เพราะเป็่เทศกาลตรุษจีน ทุกคนจึงอยากสังสรรค์กันให้เต็มที่ ทำให้พวกเราไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน คืนนี้จึงนอนค้างที่บ้านคุณยาย คุณตาถือเข็มถักไหมพรม สอนวิธีขึ้นห่วงถักไหมพรมให้หมี่หลันเยว่ ภาพนี้ช่างฝังลึกในความทรงจำ ชาติที่แล้วก็เป็่เวลาเดียวกัน ทำสิ่งเดียวกัน หมี่หลันเยว่เริ่มถักไหมพรม เสื้อ และกางเกงก็จากที่นี่
"คุณตา มองเห็นเหรอคะ?"
หมี่หลันเยว่ตั้งใจเรียนรู้จากคุณตา พลางคุยเล่นไปด้วย มืออ้วนท้วนของคุณตา แม้จะไม่คล่องแคล่วในการคล้องเส้นไหม แต่ท่านก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่
"มองเห็นสิ มองเห็นอยู่แล้ว นี่ตาก็ใส่แว่นอยู่ไง"
คุณตาพูดพลางพยักหน้า ท่านไม่ยอมรับว่าแก่ตัวลง แม้จะอายุมากแล้วและเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ท่านก็ยังรู้สึกว่าข้างในใจยังหนุ่มแน่น คุยหรือพูดอะไรกับลูกหลานก็ไม่มีปัญหา
หมี่หลันเยว่ขึ้นขอบได้แถวหนึ่งแล้วมองคุณตา ผมสีดอกเลา ใต้เรือนผมนั้นมีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าไม่มากนัก ริมฝีปากหนาดูใจดี เวลาพูดมักจะเม้มปากก่อนแล้วค่อยยิ้ม แต่คุณตาที่น่ารักเช่นนี้ กลับมีอายุไม่ยืนยาวในชาติที่แล้ว นี่คงเกี่ยวข้องกับความยากลำบากที่เจอมาั้แ่หนุ่ม
ถึงในใจรู้สึกไม่ดีนัก แต่หมี่หลันเยว่ก็รีบเลื่อนสายตาออก ไม่ได้จ้องมองคุณตานานนัก เธอคิดว่าตนเองได้รับความเมตตาจาก์ ได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วจะมีอะไรให้เสียใจอีก ชาตินี้เธอจะทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ดูแลทุกอย่างให้ดี จะได้ไม่ต้องเสียใจอีก
"คุณตาขา อยู่บ้านคงเบื่อแย่เลย หนูซื้อทีวีสีมาให้ดูที่บ้านดีไหมคะ?"
หมี่หลันเยว่คิดว่า เธอไม่ได้อยู่เมืองเดียวกับคุณตาคุณยาย ไม่สามารถอยู่เป็เพื่อนคุณตาได้ทุกวัน งั้นก็หาความบันเทิงให้ท่าน ให้ท่านมีความสุขในเวลาว่าง
"ไม่ต้องๆ บ้านหลานยังไม่มีทีวีสีเลย ตากับยายแก่ขนาดนี้แล้ว จะเปลืองเงินทำไม มีเงินก็เก็บไว้ให้แม่ให้พ่อของหลานใช้เถอะ เงินเดือนของตากับยายก็พอใช้จ่ายแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก"
ชีวิตของคุณตากับคุณยาย ในบรรดาคนวัยเดียวกัน ถือว่าดีแล้ว เพียงแต่หมี่หลันเยว่อยากให้ท่านทั้งสองมีชีวิตที่ดีกว่านี้
"ไม่เป็ไรค่ะคุณตา ถึงหนูซื้อทีวีสีให้คุณตากับคุณยายแล้ว ยังไงหนูก็ดูแลพ่อกับแม่ด้วยอยู่แล้วค่ะ"
หมี่หลันเยว่ยื่นมือแกะส้ม แบ่งกินกับคุณตาคนละครึ่ง
"ตอนนี้หนูเปิดร้านเล็กๆ เองค่ะ พอมีกำไร ซื้อทีวีสีให้คุณตาได้แน่นอน แล้วบ้านพวกหนูก็ซื้อทีวีสีแล้วด้วย ภาพชัดมากเลยค่ะ"
ตอนที่กำลังมาบ้านคุณยาย หวังหย่วนฉิงตั้งใจจะเอาทีวีขาวดำที่บ้านมาให้พ่อแม่ แต่เพราะของฝากตรุษจีนเยอะเกินไป แถมยังมีลูกๆ ตามมาอีกสามคน หวังหย่วนฉิงจึงเลิกแผนนี้ไป หมี่หลันเยว่ดีใจมากที่แม่ไม่ได้ขนทีวีขาวดำมาด้วย ไม่งั้นบ้านตัวเองดูทีวีสี แต่ปล่อยให้คนแก่ดูทีวีขาวดำ อาจจะไม่สมควร
ตอนที่ยังไม่เห็นคุณตาคุณยาย หมี่หลันเยว่ยังไม่ได้คิดอะไรมาก พอได้เห็นแล้ว ความทรงจำในอดีตก็ผุดขึ้นมา โดยเฉพาะพอคิดถึงตอนที่คุณตาเสียชีวิตตอนอายุยังไม่มากนัก หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกผิดมาก รู้สึกว่าตัวเองคิดถึงคนที่บ้านน้อยเกินไป
"อ้อ บ้านหลานเปลี่ยนเป็ทีวีสีแล้วเหรอ ดีๆๆ ชีวิตก็ต้องใช้แบบนี้แหละ เอาแต่คิดจะเก็บเงิน ถ้าไม่อยากจะใช้ชีวิตให้มีความสุข แล้วจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม"
คุณตาส่ายหน้า มือก็ยังถักผ้าพันคอต่อไป แม้จะดูช้า แต่ผ้าพันคอก็ยาวได้หนึ่งนิ้วแล้ว
"ใช่แล้ว ที่ตาของหลานพูดก็ถูกแล้วนะ ใช้ชีวิตก็อย่าประหยัดเกินไป ตอนที่พอมีเงิน ก็ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้มีความสุข แม่หลานบอกว่าธุรกิจของหลานกำลังไปได้สวยนี่ เปลี่ยนทีวีสีก็ไม่ใช่เื่ที่ไม่ควรทำ เมื่อกี้แม่หลานก็บอกตาเหมือนกัน ว่าจะเอาทีวีขาวดำมาให้เราดู ตอนแรกตาก็ไม่อยากได้หรอก แต่ตอนนี้หลานจะซื้อทีวีสีให้พวกเรา งั้นก็เอาทีวีขาวดำมาให้พวกเราเถอะ"
"หลันเยว่ บ้านยายไม่ได้ขาดเงินนะ อยากจะซื้อทีวีสีเองก็ซื้อได้ แต่บ้านยายไม่ได้อยู่เมืองแบบบ้านหลาน พวกเราอยู่ที่เหมืองแร่ แถวนี้มีทั้งที่ดิน มีทั้งแร่ พวกเราก็มีเพื่อนฝูงเก่าแก่ ต้องคุยกัน เดินเล่นด้วยกัน ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาว่าง ไม่จำเป็ต้องใช้หรอก"
"แต่หลานกับแม่ก็อุตส่าห์ตั้งใจเอามาให้ ถ้ายายปฏิเสธอีก ก็คงเกินไป งั้นก็ให้น้าไปบ้านหลานนะ เอาทีวีขาวดำที่บ้านหลานมาให้ยายดู ให้ยายกับตาได้มีความสุขกับความเอาใจใส่ของลูกหลาน นี่เป็ความดีความชอบของหลันเยว่น้อยของพวกเรานะ ถ้าหลานไม่ได้เปลี่ยนทีวีสีให้ที่บ้าน ยายก็คงไม่ได้ดูทีวีขาวดำ"
คุณยายพูดจนเธอรู้สึกอาย แต่หมี่หลันเยว่รู้ดีว่าคุณยายดื้อแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ยินเธอคุยกับคุณตา ว่าอยากจะซื้อทีวีสีให้ ทีวีขาวดำเครื่องนี้คงไม่ได้ส่งไปแน่ๆ เอาเถอะ มีให้ดูก่อนก็ยังดี
รอให้คุณตาคุณยายชินกับสภาพแวดล้อมที่มีทีวีที่บ้านแล้ว ค่อยเปลี่ยนเป็ทีวีสีให้ท่าน ไม่งั้นถ้าเธอดึงดันยกทีวีสีมา คุณยายคงสั่งให้น้าชายรีบยกทีวีกลับไป นิสัยคุณยายน่ะ ดื้อสุดๆ
อาหารหลักในตอนเย็นก็ยังคงเป็เกี๊ยว ตอนนี้ไม่เหมือนในยุคต่อๆ ไป อยากกินเกี๊ยว เมื่อไหร่ก็ซื้อเนื้อมาทำกินได้เลย เกี๊ยวในยุค 80 ยังถือเป็อาหารที่ค่อนข้างหรูหรา ในวันส่งท้ายปีเก่าได้กินเกี๊ยวไส้หมูผักกาดดองสักมื้อ ก็ถือว่าดีสุดๆ แล้ว เพราะปกติไม่ได้กินกัน
"มาๆ ชิมไส้ที่ยายผสมสิ หอมมากนะ"
พอจัดโต๊ะอาหารเสร็จ คุณยายก็เริ่มคีบเกี๊ยวให้เด็กๆ คุณยายใส่เนื้อเยอะเป็พิเศษ พอคีบเกี๊ยวขึ้นมา น้ำมันก็จะไหลเยิ้มออกมา ดูแล้วก็น่ากิน
คุณยายอยากให้พวกเขาได้กินของดีๆ จริงๆ ไส้เนื้อขนาดนี้ คงใช้คูปองเนื้อของบ้านคุณยายไปทั้งเดือนแล้ว หมี่หลันเยว่คีบเกี๊ยวใส่ปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
"อร่อยมากค่ะคุณยาย คุณยายก็กินด้วยสิคะ"
ถึงเสียงจะอู้อี้ แต่คุณยายก็ดีใจมาก หลานสาวคนโตพูดแบบนี้ แสดงว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ ความพยายามของตัวเองไม่เสียเปล่าแล้ว
"หลันซิง คีบแล้วค่อยๆ กินนะ ระวังลวก"
คุณยายคีบเกี๊ยวไส้แน่นๆ ให้หลานชายคนเล็กสองตัว แล้วใช้ตะเกียบคีบผ่าครึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแย้มมองหลานชายคนเล็กตักเกี๊ยวครึ่งตัวขึ้นมา เป่าเบาๆ แล้วค่อยใส่ปาก จากนั้นก็แสดงสีหน้ามีความสุข มุมปากยังมีอะไรคล้ายๆ น้ำซุปติดอยู่ คุณยายก็ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
"ชอบกินก็กินเยอะๆ มา หลันหยาง หลานก็กินด้วยสิ"
คุณยายคีบให้หมี่หลันหยางอีกหลายตัว แต่ไม่ได้คีบผ่าให้ เพราะหลันหยางโตแล้ว คุณยายกลัวว่าการดูแลของตัวเองจะทำให้หลานชายคนโตไม่สบายใจ ต้องบอกว่าคุณยายมีความคิดที่ล้ำหน้ามากในหลายๆ เื่จริงๆ
"ผมกินแล้วครับคุณยาย คุณยายก็กินเถอะครับ ไม่ต้องดูแลพวกเราหรอก"
หมี่หลันหยางก็คีบเกี๊ยวหลายตัวใส่จานของคุณยายบ้าง คุณยายยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น มองจานของคุณตาที่เต็มไปด้วยเกี๊ยวที่หลานชายคนโตคีบให้ คุณยายก็ภูมิใจมาก
"ดูสิ เด็กๆ โตแล้ว รู้จักดูแลพวกเราบ้างแล้ว"
เธอพูดอย่างภาคภูมิใจ แต่ในดวงตาก็มีน้ำตาคลอ ทำให้หมี่หลันเยว่ไม่กล้ามองต่อ พวกคนแก่มักจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากลูกหลาน คุณยายลงมือทำเกี๊ยวเอง แค่หลานๆ คีบให้พวกเขาแค่ไม่กี่ตัว พวกเขาก็รู้สึกซาบซึ้งแล้ว แต่สิ่งที่พวกท่านมอบให้ลูกหลาน กลับเป็การทุ่มเททุกสิ่งโดยไม่เสียดายและไม่เคยปริปากบ่น
"แม่คะ รีบกินเถอะ หลานๆ คีบให้มาแล้ว กินตอนร้อนๆ ผักผัดก็นิ่ม กินเยอะๆ อย่าเอาแต่ดูแลหลานเลยค่ะ พวกเขาโตแล้ว ไม่ต้องดูแลขนาดนั้น ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ"
ร่างกายของคุณยายอย่างอื่นก็ดีหมด แค่ฟันไม่ค่อยดี อายุยังไม่เยอะ แต่ก็ใส่ฟันปลอมทั้งปากแล้ว หมี่หลันเยว่ยังจำได้ว่า ในชาติที่แล้วเธอเคยใกับฟันปลอมของคุณยายที่แช่อยู่ในแก้วน้ำ แต่ชาตินี้จะไม่เป็อย่างนั้นแน่นอน
"รู้แล้วๆ แม่จะกินเดี๋ยวนี้แหละ"
คุณยายคีบเกี๊ยวจากจานมากินอย่างเอร็ดอร่อย
"เกี๊ยวที่หลานชายคนโตคีบให้ อร่อยที่สุด"
คุณยายเคี้ยวเกี๊ยวไม่ค่อยถนัดนัก ฟันปลอมก็ไม่ได้ใช้งานได้ดีนัก แต่ก็กินอย่างเอร็ดอร่อย นั่นคงเป็เพราะความอบอุ่นในหัวใจ
"คุณยายชอบก็กินเยอะๆ นะครับ เดี๋ยวผมคีบให้อีก"
ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าคุณยายจะกินไม่ไหว หมี่หลันหยางคงคีบให้อีกหลายตัวใส่จานแล้ว
"พอแล้วล่ะ ยายแก่แล้ว กระเพาะเล็ก กินได้ไม่กี่ตัวหรอก แค่นี้ก็พอกินแล้ว หลันหยางไม่ต้องคีบให้ยายแล้ว กินเองเถอะ หลานกำลังโต ต้องกินเยอะๆ"
คุณยายมองหลานๆ กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะกินเพิ่มไปอีกสองตัว อาหารเย็นมื้อนี้ ทุกคนกินกันอย่างอบอุ่นเป็พิเศษ ส่วนที่พักในตอนกลางคืน เพราะมีคนเพิ่มขึ้นอีกหลายคน จึงไม่ค่อยกว้างขวาง บ้านที่มีห้องนอนแค่สองห้อง จึงดูคับแคบไปบ้าง
"หลันเยว่นอนเตียงนี้นะ พ่อกับแม่หลานจะพาพี่ชายกับน้องชายไปนอนบนเตียงในห้องอีกฝั่ง ส่วนยายกับตา แล้วก็น้าของหลานจะนอนอีกห้อง มีแต่หลานที่ไม่มีที่นอน แต่ยายจะไม่ให้หลันเยว่น้อยของพวกเราหนาวหรอกนะ ยายจะทำให้หลันเยว่น้อยของพวกเราอุ่นแน่นอน"
หมี่หลันเยว่รู้ดีว่าคุณยายจะทำอะไรให้เธอ แต่เธอไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แต่ยืนมองคุณยายทำโน่นทำนี่ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้ว เธอจึงมองทุกอย่างอย่างตั้งใจเป็พิเศษ อยากจะจำทุกสิ่งทุกอย่างให้ขึ้นใจ จารึกไว้ในความทรงจำ จะไม่มีวันลืม
"ดูนะ หลันเยว่ ขวดน้ำเกลือพวกนี้ใส่น้ำร้อนจนเต็ม แล้วก็มีกระเป๋าน้ำร้อนด้วย เอาไปยัดไว้ในผ้าห่มก่อน พอนอนลงไป ผ้าห่มก็จะอุ่นแล้ว ส่วนขวดพวกนี้ก็จะอุ่นๆ ไม่ร้อนจนเกินไป พอถึงตอนนั้นก็กอดพวกมันนอน รับรองว่าหลับสบายไปจนถึงเช้า"
หมี่หลันเยว่รู้ดีว่ามันอุ่นมากแค่ไหน เธอใช้วิธีให้ความอบอุ่นด้วยขวดน้ำเกลือและกระเป๋าน้ำร้อนให้กับคนงานในโรงงานของตัวเอง ก็เรียนรู้มาจากคุณยายนี่แหละ เธอจะไม่รู้ถึงความอบอุ่นของสิ่งของพื้นบ้านเหล่านี้ได้ยังไง แต่สิ่งที่ทำให้เธออบอุ่นยิ่งกว่า คือความห่วงใยที่ยายมีให้ต่อเธอ พี่ชาย และน้องชาย
"หนูรู้แล้วค่ะคุณยาย คุณยายรีบไปพักเถอะค่ะ เดี๋ยวผ้าห่มอุ่นแล้ว หนูจะเข้าไปนอน"
หมี่หลันเยว่รู้ว่าคนแก่ตื่นเช้า รีบดันคุณยายให้ไปพักผ่อนที่ห้องของคุณยาย แต่ทางด้านนี้ หมี่หลันซิงกำลังจะขึ้นไปนอนบนเตียง เขาก็อยากจะััความอบอุ่นของเตียงนี้บ้าง
