บทที่ 8 ราคาของปาฏิหาริย์ และไข่นึ่ง
ค่ำคืนนั้น ไม่มีใครในกระท่อมหลังน้อยได้หลับลงอย่างสนิท
แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมาอาบร่างของคนสี่คนที่นั่งเฝ้าเด็กน้อยอีกหนึ่งคนอยู่ เงียบ ๆ ป้าหลิวไม่ยอมกลับบ้าน นางนั่งกุมมือบุตรชายไว้ไม่ห่างกาย ดวงตาบวมช้ำแต่กลับทอประกายแห่งความหวังอย่างไม่ยอมดับสิ้น หลี่ซือคอยดูแลปรนนิบัติเพื่อนบ้านและลูกชายของนางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คอยเปลี่ยนผ้าชุบน้ำอุ่น คอยป้อนน้ำขิงให้เป็ระยะ
ส่วนอันจิน เขานั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม แต่แผ่นหลังกลับตั้งตรงราวกับทวนเล่มหนึ่ง สายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างของอาเป่าสลับกับบุตรสาวของตนเอง ในหัวเต็มไปด้วยคำถามนับล้านที่ไร้ซึ่งคำตอบ เขาไม่ได้พยายามหาคำตอบ แต่กำลังพยายามทำความเข้าใจกับความจริงที่อยู่ตรงหน้า ความจริงที่ว่าโลกในสายตาของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
อันหนิงคือคนที่เหนื่อยล้าที่สุดนางใช้พลังงานทั้งร่างกายและจิตใจไปจนแทบหมดสิ้น แต่ก็ยังฝืนทนนั่งเฝ้าดูอาการของอาเป่าอยู่ไม่ห่างจนกระทั่งแน่ใจว่าชีพจรของเขาคงที่ และไม่มีอาการแทรกซ้อนแล้วนางจึงเอนกายพิงเสาไม้ข้างเตียงและผล็อยหลับไปทั้ง อย่างนั้น
นางไม่ได้ฝัน แต่กลับถูกดึงเข้าไปในพื้นที่ว่างเปล่าสีขาวโพลน ที่ซึ่งหน้าจอสีฟ้าของระบบโอสถทิพย์ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า
[ภารกิจฉุกเฉิน: แข่งขันกับจุมพิตอสรพิษ สำเร็จ!]
[ประเมินผลการปฏิบัติภารกิจ: ยอดเยี่ยม! โฮสต์แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ การตัดสินใจที่เฉียบแหลม และความรู้ทางการแพทย์ที่ประยุกต์ใช้อย่างยอดเยี่ยม]
[กำลังมอบรางวัลพิเศษ...]
[ท่านได้รับรางวัล:
1. ตำรับยาถอนพิษระดับกลาง: ยาเม็ดหยกเย็น 1 ตำรับ]
2. ปลดล็อกฟังก์ชันใหม่: มิติเก็บเกี่ยวโอสถ ระดับ 1]
3. แต้มโอสถทิพย์ +50 แต้ม]
[ค่าประสบการณ์ระบบ +100]
[ระดับโฮสต์ปัจจุบัน: 2 (10/200 EXP) ]
อันหนิงเบิกตากว้าง รางวัลครั้งนี้มันช่างยิ่งใหญ่เสียจริง!
ข้อมูลเกี่ยวกับยาเม็ดหยกเย็นหลั่งไหลเข้ามาในหัว มันเป็ยาถอนพิษที่ครอบคลุมพิษร้ายแรงทั่วไปได้เกือบทั้งหมด มีสรรพคุณสูงกว่าการใช้สมุนไพรสด ๆ หลายเท่านัก หากมีมันติดตัวไว้ ก็เท่ากับมีหลักประกันชีวิตเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
แต่สิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นที่สุดคือฟังก์ชันใหม่ มิติเก็บเกี่ยวโอสถ!
'เปิดใช้งานมิติเก็บเกี่ยวโอสถ!' นางสั่งการในใจ
ทันใดนั้น ทิวทัศน์รอบกายก็พลันเปลี่ยนไป จากพื้นที่สีขาวว่างเปล่ากลายเป็ทุ่งหญ้าเขียวขจีขนาดประมาณครึ่งหมู่ (ประมาณ 330 ตารางเมตร) ตรงกลางมีบ่อน้ำพุเล็ก ๆ ที่ส่งไอน้ำจาง ๆ ออกมา อากาศในนี้สดชื่นและบริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับแดน์ในตำนาน
[มิติเก็บเกี่ยวโอสถ ระดับ 1:
- พื้นที่เพาะปลูก: ครึ่งหมู่
- อัตราเร่งเวลา: 10:1 (เวลาภายนอก 1 วัน เท่ากับ 10 วันในมิติ)
- น้ำพุพลังิญญา: น้ำจากบ่อสามารถใช้รดพืชเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและเพิ่มสรรพคุณทางยาได้]
หัวใจของอันหนิงพองโตด้วยความยินดีนี่มัน นี่มันคือสุดยอดเครื่องมือทำมาหากินเลย ไม่ใช่หรือ! นางสามารถปลูกสมุนไพรหายากได้ในนี้! ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในป่าลึกอีกต่อไป แถมยังเติบโตเร็วกว่าภายนอกถึงสิบเท่า!
"ต่อไปนี้ เื่ความอดอยาก จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับครอบครัวของข้าอีก!" นางกำหมัดแน่น สัญญากับตัวเองในใจ
รุ่งเช้ามาเยือนพร้อมกับเสียงไก่ขันจากหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล
อันหนิงถูกปลุกให้ตื่นโดยััอันอ่อนโยนของมารดาที่กำลังนำผ้าห่มเก่า ๆ มาคลุมร่างให้ "ตื่นแล้วหรือลูก ไปนอนพักบนเตียงดี ๆ เถิดนะ เมื่อคืนเ้าลำบากมากแล้ว"
"ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ" อันหนิงบิดี้เีเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังเตียง "อาเป่าเป็อย่างไรบ้าง"
"ไข้ลดลงมากแล้วลูก" หลี่ซือกล่าวด้วยรอยยิ้ม "เมื่อครู่ป้าหลิวกลับไปบ้านเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้เขาแล้ว นางบอกว่าซาบซึ้งในบุญคุณของเ้าจนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดี"
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้นเองป้าหลิวก็เดินกลับมาพร้อมกับชามกระเบื้องใบหนึ่งที่ถูก ประคองมาอย่างดีราวกับเป็ของล้ำค่าในชามนั้นคือไข่นึ่งเนื้อเนียนละเอียดสีเหลือง นวลที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วกระท่อม
ในยุคสมัยที่ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ไข่ไก่ถือเป็อาหารบำรุงชั้นเลิศที่มีราคาแพงและหาได้ยากยิ่งสำหรับชาวบ้านธรรมดา
"หนิงเอ๋อร์! ท่านหมออัน! คุณนายอัน!" ป้าหลิวเดินตรงเข้ามาหาทั้งสามคน ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย!
"ป้าหลิว! ท่านทำอะไรน่ะ!" หลี่ซือรีบเข้าไปประคอง แต่ป้าหลิวก็ยังคงดึงดันที่จะคุกเข่าอยู่
"ข้าไม่รู้จะขอบคุณพวกท่านได้อย่างไร" นางกล่าวทั้งน้ำตา "ชีวิตของอาเป่า ก็คือชีวิตของข้า หากไม่มีพวกท่าน ป่านนี้ข้าคงกลายเป็คนไร้ิญญาไปแล้ว บุญคุณครั้งนี้ แม้ต้องเป็วัวเป็ม้าในชาติหน้าข้าก็ยินดีจะชดใช้ให้!" นางก้มศีรษะลงโขกกับพื้นดินเบา ๆ "ไข่ถ้วยนี้ เป็ไข่ไก่สองฟองสุดท้ายที่ข้ามี ข้ารู้ว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับชีวิตของลูกข้า แต่ได้โปรด ได้โปรดรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของข้าไว้ด้วยเถิด"
ภาพหญิงม่ายที่ยากจนคุกเข่าอ้อนวอนพร้อมกับไข่นึ่งหนึ่งถ้วย มันคือภาพที่ะเืใจและซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง
หลี่ซือน้ำตาคลอเบ้า นางกำลังจะปฏิเสธ แต่เสียงของอันหนิงก็ดังขึ้นก่อน
"พวกเรารับไว้เ้าค่ะท่านป้า"
ทุกคนหันไปมองอันหนิงด้วยความประหลาดใจ
อันหนิงเดินเข้าไปประคองป้าหลิวให้ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง "ท่านป้า ท่านให้ค่าตอบแทนพวกเราแล้ว และมันก็เป็ค่าตอบแทนที่ล้ำค่าที่สุด" นางกล่าวพลางมองไปที่อาเป่าซึ่งบัดนี้กำลังจ้องมองมายังพวกนางด้วยแววตาที่สดใส ขึ้น "ชีวิตที่รอดกลับมาของอาเป่า รอยยิ้มของท่าน นั่นคือค่ารักษาที่หมอทุกคนปรารถนาที่สุดแล้ว"
"ส่วนไข่ถ้วยนี้ " นางรับชามไข่นึ่งมาถือไว้ในมือ "ข้าขอรับไว้ในนามของ ยาบำรุง ที่ท่านมอบให้แก่อาเป่า เพราะหลังจากนี้ ร่างกายของเขา้าการฟื้นฟูอย่างมาก และไข่ถ้วยนี้ก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้"
คำพูดของอันหนิง ไม่เพียงแต่รับน้ำใจของป้าหลิวไว้โดยไม่ทำให้นางรู้สึกติดค้าง แต่ยังเปลี่ยน "ของกำนัล" ให้กลายเป็ "ยา" เพื่อประโยชน์ของคนไข้เองอีกด้วย มันคือความเฉลียวฉลาดและความมีเมตตาที่ทำให้อันจินซึ่งนั่งมองอยู่เงียบๆ ถึงกับต้องทอดถอนใจยาวออกมาเขา เทียบกับบุตรสาวในยามนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
"ไปเถิดเ้าค่ะท่านป้า ไปป้อนยาบำรุงถ้วยนี้ให้อาเป่าทานเถิด"
ป้าหลิวพยักหน้ารับทั้งน้ำตา นางรับชามไข่นึ่งกลับไป ค่อย ๆ ป้อนให้บุตรชายทานทีละคำสองคำด้วยความรักและความทะนุถนอม
หลังจากป้าหลิวและอาเป่ากลับบ้านไปแล้วบรรยากาศในกระท่อมก็กลับมาเงียบสงบ อีกครั้ง แต่เป็ความเงียบที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกดีๆ
"เ้าทำได้ดีมาก หนิงเอ๋อร์" หลี่ซือลูบศีรษะบุตรสาวเบาๆ
อันหนิงยิ้มรับ แต่แล้วร่างของนางก็พลันโซซัดโซเซจนเกือบล้มลง
"ว้าย! หนิงเอ๋อร์!" หลี่ซือใรีบประคองไว้ "เ้าเป็อะไรไปลูก!"
"ข้า... ข้าแค่หิวข้าวน่ะเ้าค่ะ" อันหนิงหัวเราะแหะๆ ออกมา "ใช้พลังงานไปเยอะ ท้องมันก็เลยประท้วงเสียงดังไปหน่อย"
คำพูดติดตลกของนางทำให้บรรยากาศที่กำลังจะตึงเครียดผ่อนคลายลง หลี่ซือทั้งขำทั้งสงสารลูกสาวจับใจ "โถ ลูกแม่"
แต่ก่อนที่ใครจะได้ทำอะไร อันจินที่นั่งเงียบมานานก็ลุกขึ้นยืน เขายันกายด้วยไม้เท้า เดินขากะเผลกตรงไปยังห้องครัวที่มืดๆ ทึบๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ
อันหนิงกับหลี่ซือมองหน้ากันอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร
เสียงกุกกักดังมาจากในครัวอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่อันจินจะเดินกลับออกมา ในมือของเขาถือชามดินเผาใบหนึ่ง ในชามนั้นคือโจ๊กรากดินซ่อนดาวที่ยังอุ่นๆ อยู่ และบนหน้าโจ๊กนั้น มีสมุนไพรสีเขียวสดสองสามใบวางประดับอยู่อย่างสวยงาม
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่วางชามโจ๊กลงบนโต๊ะตรงหน้าอันหนิงเบาๆ แล้วเดินกลับไปนั่งที่มุมเดิมของเขา
ทว่า การกระทำนั้น กลับมีพลังยิ่งกว่าคำพูดนับพันคำ
นี่คือครั้งแรก ครั้งแรกในรอบครึ่งปีที่เขาลงมือทำอะไรเพื่อคนอื่น