บทที่ 2 โถงกระบี่แปดบัญชร
ค่ำคืนนี้มืดมิดราวกับสีน้ำหมึก พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่สูงสง่า
แสงจันทร์อันเย็นเยียบส่องผ่านเมฆา ตกกระทบลงมาบนพื้นดินราวกับถูกปกคลุมไปด้วยผืนผ้าสีเงินที่ชวนหดหู่
ลานด้านตะวันออกของตระกูลฉู่ คือ ลานฝึกยุทธ์
มีร่างๆ หนึ่งกำลังหลับตาและยืนถือกระบี่อยู่ในมือ เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วลืมตาขึ้น จากนั้นชักกระบี่ขึ้นอย่างสง่างามและแสดงกระบวนท่ากระบี่ที่ไหลลื่นไปพร้อมๆ กับจังหวะการก้าวขา
"ฟึบ"
ใบกระบี่ที่คมกริบตัดผ่านความว่างเปล่า พาให้ได้ยินเสียงลมพัดดังขึ้นจนทำลายความเงียบของลานฝึกยุทธ์ในทันที
ทว่าครู่ต่อมา ใบหน้าของผู้ถือกระบี่กลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เืภายในกายพลุ่งพล่าน เขามิอาจยืนนิ่งได้อีกต่อไป ร่างกายสูญเสียการทรงตัวและทรุดฮวบลงกับพื้น จากนั้นก็กระอักเืออกมาเต็มปาก
“แค่ก... ว่าแล้ว หากไม่มีพลังยุทธ์ก็ไม่อาจฝึกฝนวิชากระบี่ดาวตกได้สำเร็จ”
ฉู่อวิ๋นกุม หน้าอกอันเ็ปไว้แน่น พลางเช็ดเืออกจากมุมปากอย่างขมขื่น
ระดับขั้นพลังยุทธ์ในแคว้นเทียนเฉินแบ่งออกเป็ห้าขั้น: นักบุญ จักรพรรดิ ราชันย์ ิญญา และมนุษย์ แต่ละขั้นแบ่งออกเป็สามระดับ: สูง กลาง และต่ำ
วิชากระบี่ดาวตกเป็ทักษะการต่อสู้ธรรมดาระดับกลาง นอกจากนี้ยังเป็ทักษะกระบี่พื้นฐานของบรรพบุรุษตระกูลฉู่แห่งเมืองไป๋หยาง ที่สมาชิกทุกคนในตระกูลจะต้องฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ
พูดตามหลักเหตุผลแล้ว การฝึกยุทธ์ย่อมต้องใช้พลังยุทธ์มาหนุนนำ ทว่าฉู่อวิ๋นที่ไร้ทางฝึกฝน หลังจากเพียรพยายามมาทั้งวันทั้งคืน กลับเชี่ยวชาญในรายละเอียดของวิชากระบี่ดาวตก หากนักรบคนอื่นรู้เข้า พวกเขาต้องใมากแน่ๆ
ด้วยพร์ด้านกระบี่ที่โดดเด่นผนวกกับความดื้อรั้น หากเขาสามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ของตนเองได้ ชื่อเสียงย่อมะเืใต้หล้าเป็แน่
ทว่าเมื่อไร้ซึ่งพลังยุทธ์ แม้จะสามารถเรียนรู้วิชากระบี่ได้ก็ไร้ผล พลังที่มีอยู่จะถดถอยลง จนแม้แต่ร่างกายก็อาจเสียหายได้
“สามวันหลังจากนี้ ข้าควรทำอย่างไรดี?”
เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด ดวงตาของฉู่อวิ๋นก็มืดลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่นและหดหู่
หากเขาไม่ออกจากลานด้านตะวันออก ฉู่เฮ่าก็จะพาลูกน้องมายึดเรือนคืนภายในสามวัน เมื่อถึงตอนนั้น สถานการณ์ของพี่สาวของเขา ฉู่ซินเหยาย่อมไม่ปลอดภัยเป็แน่ ถึงตอนนั้นคงมีแค่เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่าตระกูลหลักจะจัดการกับนางอย่างไร
“ติ้ง——ติ้ง——”
ทันใดนั้น เสียงกู่ฉินอันไพเราะก็ดังขึ้น ท่วงทำนองนั้นผ่อนคลายและน่าฟัง ชวนให้ผู้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
“เสียงฉินของพี่ซินเหยายังคงไพเราะเช่นเดิม ข้าจะต้องปกป้องมันเอาไว้ให้ได้”
ฉู่อวิ๋นค่อยๆ หลับตาพริ้ม รับฟังท่วงทำนองอันบริสุทธิ์นี้ เขาดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงจนความคิดที่กวนใจถูกพัดพาออกไป ลมหายใจที่วุ่นวายพลันสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อฉู่อวิ๋นตกอยู่ในความเงียบงัน ิญญายุทธ์กระบี่หักที่ซ่อนอยู่ในทวารรับแสงศักดิ์สิทธิ์ระหว่างคิ้วของเขาก็สั่น ทำให้ฉู่อวิ๋นปวดหัวจนแทบจะะเิ!
"ตึง--"
"เกิดอะไรขึ้น?!"
ฉู่อวิ๋นใกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
“หรือเป็เพราะข้าฝึกยุทธ์มากเกินไป?”
จู่ๆ ฉู่อวิ๋นก็ลืมตาขึ้นและรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนอยู่ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จิตสำนึกของเขาก็ถูกทวารรับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหว่างคิ้วดึงให้เข้าสู่จิตของิญญายุทธ์กระบี่หักอย่างสมบูรณ์
ฉู่อวิ๋นใช้เวลาอยู่นานกว่าจะลืมตาได้ หลังจากลืมตา เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
"นี่คือที่ไหน?"
เมื่อสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง จู่ๆ ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกใอย่างมาก
นี่คือห้องโถงอันงดงามและเรียบง่าย ลักษณะของโถงเป็รูปแปดเหลี่ยม มีประตูลึกลับแปดประตูที่มีรูปร่างต่างกันกระจายเป็ระยะเท่าๆ กันในแปดทิศทาง แต่ละประตู แกะสลักเป็ตัวอักษรหลักแปดตัว ได้แก่ เปิด พัก ชีวิต เจ็บ สิ้น สภาพการณ์ ตื่นรู้ และมรณา
ตรงกลางห้องโถงมีแผ่นหินขนาดใหญ่สูงยี่สิบหมี่[1] สลักด้วยตัวอักษรเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างหนาแน่นจนยากต่อการถอดความ
ภาพการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้ทำให้ฉู่อวิ๋นประหลาดใจนัก "ก่อนหน้านี้ จิตของข้าดูเหมือนจะถูกดูดเข้าสู่จิตของิญญายุทธ์กระบี่หัก หรือนี่คือพื้นที่ภายในจิตของิญญายุทธ์?"
ไม่อยากจะเชื่อเลย
ใต้หล้านี้ ิญญายุทธ์สามารถเป็ได้ทั้งวัตถุ สัตว์ พืช พลังพื้นพิภพ แม้แต่เป็หนังสือหรือก้อนหินก็ได้ ทว่าิญญายุทธ์ที่มีพื้นที่ภายในจิตของตัวเองนั้นกลับไม่เคยได้ยิน ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ช่างแปลกประหลาดจริงๆ
ในขณะที่ฉู่อวิ๋นกำลังสับสน คำที่สลักบนแผ่นหินที่อยู่ตรงกลางห้องโถงก็กลายเป็ดวงไฟเล็กๆ ทีละจุด หลุดออกมาจากแผ่นหิน จากนั้นก็รวมตัวกันเป็ลำแสงสีทอง วิ่งผ่านอากาศเหมือนกระแสน้ำซัดโหม
ทันใดนั้น แสงสีทองก็พุ่งมาชนฉู่อวิ๋นอย่างรวดเร็ว แล้วถั่งโถมทุกอย่างเข้าสู่ตัวเขา
"ตูม--"
ฉู่อวิ๋นรับรู้ได้เพียงเสียงคำรามในหัว ราวกับว่ามีความทรงจำเพิ่มเติมเข้ามา ทั้งยังมีเสียงที่ไม่มีตัวตนและไม่เคยได้ยินดังขึ้นในหูของเขา
“โถงกระบี่แปดบัญชรถูกสร้างขึ้นภายในกระบี่บาป์ และสร้างโลกเล็กๆ นี้ขึ้นมา”
“หลังประตูของโถงกระบี่แปดบัญชร มีสมบัติลับแห่งใต้หล้าอยู่ มูลค่านับอนันต์ ทุกครั้งที่ประตูใดๆ ถูกทะลวงผ่าน ผนึกของประตูที่เกี่ยวข้องจะถูกปลด”
“หากมีผู้ใดถูกลิขิตให้ได้รับสืบทอด หวังว่าจะสามารถหวนคืนแก่ใต้หล้าได้”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉู่อวิ๋นก็รู้แจ้งขึ้นมาเล็กน้อยกับข้อมูลที่มีมากมาย
“ที่แท้ิญญายุทธ์ที่ข้าปลุกขึ้นมาได้ ชื่อกระบี่บาป์”
“บาป์ บาป์... ก็ดูเป็การไม่เคารพดี มิน่าข้าถึงฝึกฝนวิชาได้ยากนัก ที่แท้เป็กระบี่ที่มีชื่อไม่น่าเรียกเช่นนี้นี่เอง” ฉู่อวิ๋นส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้มเยาะให้กับตัวเอง
ฉู่อวิ๋นครุ่นคิดอีกครั้ง หากทุกครั้งที่เขาทะลวงผ่านประตูวิถีได้ เขาก็สามารถเปิดประตูยุทธ์ได้ แต่ตอนนี้เขาฝึกฝนมาถึงระดับแรกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณแล้ว หากคิดจะเปิดประตูบานใดบานหนึ่งจะเป็ไปได้หรือไม่?
การปลุกิญญายุทธ์นั้น เป็ขั้นแรกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ และฉู่อวิ๋นก็ยังอยู่แค่ในขั้นนี้ ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้
แม้ว่าิญญายุทธ์ที่ปลุกขึ้นมาได้จะยังไม่อาจใช้งานได้ แต่ฉู่อวิ๋นยังคงอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน ทั้งยังอยากรู้ว่ามีสมบัติใดบ้างที่ซ่อนอยู่หลังประตูโถงกระบี่แปดบัญชร
บางทีอาจมีสมบัติลับที่สามารถฟื้นฟูิญญายุทธ์เก็บซ่อนอยู่หลังประตูบานแรกก็เป็ได้?
ฉู่อวิ๋นกวาดตามองแปดประตูลึกลับนั้นผ่านๆ และเริ่มสังเกตแต่ละประตูอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ค้นพบว่ามีประตูเจ็ดบานที่ปล่อยรังสีแสงสีดำเย็นเยียบ ดูน่าหลงใหล มีเพียงประตูที่สลักคำว่า "เปิด" เท่านั้นที่ต่างออกไป
ฉู่อวิ๋นเดินไปหาประตูที่มีคำว่า "เปิด" อยู่ตรงหน้า ประตูสูงราวสิบหมี่และมีสีดำสนิท สลักด้วยลวดลายธาตุทั้งห้า ลอยช้าๆ ราวกับสิ่งมีชีวิต
"อัศจรรย์นัก! ลองเปิดดูแล้วกัน..."
ฉู่อวิ๋นหายใจเข้าลึกๆ เหยียดมือออกไปเปิดประตูแล้วก้าวไปข้างหน้าช้าๆ เขาเห็นห้องหินที่ค่อนข้างแคบปรากฏขึ้นตรงหน้า ในห้องแทบจะว่างเปล่า มีเพียงแผ่นหินโบราณที่แขวนอยู่บนผนังหินที่อยู่ลึกที่สุดเท่านั้น
ฉู่อวิ๋นเดินเข้าไปหาแผ่นหินโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปัั ทันใดนั้น เสียงอันบริสุทธิ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“กระบี่บาป์แตกต่างจากวิชายุทธ์ทั่วไป ไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้ด้วยวิธีสามัญ หาก้าฝึกฝน ย่อมต้องใช้วิถีกลั่นกรองศักดิ์สิทธิ์เพื่อปลดผนึก”
“วิถีกลั่นกรองศักดิ์สิทธิ์ใช้กายาเป็หม้อต้ม กลั่นฟ้ากลั่นดิน กลั่นเทพเซียนกลั่นปีศาจ หลอมรวมต้นกำเนิดแห่งใต้หล้า เมื่อสำเร็จ เพียงดีดนิ้วก็ปัดเป่ากลีบเมฆาบนนภา เพียงโบกมือดวงดาราก็พลัดตกแตกสลาย ไร้ผู้ใดเทียบเทียม”
“ตั้งสมาธิไปที่แผ่นหินเพื่อเพรียกซึ่งวิถี”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของฉู่อวิ๋นก็สว่างวาบขึ้นทันที เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง!
“มีวิธีที่สามารถปลดผนึกกระบี่บาป์ที่ซ่อนอยู่ในแผ่นหินนี้ได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นิญญายุทธ์ของกระบี่บาป์ก็ไม่ใช่สิ่งไร้ประโยชน์ ทว่ากลับเป็สิ่งที่พิเศษนัก! ข้า...ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เขาเคลื่อนที่ตามใจคิด มุ่งความสนใจไปยังแผ่นหิน
“วู——”
ด้วยเสียงคำรามลึกลับ แผ่นหินก็เปล่งแสงสีทองออกมา ก่อนจะทิ้งร่องรอยภาพลึกลับที่ค่อยๆ ปรากฏบนพื้นผิวขรุขระ
จากนั้นไม่นาน ภาพที่สมบูรณ์ก็ปรากฏขึ้น มันเป็รูปวงกลมลึกลับ วงกลมด้านนอกมีวงสีดำเล็กๆ ห้าวงกระจายอยู่เท่าๆ กัน ข้างในมีเส้นสลับซับซ้อนดูแปลกตามาก
“วงแหวนห้าิญญา”
เพียงแค่มองดู ฉู่อวิ๋นก็จำชื่อของรูปนั้นได้ เห็นได้ชัดว่าได้รับความช่วยเหลือจากความทรงจำที่เพิ่มมานั้น
ข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขาทันที
“แผนภาพแรกของวิถีกลั่นกรองศักดิ์สิทธิ์ คือภาพิญญาทั้งห้า ใช้ร่างกายเป็วงแหวนแห่งจิติญญาเพื่อปรับแต่งพลังปราณโบราณ ดูดซับิญญาศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า และสร้างเอกภพขึ้นมาใหม่ จากนั้นแล้ว ย่อมหมุนเวียนไปตามวัฏจักร กฎทั้งหลายย่อมเป็ไปตามธรรมชาติ..."
“เป็แบบนี้นี่เอง แผนภาพนี้คือทักษะ เส้นที่ตัดกันแปลกๆ เ่าั้ก็คือเส้นทางการโคจรทักษะ!”
เมื่อดูลวดลายบนแผ่นหิน ฉู่อวิ๋นก็ยังคงรู้สึกทึ่ง
เป็ที่รู้กันว่า ทักษะวิชาที่นักรบิญญาฝึกฝนนั้น นอกจากการกระตุ้นิญญายุทธ์เพื่อดูดซับพลังจากดินฟ้าแล้ว ยังมีหน้าที่ที่สำคัญยิ่งในการดึงพลังเข้าสู่จุดตันเถียน[2]อีกด้วย
หากเปรียบเทียบิญญายุทธ์กับแหล่งน้ำ เส้นลมปราณทั่วร่างกายก็คือช่องทางน้ำ และทักษะก็คือสระน้ำ
ทักษะที่ดีไม่เพียงช่วยให้นักรบิญญาสามารถกักเก็บพลังปราณได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการฝึกฝน ทำให้พลังิญญายุทธ์ถูกแปลงเป็พลังปราณมากขึ้นในเวลาเดียวกัน
ยิ่งฝึกฝนได้ก้าวหน้า เส้นโคจรก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้น เส้นลมปราณที่ใช้งานได้จริงก็จะยิ่งมากขึ้นเช่นกัน
“ภาพวงแหวนห้าิญญานี้ อัศจรรย์เกินไปแล้ว!”
เมื่อดูเส้นทางการฝึกฝนที่ซับซ้อนบนแผ่นหินชนวน ฉู่อวิ๋นก็ตื่นเต้นมากจนต้องสงบจิตสงบใจก่อนจึงจะอ่านต่อ
หลังจากนั่งสมาธิเป็เวลาหนึ่งชั่วยาม ในที่สุด ฉู่อวิ๋นก็เข้าใจภาพวงแหวนห้าิญญาแล้ว เขาจดจำภาพเส้นโคจรของทักษะได้อย่างแม่นยำ
ทว่า ฉู่อวิ๋นในตอนนี้กลับคิ้วขมวด ใช้นิ้วถูคาง ลูบแตะริมฝีปาก และกลอกตาไปมา
เพราะเขาสังเกตว่ามีตัวอักษรเล็กๆ แปลกๆ เรียงกันอยู่ใต้แผ่นหิน
“ภาพวงแหวนห้าิญญานี้ ที่แท้คือทักษะที่ต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ขั้นเริ่มต้นจะไปได้ถึงขั้นมนุษย์ระดับต่ำเท่านั้น หลังฝึกเสร็จ ความสามารถของพลังปราณที่จุดตันเถียนยังน้อยมาก”
“หาก้าพัฒนาทักษะนี้ ต้องตามหาิญญาศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า ฝึกฝนกลั่นหลอม และใส่เข้าไปในวงแหวนห้าิญญาในร่างกาย ทว่าใต้หล้ากว้างใหญ่นัก ข้าจะไปหาิญญาศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าจากที่ใดกันเล่า?”
ิญญาศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากต้นกำเนิดของ์และพื้นพิภพ ด้วยหายากและมากอำนาจ จึงไม่ใช่เื่ง่ายที่คนธรรมดาจะพบเจอ แม้จะสามารถพบได้ แต่ก็ยากที่จะหลอมรวมมัน เพราะอาจาเ็สาหัสและระดับขั้นการฝึกลดลงมาก จนถึงกับฟั่นเฟือนหรือเสียชีวิตได้ในทันที
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่อวิ๋นก็ตัดสินใจเริ่มฝึกฝน
“ิญญาศักดิ์สิทธิ์ไกลเกินเอื้อมจากข้าไปหน่อย แม้ว่าทักษะในตอนนี้จะให้ได้เพียงขั้นมนุษย์ระดับต่ำ แต่ิญญายุทธ์กระบี่บาป์นั้นมหัศจรรย์มาก หลังจากฝึกฝนสิ่งที่เรียกว่าพลังปราณโบราณนั่นแล้ว การต่อกรกับตระกูลหลักคงไม่ใช่ปัญหาแล้วกระมัง?”
หลังจากสรุปความคิดแล้ว ฉู่อวิ๋นก็ควบคุมจิตสำนึกและถอยออกจากโถงกระบี่แปดบัญชร เตรียมตัวปลุกิญญากระบี่บาป์
--------------------
[1] 米 (mǐ หมี่) 1 เมตร
[2] ตำแหน่งจุดศูนย์กลางของพลังงานภายในร่างกาย โดยในลัทธิเต๋าได้กำหนดตำแหน่งจุดตันเถียนบนร่างกายไว้ 3 แห่ง คือ ตันเถียนบน อยู่บริเวณหว่างคิ้ว ตันเถียนกลาง อยู่บริเวณหน้าอกใต้หัวใจ และตันเถียนล่าง อยู่บริเวณใต้สะดือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้