เล่มที่ 10 บทที่ 274 วิถีเซียน
เมื่อสิ้นเสียง ก็มีลำแสงสีขาวพวยพุ่งออกมาจากร่างของเว่ยจงซู กระทั่งเกิดเป็พลังอันศักดิ์สิทธิ์แพร่กระจายปกคลุมไปทั่วทันที จากนั้นครู่เดียวก็มีเสียงท่องตำราดังแว่วขึ้นมาราวกับกำลังอยู่ในสำนักศึกษาที่เต็มไปด้วยเหล่าบัณฑิตซึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการท่องตำราก็ว่าได้...
เว่ยจงซูกางคัมภีร์ไม้ไผ่ในมือออก ก่อนจะตวาดกร้าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ช่างชั่วช้าทีเดียว ต้องถูกลงโทษ!”
ทันใดนั้นก็มีอักขระสีทองตัวใหญ่ลอยออกมาจากคัมภีร์ไม้ไผ่ เพียงครู่เดียวก็กลายเป็เสียงดังสนั่นขึ้น คล้ายกับโอวาทของบัณฑิตชั้นสูง ทุกคำล้วนเต็มไปด้วยหลักฟ้าดิน เป็สัจธรรมที่แท้จริง
“ต้องถูกลงโทษ...”
“ต้องถูกลงโทษ...”
ข้อความแสนเข้มงวดดังขึ้นถึงเก้าครั้ง ทันใดนั้นลำแสงสีขาวที่เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังรายล้อมรอบตัวหลินเฟยอยู่นั้น ก็ได้รวมตัวกันจนกลายเป็สำนักศึกษาโบราณอันเก่าแก่ ไม่นานก็มีบัณฑิตหน้าตาเคร่งขรึมมากมายรายล้อมและจ้องมองไปที่หลินเฟย อีกทั้งเบื้องหน้า ยังมีผู้เฒ่าชราผมขาวโพลนซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายบัณฑิตกำลังจดจ้องด้วยสีหน้าบึ้งตึงอีกด้วย
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงตักเตือนมากมายดังขึ้นเรื่อยๆราวกับกำลังให้โอวาทกรอกเข้าหูเพื่ออบรมให้หลินเฟยฟัง หรือจะพูดให้ถูกก็คือกรอกเข้าจิติญญาของหลินเฟยก็ว่าได้
ไม่นานก็มีไม้บรรทัดสีดำลอยออกมา...
“ระวัง!”
จู่ๆเว่ยจงซูก็ลงมือขึ้นมาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว แม้แต่จิงต้าไห่ที่เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันก็ยังห้ามไว้ไม่ทัน ทำได้แต่มองไม้บรรทัดสีดำพุ่งตรงออกมาเท่านั้น...
“ลงมือจริงๆด้วย...”
ทว่าหลินเฟยกลับหัวเราะน้อยๆออกมาเท่านั้น เพียงชี้นิ้วออกไป จากนั้นก็มีสายฟ้าพุ่งตรงเข้าไปปะทะกับไม้บรรทัดสีดำทันที...
ทันทีทันใดสายฟ้าก็กลายร่างเป็ัอัสนีที่กำลังคำรามเสียงกึกก้อง จากนั้นมันก็กลืนกินไม้บรรทัดดำเข้าไปทั้งอัน และเกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้น ส่วนไม้บรรทัดสีดำก็แตกสลายหายไปทันที...
“นี่เ้า!” เว่ยจงซูถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที จากนั้นก็เห็นว่าก้านไม้ไผ่แท่งหนึ่งในคัมภีร์ของตนเองได้แตกสลายกลายเป็ผุยผงเสียแล้ว...
คัมภีร์ใบไม้ในมือเว่ยจงซูเกิดจากความรู้ทั้งหมดในชีวิต จึงเทียบได้กับอาวุธคู่กายของผู้บำเพ็ญทั่วไป และบัดนี้กลับถูกผู้บำเพ็ญหนุ่มตรงหน้าทำลายจนย่อยยับ เช่นนั้นก็แปลว่าความรู้มากมายที่สั่งสมมาทั้งชีวิตได้ดับสูญไปเสียแล้ว หากคิดจะฟื้นฟูกลับมาละก็ เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปีเลยทีเดียว
ทันใดนั้นเองเว่ยจงซูก็ทั้งรู้สึกโกรธไปพร้อมๆกับความตื่นตระหนกที่เกาะกินหัวใจอยู่...
ทว่าเื่ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเว่ยจงซูเห็นว่าการโจมตีครั้งแรกล้มเหลวลง เขาจึงทุ่มหมดหน้าตัก ส่งคัมภีร์ไม้ไผ่ทั้งม้วนออกไปทันที จากนั้นก็เกิดเป็ภาพนิมิตสำนักศึกษาขนาดใหญ่นับร้อยลี้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทุกที่ของสำนักศึกษากำลังเปล่งแสงเรืองรองออกมา กลอนบทแล้วบทเล่าถูกขับขานออกมาจนดังระงมไปทั่ว พลังศักดิ์สิทธิ์แสนเข้มข้นก็รวมตัวกันจนกลายเป็เมฆขาวลอยเด่นบนฟ้า อีกทั้งยังปกคลุมไปทั่วสำนักศึกษาโบราณอีกด้วย...
‘นี่มันห้วงมิติแห่งความเป็ตาย!’
ก่อนที่เว่ยจงซูจะบรรลุขั้นจิงตัน เขาได้ร่ำเรียนฝึกฝนอยู่ที่สำนักลิ่วเยิ่นมาร่วมหลายร้อยปี จนสุดท้ายก็บรรลุขั้นจิงตันในค่ำคืนหนึ่ง ตอนนั้นเอง เขาจึงสร้างห้วงมิติแห่งความเป็ตายโดยใช้สำนักศึกษาลิ่วเยิ่นเป็ต้นแบบ พลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากได้หลอมรวมเข้าไปในตัว ทุกการกระทำจึงเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
บัดนี้เว่ยจงซูกำลังยืนกุมคัมภีร์ไม้ไผ่ลอยอยู่กลางอากาศ หลังจากที่กางคัมภีร์ออก ด้ามไม้ไผ่ในคัมภีร์ก็พลันขยายเป็เสาขนาดั์จำนวนมาก แถมบนเสาเ่าั้ยังมีอักขระที่ดูมีชีวิตชีวาซึ่งแฝงไปด้วยความลี้ลับแห่งฟ้าดินอีกด้วย
“เ้าหนุ่มนั่น ยังไม่คิดยอมแพ้อีกหรือ?”
“สงสัยเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมาของสำนักศึกษาลิ่วเยินจะเหมือนกับที่ตำนานได้กล่าวไว้...” หลินเฟยยังคงยืนอยู่กับที่ ส่วนสายตาก็มองไปที่คัมภีร์ไม้ไผ่ในมือเว่ยจงซู ในใจก็พลันกระตุกเล็กน้อย เพราะเคยได้ยินมาว่าเคล็ดวิชาของสำนักศึกษาลิ่วเยิ่นมีประวัติความเป็มาช้านาน อาจจะยาวนานถึงยุคบุกเบิกแดน์เลยก็ได้...
‘ดูท่าจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง...’
หลักปรัชญามากมายได้หลอมรวมกันจนเกิดเป็พลังศักดิ์สิทธิ์ นี่จึงนับว่าคือวิถีเซียนที่แท้จริง และคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับแดน์ในาอีกด้วย โดยตำนานได้กล่าวไว้ว่า “แดน์ในยุคาได้แต่งตั้งเซียนสามร้อยหกสิบห้าท่านที่สามารถบงการสรรพสิ่งได้” จึงถือเป็ต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง และเคล็ดวิชาของสำนักศึกษาลิ่วเยิ่น ก็ดูมีความคล้ายคลึงอยู่เล็กน้อย
แน่นอนว่าแค่คล้ายคลึงเท่านั้น
อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่สำนักศึกษาลิ่วเยิ่นที่แท้จริง
เพราะหากเป็สำนักศึกษาลิ่วเยิ่นละก็ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่รายล้อมรอบตัวเว่ยจงซูคงจะเข้มข้นกว่านี้ เช่นนั้นหลินเฟยก็อาจจะหวั่นเกรงอยู่บ้าง...
แต่น่าเสียดายที่เป็เพียงภาพนิมิตในห้วงมิติแห่งความเป็ตายเท่านั้น
“ก็แค่ของปลอมเท่านั้นแหละ!” หลินเฟยโพล่งออกมาทันที ทันใดนั้นก็บงการปราณกระบี่ไท่อี๋ออกไป จากนั้นปราณกระบี่ไท่อี๋ก็กลายเป็ลำแสงสีทองสะบั้นลงไปทันที เพียงครู่เดียวลำแสงสีสองก็สะบั้นตัดฟ้าดิน ทำให้จุดที่ยืนอยู่ราวกับภาพวาดที่ถูกฉีกขาดออกเป็สองส่วน บริเวณรอยแยกก็เห็นเพียงดงไม้ปกคลุมหนาทึบเท่านั้น...
และนี่ก็คือข้อแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันด้วยกันนั่นเอง...
ทั้งที่เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเหมือนกัน แต่เว่ยจงซูกลับเทียบจงซานไม่ติดฝุ่น ในอดีตตอนที่สะบั้นตัดห้วงมิติแห่งความเป็ตายของจงซาน หลินเฟยถึงกับต้องใช้กระบี่ดาวอัปมงคลและปราณกระบี่ทั้งสี่ร่วมกัน ตอนนั้นแทบจะเดิมพันด้วยชีวิตเลยทีเดียว เช่นนั้นถึงสามารถสะบั้นห้วงมิติหนีออกมาได้...
แต่พอย้อนกลับมาดูห้วงมิติแห่งความเป็ตายของเว่ยจงซูอีกครั้ง…
แม้จะดูร้ายกาจ แถมยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วย แต่กลับไม่สามารถต้านปราณกระบี่ไท่อี๋ได้เลยแม้แต่น้อย
ไม่นานหลินเฟยก็ก้าวเท้าออกมาจากห้วงมิติแห่งความเป็ตาย จากนั้นก็กลับมายืนบนเกาะอีกครั้ง...
“มีฝืมืออะไร ก็จงสำแดงออกมาให้หมด” หลินเฟยเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยไอสังหารเข้มข้น
“เ้า...”
หลังจากห้วงมิติแห่งความเป็ตายถูกทำลายลง ใบหน้าของเว่ยจงซูก็ซีดขาวทันที พลังปราณในตัวก็พลันปั่นป่วน ทำได้แค่จ้องหลินเฟยอยู่นาน ก่อนจะกระอักเืแดงฉานออกมา เพียงครู่เดียวก็หงายหลังล้มลงกับพื้น...
บัดนี้ก็รู้ผลแพ้ชนะเสียที
จิงต้าไห่ที่ยืนดูอยู่ก็อดที่จะกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบากไม่ได้ ส่วนในใจก็กำลังลอบยินดีอย่างที่สุด
‘ค่อยยังชั่วหน่อย ยังดีที่ข้าเป็คนมีบุญบารมีพอ จึงได้มีโอกาสเจอผู้าุโชื่อิเข้าเสียก่อน ไม่เช่นนั้นละก็ หากทะเล่อทะล่าเข้าไปหาเื่อีกฝ่ายขึ้นมา คนที่จะนอนหมดสภาพตอนนี้ ก็คงเป็ตนเองกระมัง...’
‘ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน...’
เว่ยจงซูเองก็ถือว่าเป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันที่แท้จริง เมื่อเทียบกับตนเองที่บรรลุขั้นจิงตันด้วยของนอกกายแล้ว ถือว่าสูงขั้นกว่ามาก แต่ถึงจะเป็เช่นนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเฟยแล้ว ก็ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย หลังจากประมือกันครู่เดียวก็พ่ายแพ้แล้ว แม้แต่ห้วงมิติแห่งความเป็ตายก็ยังถูกสะบั้นจนแตก เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองร้อยปี ถึงจะฟื้นตัวกลับมาได้...
‘เป็เพียงผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สามแต่กลับเอาชนะผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันได้ ช่างร้ายกาจเลยทีเดียว...’
เมื่อคิดได้ดังนั้น จิงต้าไห่ก็รู้สึกดีใจมาก เพราะก่อนหน้านี้หลินเฟยเที่ยวปล้นชิงของวิเศษไปทั่ว จึงมีผู้เสียหายมากมาย แต่มีเพียงตนเองเท่านั้นที่คิดพลิกวิกฤตให้เป็โอกาสทำความรู้จักกับอีกฝ่ายเสีย
‘คอยดูแล้วกัน พวกเ้าน่ะ วันๆก็คิดแต่จะฆ่าจะแกงหลินเฟยให้ได้ รอให้ผ่านไปอีกสักสิบปี ถึงตอนนั้นพวกเ้าคงต้องอิจฉาข้าแล้วล่ะ...’
“อาจารย์เว่ย...” ขณะที่จิงต้าไห่กำลังจมอยู่ในภวังค์ หลินเฟยก็เดินมาอยู่เบื้องหน้าเว่ยจงซูแล้ว
“รนหาที่เองนะ...”
---------------------------------------------------------------------------------