ภายในห้องฝึกซ้อมส่วนตัวห้องหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ห้องที่หลินหยางฝึกซ้อมอยู่เวินชิงชิงกำลังฝึกวิชาที่ชื่อว่า “โฉมงามใจพิสุทธิ์” อยู่ในห้องนั้น
มันคือวิชาที่หลินหยางจัดมาให้เวินชิงชิงฝึกโดยเฉพาะไม่ใช่เพราะเขาทนเห็นเวินชิงชิงทนทรมานไม่ได้แต่เป็เพราะจากประสบการณ์ของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วแล้วเพศหญิงไม่ค่อยเหมาะกับรูปแบบการฝึกที่มันป่าเถื่อนขนาดนั้นสักเท่าไร
วิชาโฉมงามใจพิสุทธิ์นั้นมีความสามารถร้ายกาจคล้ายคลึงกับพลังเทพอัคคีแต่วิธีการฝึกไม่เหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ร้ายกาจทรงพลังเท่ากับวิชาเทพอัคคีก็ตาม แต่มันก็สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้เวินชิงชิงรับรู้ถึงพลังฟ้าดินได้มากขึ้น
แต่วิชานี้ก็มีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่ข้อหนึ่งเหมือนกันนั่นก็คือในขณะที่กำลังฝึกอยู่จะถูกพลังหยินหยางของวิชานี้เข้าไปกระตุ้นกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็ความเ็ปแสนสาหัสขึ้นซึ่งเป็ความเ็ปที่คนธรรมดาไม่สามารถทนรับมันได้แน่แต่เวินชิงชิงก็ยังยืนยันที่จะเลือกฝึกวิชานี้
หากมีวิชานี้อยู่เวินชิงชิงจะต้องแข็งแกร่งขึ้นในเร็ววันนี้แน่นอนแต่ระหว่างที่กำลังฝึกวิชาอยู่ก็จะมีบ้างบางคนที่บางทีอาจจะได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเ็ปขึ้นแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
พลังอันแข็งแกร่งย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอแม้แต่หลินหยางเองก็เช่นกัน...
แต่เหล่าหนุ่มน้อยทั้งหลายนี้กลับสังเกตเห็นว่าระหว่างคุณหนูตระกูลเวินและหลินอี้นั้นเหมือนจะมีสายสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่มันดูอธิบายไม่ค่อยจะถูกเสียเท่าไรเกิดขึ้น
ตัวหลินหยางเองหลังจากที่ร่วมกันฝ่าวิกฤติกับเวินชิงชิงจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดที่เทือกเขาเมฆมรกตเมื่อครั้งนั้นแล้วตัวเขาก็ไม่สามารถฟันธงได้แล้วว่าในใจเขายังปฏิบัติกับเวินชิงชิงเป็คนนอกอยู่
แต่สำหรับหลินหยางนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มเกิดความรู้สึกพิเศษขึ้นในใจแล้วเขาก็สามารถแยกมันออกจากเื่สำคัญที่จำเป็ต้องทำได้โดยไม่ปล่อยให้มันมามีผลกระทบกับงานใหญ่
เป้าหมายของหลินหยางในตอนนี้ถือว่าสำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้วนั่นก็คือสามารถพาตระกูลเวินทะยานขึ้นฟ้าจนยิ่งใหญ่ไม่เป็รองใครเป้าหมายต่อไปของเขาก็คือสร้างตำแหน่งอันมั่นคงในอาณาจักรชูอวิ๋นให้ตัวเอง
จากนั้นก็จะเป็ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในแผนการล้างแค้นของเขา... กระชากหน้ากากจอมปลอมของเฉินเฉาเกอออกซะจากนั้นก็ชิงเอาตำแหน่งเ้าชายของเขากลับคืนมา
หลินหยางได้ทราบข่าวเกี่ยวกับจุดจบของตระกูลเฉินเมื่อเช้านี้แล้วเหล่าคนสำคัญของตระกูลเฉินล้วนถูกเนรเทศออกไปตระกูลเฉินนับว่าล่มสลายลงแล้วโดยสิ้นเชิง
เขาถึงกับจินตนาการภาพใบหน้าของเฉินเฉาเกอตอนได้ยินข่าวนี้ออกได้ไม่ยากเลยสีหน้าของมันจะต้องดูโกรธแค้นและคลุ้มคลั่งมากแน่ๆ
แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ!!
หลินหยางไม่มีทางลืมเลยว่าไอ้ชาติชั่วนั่นเคยค่อยๆ ตีสนิทเขาทำให้เขาเชื่อใจ หลอกลวงเอาความลับทุกอย่างของเขาไปจากนั้นมันก็ให้เฉินผิงมาฆ่าเขาทิ้งอย่างโเี้ไร้ปรานี
ความแค้นครั้งนั้นมันได้ฝังลึกลงไปในกระดูกดำของเขาแล้ว
หลินหยางจะใช้วิธีที่อำมหิตที่สุดในการฉีกกระชากหน้ากากจอมปลอมของเฉินเฉาเกอออกมามันจะต้องชดใช้ความผิดที่มันเคยทำไว้กับเขาด้วยวิธีที่ทั้งเ็ปและทรมานแสนสาหัสที่สุด!!
และแน่นอนว่าแค่ตำแหน่งเ้าชายน่ะมันไม่ได้อยู่ในสายตาของหลินหยางเลยสักนิด
เขา้าจะชิงเอาตำแหน่งของตัวเองกลับคืนมาขณะเดียวกันก็เข้าพบกับจักรพรรดิแห่งอาณาจักรชูอวิ๋นอย่างหลินเฮ่ายวนนั่น
นั่นคือความอาวรณ์สุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของเขา
แผนการของหลินหยางนั้น หลังจากที่ได้พบกับพ่อของเขาแล้ว เขาจะทิ้งมรดกบางส่วนของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วเอาไว้ให้อาณาจักรให้ตระกูลเวินเพื่อรับรองว่าพวกเขาจะสามารถยืนหยัดเป็ใหญ่ในทวีปชี่อู่ได้ตราบนานเท่านาน
หลังจากจัดการเื่ทุกอย่างเสร็จเรียร้อยแล้วเขาจะออกเดินทางตามหาเส้นทางสู่ความเป็หนึ่งในวิถียุทธ์ของตัวเอง
ซึ่งเหล่านักรบเกราะดำรุ่นแรกทั้งยี่สิบคนนี้จะเป็กำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดที่หลินหยางจัดเตรียมไว้สำหรับใช้ในการพิชิตเป้าหมายนี้
ถึงแม้ทั้งสิบเก้าคนนี้จะไม่ใช่คนที่มีพร์พิสดารล้ำเลิศอะไรแต่คนที่หลินหยางฝึกฝนด้วยตัวเองนั้น ไม่จำเป็ต้องสนใจเื่พรรค์นั้นอยู่แล้ว
หากเดินตามเขา ก็จะได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของผู้ไร้เทียมทาน
กลับมาที่ปัจจุบันก่อนดีกว่า...
เขาลืมตาขึ้นกวาดมองเหล่าหนอนน้อยน่าสงสารตรงหน้าที่กำลังถูกหั่วเอ๋อร์ไล่กวดจนแทบจะจำพ่อแม่ตัวเองไม่ได้แล้วจากนั้นก็ค่อยๆ ปิดตาลงอีกครั้งโดยคิดว่าจะฝึกพลังต่อแต่จังหวะนั้นเองก็มีน้ำเสียงทีดูสูงวัยดังขึ้นมาจากภายนอกห้องฝึกซ้อมแห่งนี้
เป็เสียงของเวินชง
“ผู้าุโหลินนายท่านสั่งให้ข้าน้อยมาบอกท่านว่า หากท่านว่างแล้วขอเชิญท่านมาที่ห้องเมฆาร่วงโรยหน่อย...องค์ชายสองเสด็จมาถึงแล้ว”
หลินหยางลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
เ้าชายลำดับที่สอง...
พี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง?
หลินหยางรู้สึกสนใจในตัวขององค์ชายสองคนนี้จึงลุกขึ้นยืนพลางก้าวออกไปจากห้องฝึกซ้อมแห่งนี้
..................................
ใน่เวลาเดียวกันนั้นเอง ณ บริเวณคฤหาสน์ของอดีตตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเฉินนั้นมีเกี้ยวขนาดเล็กที่ดูไม่สะดุดตาคันหนึ่งกำลังเคลื่อนผ่านไปช้าๆ
ถ้าตอนปกติละก็ เกี้ยวแบบนี้ไม่มีทางถูกอนุญาตให้เดินบนถนนใหญ่ของตระกูลเฉินแน่นอนแต่ตอนนี้ตระกูลเฉินได้ล่มสลายลงไปแล้ว
ประตูที่ถูกเปิดอ้าทิ้งไว้ บรรยากาศดูเศร้าหมองสุดแสน
มีเหล่าคนใช้กำลังแบกข้าวของของตัวเองออกมาจากในคฤหาสน์อยู่ตลอดเวลาในแววตาของพวกนั้นไม่มีเศษเสี้ยวของความอาวรณ์อยู่เลย
ภายในคฤหาสน์นั้นยังคงได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างปวดร้าวดังออกมา คำที่ดังออกมามากที่สุดก็คือชื่อของเฉินเย่เซิงที่จากไปแล้วนั่นเอง
เกี้ยวเล็กนี่ยิ่งเดินยิ่งช้าลงจนกระทั่งคนแบกเกี้ยวทั้งสองคนสามารถรับรู้ได้ว่าบุคคลผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ข้างในนั้นกำลังตัวสั่น
“องค์ชายขอรับ ท่าน ไม่เป็ไรใช่ไหมขอรับ...”คนแบกเกี้ยวที่อยู่ด้านหลังถามขึ้น
เฉินเฉาเกอที่อยู่ภายในนั้นกำลังกัดฟันตัวเองอย่างแรงดวงตาทั้งสองข้างแทบจะหลั่งออกมาเป็สายเื
เขาเกลียด
เขาทรมาน
ความฝันที่จะได้อาณาจักรชูอวิ๋นของเขาและพ่อกำลังเป็รูปเป็ร่างอยู่แล้วแท้ๆแต่ใครจะคิดว่า ตัวเองที่เพิ่งจะได้เป็เ้าชายในเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีตระกูลเฉินกลับต้องมาลงเอยแบบนี้
และสิ่งที่ยิ่งทำให้เขาเ็ปมากกว่าเดิมคือด้วยตัวตนของเขาในตอนนี้ไม่สามารถออกหน้าช่วยอะไรได้เลยสักเื่เดียว
แม้แต่จะกลับมาดูคฤหาสน์เฉินเป็ครั้งสุดท้าย ยังต้องแอบๆ มาแบบนี้ในใจนั้นรู้สึกเ็ปจนแทบจะทนไม่ไหว แต่กลับบอกให้ใครฟังไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
คนชั่วย่อมต้องถูก์ลงโทษ
คำพูดนี้ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉินเฉาเกอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองและตระกูลเฉินจะต้องร่วงมาอยู่ในจุดๆนี้
ทั้งหมด เป็เพราะตระกูลเวิน!!
เป็เพราะเ้าหลินอี้!!
เฉินเฉาเกอไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาให้เกี้ยวเล็กของเขาค่อยๆ เดินผ่านคฤหาสน์ไปเป็การจากลาที่เ็ปและขมขื่นมากที่สุดในชีวิตเขาในขณะเดียวกันก็เป็การตัดขาดความเป็มนุษย์ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขาออกจนหมดอย่างสิ้นเชิง
ตระกูลเฉินไม่เหลือแล้ว
เฉินเฉาเกอเองก็ได้ตายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ตอนนี้ตัวเขาคือเ้าชายลำดับที่เก้า หลินหยางเขาจะใช้ตัวตนนี้แย่งชิงเอาทุกสิ่งที่เขา้ามาทั้งหมดจากนั้นจะเอาความแค้นทั้งหมดของตระกูลเฉินไปตอบแทนให้หลินอี้ ให้เ้าพวกระกูลเวินมากกว่าเดิมหลายพันหลายหมื่นเท่า!!
เขาจะให้ทั้งอาณาจักรชูอวิ๋นต้องชดใช้
แต่เดิมเฉินเฉาเกอก็มีลักษณะนิสัยโเี้อำมหิตอยู่แล้วพอถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจเข้า จิตใจของเขาตอนนี้ก็ได้ตกลงสู่ความมืดมิดพอน้ำตาหยดสุดท้ายของเขาแห้งเหือดไปเมื่อเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้งน้ำเสียงที่ออกมานั้นฟังดูเรียบเฉยและเย็นะเืจนคนแบกเกี้ยวถึงกับอกสั่นขวัญแขวน
“ข้าไม่เป็ไรได้ยินว่าพี่สองของข้าไปที่ตระกูลเวินหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ องค์ชายสองไปที่นั่นแล้ว”
“หึหึ...” เฉินเฉาเกอยิ้มออกมาได้อย่างน่าสยดสยองจนชวนให้ขนลุกซู่“ไปต่อได้ พวกเราไปหาหลินอี้นั่นกัน!!”
..................................
ตระกูลเวิน ณ ห้องเมฆาร่วงโรย
หลินหยางได้มาถึงแล้ว
ตอนที่เขามาถึงนั้น ก็สามารถดึงดูดสายตาคนในห้องไว้ได้ทันที
แม่ทัพผู้พิทักษ์เมืองหลี่จิ้ง นายกรัฐมนตรีสื่อซือิเชื้อพระวงศ์ทั้งสองท่าน ทุกคนต่างก็วางถ้วยชาในมือลงทันทีจากนั้นก็แย้มยิ้มไปทางชายหนุ่มผู้ที่สามารถสั่นะเืไปทั้งเมืองอวิ๋นเฉิงคนนี้แววตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างสุดซึ้ง
ส่วนคนที่เหลือต่างก็ก้มหัวลงเล็กน้อย พวกเขารู้ดีว่าหลังจากมื้อค่ำในอีกสามวันให้หลังจบไป สถานะของชายหนุ่มผู้นี้ก็จะทรงเกียรติยิ่งกว่าเ้าชายแล้ว!!
มีเงาร่างที่สวมใส่เสื้อสีเหลืองนั่งอยู่ข้างๆ เวินติ่งเทียนเขาคนนั้นก็คือเ้าชายลำดับที่สององค์ปัจจุบัน หลินเวย ในตอนที่หลินหยางค่อยๆ เดินผ่านผู้คนในห้องไปหาเวินติ่งเทียนนั้นเ้าชายสอง หนึ่งในชายหนุ่มวัยรุ่นที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองอวิ๋นเฉิงแห่งนี้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปทางหลินหยางอย่างเป็กันเอง
“ผู้าุโหลินอี้ ข้าน้อย หลินเวยยินดีที่ได้พบ!!”
หลินหยางมองไปทางพี่สองของตัวเอง
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนที่มีสายเืเดียวกันกับตัวเอง
ดวงตาของหลินเวยนั้นดูกว้าง ดูสุขภาพแข็งแรงฝ่ามือของเขาดูหนักแน่นแข็งแรง ตอนที่หลินหยางจับมือด้วยนั้นก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงและเืลมที่ไหลเวียนอยู่ในกายเขาอย่างดุดัน
ลูกชายของตระกูลหลิน ใช้ได้!!!!
หลินเวยที่จับมือของหลินหยางอยู่ก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้น
สายตาของอีกฝ่ายที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นราวกับสามารถมองตัวเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยเฉพาะแรงกดดันอันน่าเกรงขามที่ปล่อยออกมาจากตัวอีกฝ่ายนั้น แม้แต่ตัวเขายังต้องแอบใจสั่น
เขาถึงกับแอบคิดไปครู่หนึ่งเลยว่า หลินอี้ผู้นี้ช่างดูคล้ายกับผู้เป็พ่ออย่างหลินเฮ่ายวนเสียเหลือเกินสายตาที่ราวกับกำลังมองต่ำมาที่โลกใบนี้จาก้านั่น...
เหมือนเหลือเกิน...
เหมือนเกินไปจริงๆ...
“องค์ชายสองเชิญนั่ง หลินอี้มาสายแบบนี้โปรดทุกท่านให้อภัย”
เสียงพูดของหลินหยางไม่ดังมากแต่กลับสามารถทำให้เหล่าคนระดับสูงของอาณาจักรยิ้มตอบรับได้
หลินเวยจ้องมองไปทางหลินอี้ที่นั่งถัดจากเวินติ่งเทียนแบบเงียบๆเขาถูกบรรยากาศอันองอาจและสง่างามของชายหนุ่มลึกลับตรงหน้านี้สยบไว้แล้ว และยิ่งทำให้จุดประสงค์ของเขาที่มาในวันนี้ชัดเจนขึ้น
พอหลินหยางนั่งลงเรียบร้อย องค์ชายสองก็เปิดปากพูดขึ้นทันที “ประมุขเวิน ผู้าุโหลินหลินเวยไม่อ้อมค้อมแล้วกัน ข้าน้อยได้เตรียมของขวัญเอาไว้ให้เล็กน้อยเพื่อที่จะมาแสดงความยินดีหลังจากที่ผ่านวิกฤติครั้งใหญ่ไปได้!!”
พอพูดจบ เขาก็ปรบมือสองสามทีด้านหลังก็มีขันทีผู้ติดตามขนของกำนัลชิ้นใหญ่เข้ามาของที่อยู่ข้างในนั้นคงมีมูลค่ามหาศาล
เวินติ่งเทียนและหลินหยางหันหน้ามาสบตากันเ้าจิ้งจอกทั้งสองตัวนี้พยักหน้าให้กันอย่างรู้ใจ เวินติ่งเทียนพลันลุกขึ้นยืนพร้อมกับแย้มยิ้มออกมาแต่ไม่ได้รับของขวัญเอาไว้
“องค์ชายสองเกรงใจกันเกินไปแล้วตระกูลเวินเราไม่สามารถรับของที่มูลค่ามหาศาลแบบนี้ได้หรอก”
หลินเวยพอจะเดาท่าทีของอีกฝ่ายได้อยู่ก่อนแล้วจึงลุกขึ้นยืนเช่นกัน จากนั้นยกมือขึ้นทำท่าเคารพไปที จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า
“ท่านประมุขตระกูลเวิน ผู้าุโหลินของกำนัลที่หลินเวยเตรียมมาให้นี้ เป็น้ำใจส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ของข้าไม่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงทั้งนั้น และถ้าจะพูดให้ชัดๆ หน่อยก็คือของที่ข้าน้อยนำมามอบให้นี้ เป็ดั่งคำขอบคุณที่ท่านทั้งสองได้ทำคุณประโยชน์อันมหาศาลไว้ให้แก่อาณาจักรเราและอีกนัยหนึ่งคือเป็ของที่แทนคำขอโทษจากเหล่าองครักษ์ที่มารบกวนพวกท่านด้วยโปรดท่านประมุขเวินอย่าได้ปฏิเสธน้ำใจของเราอีกเลย...”
ฝีปากดีใช้ได้ มีเหตุมีผล
หลินหยางมองดูพี่สองของตัวเองแบบเงียบๆ ที่จริงเขาอยากจะใช้พี่ชายของเขาเป็ตัวแทนในการจินตนาการถึงผู้เป็พ่อของตัวเองดูว่าหลินเฮ่ายวนน่าจะเป็คนอย่างไร
ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับหลินเฮ่ายวนของหลินหยางนั้นล้วนมาจากปากของผู้เป็แม่ทั้งนั้น
แต่แม่ของเขาก็ไม่ค่อยได้พูดถึงพ่อมากสักเท่าไร นานๆ ทีถึงจะพูดขึ้นมาบ้างทุกครั้งที่พูดถึงเขาสีหน้าของแม่ก็มักจะดูทรมานแต่ก็มีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขอยู่ด้วย
ทำให้หลินหยางรู้สึกสงสัยและสนใจในตัวของผู้เป็พ่อเป็อย่างมาก
ซึ่งจากที่ดูๆ แล้วนี่การที่สามารถอบรมสั่งสอนลูกชายแบบนี้ขึ้นมาได้ หลินเฮ่ายวนก็คงจะไม่ทำให้เขารู้สึกผิดหวัง
เวินติ่งเทียนที่อยู่ข้างๆ นั้นพอเจอคำพูดแบบนี้ของหลินเวยเข้าไปก็รู้สึกลำบากใจ
เขาไม่อยากจะรับของกำนัลจากหลินเวยไว้เลยเพราะนั่นจะหมายความว่าเขาได้สร้างสัมพันธ์กับหลินเวยต่อหน้าสายตาของเหล่าข้าราชการชั้นสูงซึ่งนั่นเป็เื่ที่ไม่ฉลาดเลยแต่คำพูดของหลินเวยก็ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจได้อีก
และในตอนที่ทั้งสองกำลังยืดเยื้อกันอย่างอึดอัดอยู่นั่นเองด้านนอกห้องเมฆาร่วงโรยก็มีเสียงหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยดังขึ้น
"พี่สองท่านถูกเขาปฏิเสธน้ำใจไปเเล้วตั้งสองสามรอบเเบบนี้ คงบอกได้เเค่ว่าของที่ท่านเตรียมมาน่ะมันด้อยค่าเกินไปประมุขเวินก็เลยไม่อยากจะรับไว้กระมัง"
เสียงนี้ทำให้สีหน้าของหลินหยางเปลี่ยนเป็เ็าดุจน้ำแข็งทันที
เฉินเฉาเกอ... มันมาแล้ว!!
