต่ตระกูลเวินเองก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว....
แม้แต่แม่ทัพตู้ิแห่งกองกำลังพิทักษ์เมืองอวิ๋นเฉิงก็ไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของพวกฝ่ายดูแลกิจการภายในทำได้แค่กัดฟันเกลี้ยกล่อมให้เวินติ่งเทียนยอมถอยออกมาก่อน เขาจะช่วยนำเื่นี้ไปรายงานฝ่ายกองทัพเพื่อขอร้องให้แม่ทัพหู้กั๋วช่วยล้างแค้นให้ตระกูลเวิน
เวินติ่งเทียนโมโหจนหัวแทบจะลุกเป็ไฟ
คนของตระกูลเวินเองก็รู้สึกไม่สบอารมณ์จนอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
และที่ยิ่งทำให้โมโหมากกว่าเดิมก็คือ ในขณะที่คนของตระกูลเวินกำลังจะถอยกลับไปแล้วนั้นประตูของคฤหาสน์ตระกูลเฉินที่ปิดแน่นมาตลอดก็เปิดออกมา
เฉินเย่เซิงเดินออกมาพร้อมกับหัวเราะฮ่าฮ่าใส่เวินติ่งเทียนที่กำลังโกรธจนตัวสั่น
“พี่น้องเวินเอ๋ย ทำไมต้องโมโหขนาดนั้นด้วยเล่า?ไอ้พวกที่ตายมันก็แค่พวกคนรับใช้ระดับล่างเองทำอย่างกับคนที่ตายคือพ่อแท้ๆ ไปได้...ถ้าเ้าเสียใจขนาดนั้นจริงๆ ละก็เดี๋ยวข้ามอบคนใช้หกสิบกว่าคนให้ก็ได้ ดีไหม!!”
ไอ้ชาติชั่ว!!!!
ข้าขอสาปแช่งคนทั้งโคตรของตระกูลแก ไอเฉิ้นเย่เซิง!!!!
เวินติ่งเทียนะเิความพิโรธทั้งหมดออกมาทันทีเขาะเิพลังออกมาอย่างรุนแรงเตรียมจะเข้าไปแลกชีวิตกับเฉินเย่เซิงแล้ว
เหล่านักรบทั้งหกสิบกว่าคนนั่นล้วนเป็มือดีที่เขาชุบเลี้ยงขึ้นมาด้วยตัวเองถังหงและหลิ่วชิงเองก็เป็เพื่อนตายของเขา ถูกคนอย่างมันสังหารอย่างโเี้อำมหิตมาตอนนี้ยังต้องถูกไอ้ชาติหมาเฉินเย่เซิงเหยียดหยามอีก
รังแกกันเกินไปแล้ว!!
์ไม่เห็นจะยุติธรรมเลย!!!!
ทันใดนั้นเหล่าทหารของราชวงศ์นับร้อยคนก็เข้ามายืนคุ้มกันอยู่ตรงด้านหน้าของเฉินเย่เซิงราวกับกำแพงมนุษย์ขวางกั้นตระกูลเวินที่กำลังบันดาลโทสะอย่างเกรี้ยวกราด
“อย่าผลีผลามนะ!! พี่น้องเวิน!!”
ตู้ิพยายามฉุดรั้งเวินติ่งเทียนเอาไว้สุดชีวิต
ถ้าหากเวินติ่งเทียนลงมือตอนนี้ละก็เท่ากับว่าเขาคิดจะต่อต้านผู้ดูแลภายใน ต่อต้านราชสำนักของอาณาจักรชูอวิ๋นความผิดครั้งนี้ร้ายแรงพอที่จะจับกุมคนของทั้งตระกูลเวินได้เลย!!!!
เวินติ่งเทียนกัดฟันแน่นด้วยความโมโหจนมีเืไหลออกมา
ทั้งเวินเทา เวินชิงชิง สองยอดฝีมือระดับเซียนเทียน และเหล่านักการช่างอันดับหนึ่งของเลี่ยนเทียนเฮ่าต่างก็โมโหจนแทบคลั่งเช่นกัน
แม่มันเถอะ ไอ้พวกผู้ดูแลภายในนี่มันบ้าไปแล้วรึไง?
ไม่คิดว่ามันจะไม่สนความผิดถูกถึงขนาดนี้!!!!
มีเพียงแค่เฉินเย่เซิงเท่านั้นที่ยังคงพูดพล่ามอย่างได้ใจออกมาไม่หยุด“พี่น้องเวินเอ๋ยครั้งต่อไปถ้าจะมาหาเื่ข้า รบกวนท่านช่วยเตรียมหลักฐานมาด้วยนะรวมคนออกมาเยอะขนาดนี้ แต่ก็กลับไปแบบมือเปล่าเสียอย่างนั้นตระกูลเวินนี่ดูท่าทางจะว่างมากจนมีเวลามาทำเื่ไร้สาระแบบนี้เชียว!!”
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!
คราวนี้แม้แต่ทหารของราชสำนักบางคนก็ยังทนแทบไม่ไหวแล้ว ไอ้เฉินเย่เซิงนี่ชั่วช้าเกินไปแล้วมันคิดจะทำให้คนคลั่งตายชัดๆ
เวินติ่งเทียนทำได้แค่ชกหมัดใส่รูปปั้นราชสีห์ตรงหน้าประตูคฤหาสน์เฉินจนพังไปตัวหนึ่งจากนั้นก็กัดฟันพาพรรคพวกถอยกลับคฤหาสน์ตัวเองไป
เื่ราวในครั้งนี้เวินติ่งเทียนถูกอำนาจของพวกผู้ดูแลภายในกดดันอย่างหนักทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเวินที่มีประวัติยาวนานนับร้อยปีต้องถูกดูิ่อย่างรุนแรงที่สุดแต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดมากที่สุดคือ...
นี่เป็เพียงจุดเริ่มต้นของยุคมืดของตระกูลเวินเท่านั้น
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา คดีสังหารโหดที่เทือกเขาเมฆมรกตนั้นถูกสรุปว่าเป็การกระทำโดยพลการของเหล่าผู้าุโระดับเซียนเทียนของตระกูลเฉินเท่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเฉินเย่เซิงและตระกูลเลย ราชสำนักจึงออกคำสั่งว่าห้ามตระกูลเวินทำพฤติกรรมที่เป็การล้างแค้นกับตระกูลเฉินโดยเด็ดขาด
และ่เวลาหลายเดือนนับจากนั้นตระกูลเฉินก็ร่วมมือกับตระกูลโอวหยาง โจมตีกิจการของตระกูลเวินพร้อมกัน
เริ่มที่ตระกูลโอวหยางโดยพวกมันได้ติดต่อกับพวกผู้ผลิตวัตถุดิบประเภทหินแร่ อัญมณีโดยเสนอราคาที่สูงกว่าหนึ่งเท่าเพื่อให้พวกเขายุติการผลิตวัตถุดิบให้กับตระกูลเวิน
ถึงแม้ตระกูลเวินจะดำเนินกิจการในอาณาจักรชูอวิ๋นมานานหลายปีเวินติ่งเทียนเองก็เป็คนที่จิตใจดีและปากหวานคนหนึ่งแต่เหล่าพ่อค้าก็มักจะพ่ายแพ้ให้กับกำไรและความโลภกันมากกว่า ในระยะเวลาสั้นๆ แค่สามเดือนก็มีผู้ผลิตรายใหญ่ประมาณสี่ห้ารายที่ลดปริมาณวัตถุดิบที่จะส่งให้กับตระกูลเวิน
ต่อมาก็ถึงที่ของตระกูลเฉินออกโรง
เป้าหมายของพวกมันก็คือเหล่าร้านค้าปลีกของตระกูลเวิน
ตลาดงานช่างของทั้งอาณาจักรชูอวิ๋นนั้น มีมากถึงหกสิบเปอร์จากร้อยส่วนที่ขายสินค้าของตระกูลเวินเฉินเย่เซิงนั้นก็ใช้เวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนใช้ความสามารถด้านการช่างสุดลึกลับและแข็งแกร่งของซ่างกวันเฟยในการผลิตสินค้าคุณภาพดีแต่ราคาถูกออกมาจำนวนมหาศาล
โดยเฉินเย่เซิงเริ่มจากปล่อยให้สินค้าพวกนี้ไหลเข้าสู่ตลาดมืดก่อนเพื่อให้ราคาในตลาดปั่นป่วน ตามด้วยแอบส่งคนออกไปติดต่อกับพวกร้านค้าปลีกอย่างลับๆโดยเสนอสินค้าที่ราคาถูกกว่าตระกูลเวินถึงสองเท่า เมื่อเจอแบบนี้เข้าไปทั้งตลาดงานช่างเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในทันที
าการค้าในเมืองอวิ๋นเฉิงครั้งนี้ดุเดือดเป็อย่างมาก
แต่เดิมนั้นเื่ราวเล็กใหญ่ทั้งหมดในเมืองนั้นจะมีฝ่ายดูแลภายในเป็ผู้ดูแลจัดการแม้แต่กิจการของทั้งสามตระกูลใหญ่เองก็มีการทำสัญญากันไว้แล้วเช่นกันแต่เฉินเย่เซิงในตอนนี้ไม่สนใจสัญญาพวกนั้นอีกต่อไปมันเปิดฉากโจมตีกิจการของตระกูลเวินอย่างไม่ปิดบัง สิ่งเดียวที่มันยังไม่ได้ทำก็คือการสร้างโรงการช่างของตัวเองขึ้นมาเท่านั้น
และขั้นตอนนั้น ถ้าผ่านงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาไปแล้วและได้รับอนุญาตจากฝ่ายดูแลภายในเรียบร้อยแล้วละก็พวกเขาจะดำเนินการสร้างโรงการช่างขึ้นอย่างไม่เกรงใจในทันที
เวินติ่งเทียนที่ต้องรับการโจมตีของสองตระกูลใหญ่พร้อมกันแบบนี้นับเป็่เวลาที่มืดมนและตกต่ำที่สุดในชีวิตของเขาแล้วจริงๆ
แต่ละวันนั้นมีข่าวร้ายส่งมาไม่หยุดราวกับเกล็ดหิมะที่พัดลอยมาจากทุกสารทิศทำเอาเขาหัวหมุนไปหมด เพียงแต่ยังโชคดีที่ว่าตระกูลเวินยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่สองชิ้นที่หลินหยางเหลือทิ้งไว้ให้- ยาหลอมฟ้าและโล่เหล็กอักขระเมฆ
ด้วยความสามารถล้ำสมัยของมันถึงแม้ว่าตระกูลเวินจะกำลังตกที่นั่งลำบากแต่ก็ยังสามารถได้กำไรจากมันในปริมาณที่มหาศาลซึ่งมันทำให้พวกเขายังคงสามารถทนรับการโจมตีทางการค้าจากสองตระกูลนั่นได้นานถึงสามเดือน
พอผ่านไปสามเดือนแล้ว ทั้งสอองตระกูลถึงพบว่าถึงตระกูลเวินจะถูกบีบจนตกอยู่ในที่นั่งลำบากแล้วก็ตามแต่พวกมันก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ทำให้เฉินเย่เซิงรู้สึกไม่พอใจเป็อย่างมาก
ไอ้งูพิษตัวนี้กำลังจะใช้วิธีที่ชั่วช้ายิ่งกว่าเดิมแล้ว
เขาเริ่มเสนอค่าจ้างที่สูงกว่าให้เหล่านักการช่างของตระกูลเวินโดยเสนอให้มากกว่าของตระกูลเวินสองถึงสามเท่า
ด้วยค่าจ้างที่สูงขนาดนี้ทำให้เหล่านักการช่างระดับล่างของตระกูลเวินเลือกที่จะลาออกแต่เหล่านักการช่างระดับสูงนั้นไม่มีใครคิดเปลี่ยนใจแม้แต่คนเดียว
แต่เื่ที่ชั่วช้าไร้ยางอายยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น