ฮองเฮาก้าวเข้ามาด้วยความสง่า ก่อนงอเข่าลงคารวะ “ถวายบังคมเพคะฝ่าา”
“ฮองเฮา ไม่ต้องพิธีรีตองนัก”
ฮองเฮาลุกขึ้นแล้วนำตำราเล่มหนึ่งวางลงตรงหน้าฮ่องเต้ฉงเต๋อ
“ฝ่าาโปรดทอดพระเนตรเถิดเพคะ หม่อมฉันได้ค้นหาทั่วเมืองอวี้อันแล้ว มีเพียงสามคนเท่านั้นที่อายุและวันเกิดเหมาะสมกับจาวเอ๋อร์ สองคนแรกมาจากตระกูลดี มีความสามารถ วิชาการโดดเด่น คนสุดท้าย…”
คำพูดต่อจากนั้นฮองเฮาไม่เอ่ยต่อ ฮ่องเต้ฉงเต๋อก็ตั้งใจดูตำราเล่มนั้น ไม่ได้สนใจคำพูดของฮองเฮาแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ฉงเต๋อดูแล้ว เด็กผู้หญิงสองคนแรกมีอายุเหมาะแก่การออกเรือน มาจากครอบครัวขุนนางระดับสูง เหมาะสมกับอวี้ฉู่จาวนัก
ทว่า...เป็บุตรสาวของอัครเสนาบดีกรมพระคลัง กับบุตรสาวของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย
รูปลักษณ์ไม่ได้งดงามเป็พิเศษ แต่ตระกูลนี้นับว่ามีความสำคัญกับเมืองหลวงอวี้อัน
“มีแค่นี้หรือ” ฮ่องเต้ฉงเต๋อแสดงความไม่พอใจ
ฮองเฮามีท่าทีหนักใจ “มีเพคะ แต่พระองค์ก็ทรงทราบชะตากรรมของจาวเอ๋อร์ หากเป็หญิงทั่วไป…” ฮองเฮาลังเลและหยุดพูด ฮ่องเต้ฉงเต๋อเข้าใจในความหมายของนาง
“ฝ่าา นี่คือการเลือกพระชายา ก็คงต้องหาคนที่อายุยืนยาวอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ชะตากรรมของจาวเอ๋อร์แก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เพื่อให้ไม่ต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวไปจนแก่เฒ่า ก็ยังมีอีกคนเพคะ…”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อฟังแล้วรู้สึกสนใจ “ใคร”
“เื่นั้น...ฝ่าาได้โปรดอย่าตำหนิติเตียนหม่อมฉันเลยนะเพคะ ที่หม่อมฉันทำก็เพื่อจาวเอ๋อร์” ฮองเฮากล่าวขออภัยเป็อย่างแรก ที่ทำไปเพราะความเป็มารดาทั้งนั้น
“ข้ารู้ว่าเ้าพยายามอย่างหนักเพื่อจาวเอ๋อร์ ข้าจะตำหนิเ้าได้อย่างไร” ฮ่องเต้ยื่นมือไปประคองฮองเฮา
ฮองเฮาเอ่ยออกมา “....เมืองอวี้อันมีคนดวงแข็งอยู่หนึ่งคน ตอนอายุ 10 ปีตกลงไปในหลุมน้ำแข็งจนสิ้นชีวิตไปแล้ว ทว่ากลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมากลางพิธีศพ ทุกคนต่างพูดว่าเขาเป็คนดวงแข็ง…”
ที่ฮองเฮากล่าวถึงคือหลินหร่าน เปลี่ยนจากตำแหน่งบุคคลที่เป็ลางร้ายให้กลายเป็ตำนานของบุคคลดวงแข็งซึ่งไม่สามารถทำลายได้
“มีเื่แปลกๆ เช่นนี้ด้วยหรือ” ฮ่องเต้ฉงเต๋องุนงง “แล้วคนผู้นั้นคือใคร เกี่ยวข้องอย่างไรกับจาวเอ๋อร์”
“คนผู้นั้นอาศัยอยู่นอกเมืองนามว่าหลินหร่าน เป็บุตรชายคนเล็กของแม่ทัพฮวาเวย หม่อมฉันให้ฉินเทียนเจี้ยนตรวจดวงชะตาดู ก็พบว่าดวงของคนผู้นี้เหมาะสมกับจาวเอ๋อร์ สามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายของจาวเอ๋อร์ได้ ดังนั้น หม่อมฉันคิดว่าเพื่อตัวของจาวเอ๋อร์ ควรจะให้หลินหร่านเป็ชายาของจาวเอ๋อร์เพคะ”
“ไร้สาระ!” ฮ่องเต้ฉงเต๋อทรงกริ้ว “โอรสของข้าเป็ชาย จะมีชายาเป็ชายได้เยี่ยงไร นอกจากนี้ยังเป็โอรสที่ดีที่สุดอีก”
ฮองเฮาถูกฮ่องเต้กริ้วใส่ไปยกใหญ่ แต่ยิ่งได้ยินคำพูดประโยคหลังของฮ่องเต้แล้ว ยิ่งทำให้นางยืนหยัดที่จะให้อวี้ฉู่จาวมีภรรยาเป็ชายให้ได้
“ฝ่าาอย่าทรงกริ้วเลยเพคะ หม่อมฉันทำเพื่อจาวเอ๋อร์ ถึงแม้จะแต่งมาเพียงแค่ในสถานะนางบำเรอ ไม่อาจเป็ภรรยาได้จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อตัวจาวเอ๋อร์ แต่งงานกับภรรยาที่เป็ชายเพื่อลดความเคราะห์ร้ายในตัวเขา เพียงช่วยให้ชะตากรรมผันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็เท่านั้นเพคะ”
“การแต่งงานของจาวเอ๋อร์ค่อยคุยกันทีหลัง” ฮ่องเต้ฉงเต๋อหันกลับไป ยังรู้สึกรับไม่ได้กับเื่นี้
ฮองเฮายังคงไม่ยอมแพ้ “ฝ่าา…”
ฮองเฮาคุกเข่าลง “อายุของจาวเอ๋อร์ก็ไม่น้อยแล้ว อีกทั้งชายาทั้งสองก็ตายอย่างกะทันหัน ข่าวลือด้านนอกวังหลวงกำลังโหมกระหน่ำ ในใจของจาวเอ๋อร์ก็คงรู้สึกไม่ดี เพียงแต่ไม่เอ่ยปาก จาวเอ๋อร์ออกรบเพื่อเมืองอวี้อัน ไม่มีภรรยาคอยปรนนิบัติดูแล ไม่มีทายาทสืบสกุลแล้วตัวเขาจะวางใจได้อย่างไรกันเพคะ ถึงแม้ภรรยาที่เป็ชายจะไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้จาวเอ๋อร์ได้ แต่หากมีคนที่สามารถลดเคราะห์ร้ายของเขาลงได้แล้ว เช่นนั้นจาวเอ๋อร์ก็จะมีผู้ร่วมทุกข์สุข…”
ฮองเฮานำเื่ที่อวี้ฉู่จาวไม่มีบุตรกับภรรยาเป็เวลานานแล้วมาอ้างว่าเป็เพราะเขาเคราะห์ร้าย นางเอ่ยราวกับตนเองเป็แม่ที่เข้าใจความยากลำบากของลูก
ฮ่องเต้ฉงเต๋อได้ยินคำว่า ‘ออกรบ’ ใจก็เริ่มคิด
พระองค์ยังไม่ลืมความกังวลที่มีก่อนหน้านี้
หากใช้เหตุผลนี้ให้อวี้ฉู่จาวแต่งกับภรรยาชาย แบบนี้ก็เท่ากับเป็การปราบปรามเทพเ้าแห่งา ความกังวลมากมายก็จะลดลง
พระองค์เป็ฮ่องเต้ การคำนึงถึงบ้านเมืองเป็เื่สำคัญ
“...ข้าจะลองคิดดู หากฮองเฮาไม่มีเื่ใดแล้วเชิญกลับไปก่อนเถิด”
“หม่อมฉันทูลลา”
ได้รับคำตอบเช่นนี้ ฮองเฮาค่อนข้างแน่ใจ สิ่งที่ฮ่องเต้เป็กังวลคงไม่พ้นเื่บ้านเมืองกับราชสำนัก
เมื่อขึ้นครองราชย์ก็กลัวผู้อื่นจะมาแย่งตำแหน่ง ก่อฏ แบ่งแยกครอบครัว กลัวว่าหากตนสละราชบัลลังก์จะไม่มีผู้สืบราชสมบัติ
หรือกล่าวได้ว่า ในพระราชวังไม่มีพ่อลูกจริงๆ หรอก
กระทั่งฮองเฮาออกมาจากห้องทรงพระอักษร อวี้ฉู่ซวนก็มายืนรออยู่ในสวนดอกไม้
“ดูท่าเสด็จพ่อของเ้าคงไม่มีปัญหา”
“ลูกวางแผนมาตั้งนาน จะไม่ให้มันผิดพลาดเด็ดขาด ลูกจะทำให้อวี้ฉู่จาวกลายเป็ตัวตลกของผู้คนทั่วเมืองอวี้อัน ทำให้มันไม่มีทายาทสืบสกุล”
อวี้ฉู่ซวนมีสีหน้าน่ากลัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเกลียดอวี้ฉู่จาวมากเพียงใด
ฮองเฮาตบหลังปลอบประโลม “ซวนเอ๋อร์ แม้ว่าอวี้ฉู่จาวจะเป็ศัตรูกับลูก แต่เราต้องมองไปข้างหน้า เสด็จพ่อของเ้าตั้งความหวังในตัวเขา นอกจากเขา เ้ายังมีพี่น้องอีกมากมาย เ้าอย่าลืมอวี้ฉู่เฉิงกับอวี้ฉู่หลิง พวกเขาโตแล้ว เราต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเองถึงจะถูก”
อวี้ฉู่ซวนหัวเราะเยาะแล้วพูดเหยียดหยาม “เ้าสองคนนั้นหรือ คนหนึ่งทำได้แค่เดินตามก้นลูก ส่วนอีกคนหยิ่งยโสและโง่เขลา เสด็จแม่อย่าได้กังวล”
“ฉู่เฉิงโตมากับการเลี้ยงดูของแม่ ถึงแม้จะเชื่อฟังเ้า แต่หมาที่กัดคนปกติมักจะไม่เห่า เ้าระวังไว้เสียดีกว่า ส่วนอวี้ฉู่หลิงเราต้องจับตาดู แม่ของเขาคือพระสนมลี่ เป็สนมที่ทรงโปรดปรานที่สุดและมาจากครอบครัวอัครเสนาบดี จวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉินฉือมีความเกี่ยวข้องกับราชสำนัก มีอำนาจที่พวกเราไม่ควรประมาท เมื่อเทียบกับอวี้ฉู่จาวแล้ว อวี้ฉู่หลิงกลับเป็ภัยคุกคามสำหรับเราเสียมากกว่า ไม่ควรนิ่งนอนใจ”
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
การวิเคราะห์ของฮองเฮาช่วยดึงสติของอวี้ฉู่ซวนกลับคืนมา
.........
อีกด้านหนึ่ง อวี้ฉู่จาวกับหลินหร่านยังคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
“ท่านอ๋อง ขยับมือไปทางซ้ายหน่อย ใช่แล้ว ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในตอนนี้สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ดูคุ้นเคยกันมากขึ้น
หลังจากอวี้ฉู่จาวคอยอยู่เป็เพื่อนวาดภาพพร้อมกับหลินหร่าน และได้เห็นว่าถ่านเล็กๆ นี้วาดภาพออกมาเหมือนคนจริงๆ ได้อย่างไร จึงยินยอมที่จะเป็ ‘นายแบบ’ ให้
แสงแดดในหน้าหนาวคือ่ที่เย้ายวนผู้คนมากที่สุด หลินหร่านรู้สึกเบื่อเลยอยากวาดภาพขึ้นมา อวี้ฉู่จาวจึงให้คนยกโต๊ะกับเก้าอี้มาที่ระเบียงเพื่ออาบแดดและเป็ ‘นายแบบ’ ให้ คำนี้หลินหร่านก็เป็คนบอก
อวี้ฉู่จาวมองหลินหร่านที่ก้มๆ เงยๆ ตั้งใจวาดภาพด้วยใบหน้านุ่มนวล
ภาพเหล่านี้ผู้คนในตำหนักเห็นจนชินตา หลังคุณชายผู้นี้มาอยู่ ใบหน้าของอวี้ฉู่จาวก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่น
ก่อนหน้านี้ทุกคนจะรู้สึกประหลาดหากเห็นท่านอ๋องยิ้ม แต่ตอนนี้สามารถเห็นรอยยิ้มของท่านอ๋องได้บ่อยขึ้นอย่างกับพวกเขากำลังอยู่ในความฝัน
พวกเขาคิดว่าเทพเ้าแห่งาคือก้อนน้ำแข็ง ใบหน้าไร้อารมณ์ดูสง่างาม ก่อนหน้านี้บางคนยังเยาะเย้ยว่าท่านอ๋องไม่เข้าใจความรักคงหาภรรยาไม่ได้ ผลสุดท้ายก็เป็เช่นนั้น ชายาทั้งสองเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
ทว่ากลับไม่คาดคิดว่าตอนนี้ ท่านอ๋องจะมาดูแลคุณชายน้อยผู้นี้ทุกเช้าค่ำอีก
---------------------------