ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงรีบไปยังเจียวซางอย่างเอิกเกริก ใช้เวลาหลายวันกว่าจะเข้าสู่อาณาเขตของูเาคงหลงซาน
ทันทีที่เข้าสูู่เาคงหลงซาน ชาวสำนักคงหลงซานล้วนกระตือรือร้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แย่งกันแนะนำวิวทิวทัศน์ อาหารและประเพณีพื้นบ้านในท้องถิ่นอันงดงามให้กับเจียงเฉิงเยว่และผู้คนนอกพื้นที่ ฉิงชางจวินชอบเล่นสนุกเสมอ เขาปล่อยความคิดฟุ้งซ่านในใจไปอย่างตื่นเต้นชั่วคราว เกิดความรู้สึกเบิกบานใจอยู่หลายส่วนราวกับท่องเขาลำเนาไพร
กล่าวตามตรง หลังจากที่เขาตายแล้วเข้าสู่ปรโลก โดยปกติย่อมไม่อาจเตร็ดเตร่อย่างอิสระในโลกมนุษย์ เวลาต่อมาเข้าไปในร่างของหลี่อวิ๋นเฉิน เนื่องจากข้อจำกัดของตัวตนจึงไม่อาจออกจากสถานที่ทั้งสองอย่างโซ่วหลิงกับเขาฉีหวนได้ เวลาผ่านไป เขาถูกตี้จวินประทับตราโดยตรึงไว้ในเขาฉู่อวิ๋น หากเป็ไปได้ ฉิงชางจวินกลับมีความคิดบางอย่าง ้าใช้เวลาท่องเที่ยวแม่น้ำกับูเาอันยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์หลังจากฝุ่นผงร่วงหล่น[1] หมดแล้ว
หลังคิดถึงตรงนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะลอบมองร่างสูงใหญ่ที่ควบอาชาอยู่ข้างกาย ใบหน้าด้านข้างของหลี่อวิ๋นหังทำให้รู้สึกมหัศจรรย์อยู่หลายส่วนเช่นเคย หากสามารถร่วมทางกับคนรูปงามเช่นนี้ยามท่องโลก...
ก่อนที่ความคิดอันนุ่มนวลของเขาจะเผยอย่างเต็มที่ คนรูปงามราวกับรู้สึกตัว เหลือบมองเขาอย่างเ็าแวบหนึ่ง ฉิงชางจวินรีบถอนสายตาจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าด้วยท่าทีที่ไม่มีความวอกแวก
ฉิงชางจวินละทิ้งความคิดอันนุ่มนวลในใจ ลงจากหลังอาชาพร้อมกับทุกคน เตรียมที่จะเข้าพักในโรงเตี๊ยม
ยามที่เขามองชาวคงหลงซานซึ่งกระตือรือร้นที่จะแสดงมิตรภาพของเ้าบ้านกลับรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ กล่าวตามตรงแล้วหากเป็สำนักป้าเทียน ตัวเขามาถึงหน้าประตู ตนสามารถให้ผลประโยชน์บางอย่างกับสำนักป้าเทียนได้ พวกเขาจึงประจบประแจงตนเองกระมัง ถึงอย่างนั้น สำนักยิ่งใหญ่อย่างคงหลงซานเช่นนี้ เขาไม่คิดว่าตัวเขาซึ่งเป็าาผีตกอับจะมีอะไรที่พวกเขา้า
ทว่าสถานที่ซึ่งพวกเขา้าไปสำรวจนั้น หากมีชาวคงหลงซานในการจัดการเื่ราวจะยิ่งสะดวกขึ้น แม้จะบอกว่าใช้คนอย่าได้ระแวง หากระแวงก็อย่าได้ใช้ สุดท้ายแล้วฉิงชางจวินเหลือความระวังตัวเล็กน้อยอยู่ในใจ ยามทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ ยามน้ำมาใช้ดินต้าน[2] หากจะแก้ปัญหาต้องเห็นฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวก่อน แน่นอนว่าความสงสัยในใจไม่ได้ขัดขวางฉิงชางจวินจากการมีมิตรภาพที่ดีภายนอกกับพวกเขา ไม่กี่วันมานี้ บรรยากาศช่างกลมกลืน ทุกคนดีต่อกัน าาผีที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือผู้นี้กับนักพรตในโลกมนุษย์ซึ่งเดิมทีควรเป็ศัตรูโดยธรรมชาติกำลังจะกอดคอเรียกกันว่าพี่น้องแล้ว
ฉิงชางจวินมองอาหารอันโอชะหรูหราบนโต๊ะเบื้องหน้า ระบายยิ้มขณะฟังคำอธิบายอย่างกระตือรือร้นจากศิษย์คงหลงซาน “ฉิงชางจวินลองชิมดูเถิด น้ำแกงพริกไทยนี้เป็เอกลักษณ์เฉพาะในพื้นที่ของเรา!”
“ลองชิมบะหมี่เืนี้ด้วยเถิด บะหมี่นั้นรสชาติจัดจ้านนัก”
“ฉิงชางจวิน ท่านต้องลองกินดู ไก่ย่าง โจ๊กแป้งข้าวโพด ขนมทอดน้ำมัน ซาลาเปาไส้มันฮ่อและเนื้อแกะดอง ล้วนเป็ของขึ้นชื่อในท้องถิ่น ไม่สามารถกินได้จากที่อื่น!”
เจียงเฉิงเยว่คล้อยตามไปกับการต้อนรับของพวกเขาอย่างเบิกบานใจ หลี่อวิ๋นหังกำลังลงมาจากบันได บังเอิญพบอี้จื่ออีที่กำลังจะลงไปชั้นล่างเช่นเดียวกัน
อี้จื่ออีประสานมือเอ่ยเสียงเบา “ซ่างเซียน”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้าเล็กน้อย กวาดสายตามองกลุ่มคนที่ครึกครื้นอยู่ชั้นล่าง ทันใดนั้นเอ่ย “คุณชายอี้”
หลังอี้จื่ออีได้ยินว่าอีกฝ่ายเรียกเขาเป็ครั้งแรกจึงหยุดฝีเท้าในทันใด อย่างกับรู้สึกได้รับความสำคัญเล็กน้อย “ซ่างเซียนมีคำสั่งอันใด?”
หลี่อวิ๋นหังยิ้มอย่างมองเห็นได้ยากนักแล้วถาม “คุณชายอี้ ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับ...ตระกูลัครามเหยียนชิวหรือไม่?”
อี้จื่ออีตะลึงเล็กน้อยค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครา “ผู้ใดในสามโลกหกเหล่าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลใหญ่ระดับนี้ในโลกปีศาจบ้างกัน เซียนจวิน เหตุใดจึงถามถึงพวกเขาอย่างกะทันหัน?
หลี่อวิ๋นหังมองด้วยแววตาลึกล้ำราวกับครุ่นคิด “เพียงเพราะเคยพบคนผู้หนึ่งในเมืองปี่อั้นก่อนหน้านี้ คุณชายอี้รู้จักคุณชายอวี้หลิว หลิ่ววั่งซูหรือไม่?”
อี้จื่ออีเผยรอยยิ้มลำบากใจเล็กน้อย “นี่มัน...”
หลี่อวิ๋นหังเลิกคิ้วขึ้นก่อนถาม “อะไรหรือ?”
อี้จื่ออียิ้มกล่าว “เช่นนั้นต้องดูว่านับอย่างไรว่ารู้จัก นามของคุณชายอวี้หลิวย่อมต้องเคยได้ยิน ครั้งก่อนยามที่ไปตลาดผีกับฉิงชางจวินก็เคยพบเขา ข้าน้อยย่อมจำเขาได้ยามอยู่ท่ามกลางฝูงชน ทว่าไม่มีทางที่เขาจะรู้จักข้า ไม่ทราบว่าเซียนจวิน คิดว่าเช่นนี้นับเป็การรู้จักกันหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีกแล้วเดินจากไป
อี้จื่ออีเดินตามหลังเขา คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม “เซียนจวิน หรือว่ามีปัญหาอะไรกับตระกูลัครามเหยียนชิวหรือไม่?”
หลังจากนั้นได้ยินหลี่อวิ๋นหังหยุดฝีเท้า “คุณชายอี้เคยได้ยินหรือไม่ว่าตระกูลัครามเหยียนชิวมีอาวุธวิเศษที่ไร้เทียมทาน?”
อี้จื่ออีงุนงงเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “ตระกูลัครามร่ำรวยเทียบได้กับประเทศหนึ่ง มีอาวุธวิเศษมากมายใช่หรือไม่ ไม่ทราบว่าเซียนหมายถึงชิ้นใด?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “มุกปราณอี้สิง”
อี้จื่ออีตกตะลึง
หลี่อวิ๋นหังกล่าวอีกครั้ง “ฉิงชางจวินกับข้าได้พบตระกูลัครามเหยียนชิวเมื่อออกจากหอปราสาท คุณชายอี้คิดว่าหากท่านกำลังฟุบหลับแล้วมีคนยื่นหมอนให้ จะใช้หมอนใบนี้หรือไม่เล่า?”
อี้จื่ออีหยุดชั่วขณะ สีหน้ากลับมายิ้มตามปกติ “เหยียนชิวทำการค้าในสามโลก โดยปกติแล้วทำการค้าย่อมพูดด้วยความซื่อสัตย์ คิดว่าพวกเขาคงไม่ทำเื่เลือกที่รักมักที่ชังหรอกกระมัง?”
หลี่อวิ๋นหังมองเขาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ทว่าไม่มีความอบอุ่นในดวงตาแม้แต่นิด “เช่นนั้นก็ดี”
หลังจากกล่าวจบไม่ได้มองอีกฝ่ายอีกต่อไป เขาเอามือไพล่หลังเดินลงไป เจียงเฉิงเยว่เห็นทั้งสองคนในเวลานี้จึงโบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้มจากระยะไกล “รีบมาเร็ว! หลิวฝูชุน สุรารสเลิศของคงหลงซานช่างมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือเสียจริง!”
ศิษย์สำนักคงหลงซานรีบหลีกทางให้ทั้งสองคนที่ด้านซ้ายและขวาของเจียงเฉิงเยว่ วางถ้วยใบใหม่แล้วรินจนเต็มก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายอี้กับคุณชายหลินก็ลองชิมดูเถิด”
อี้จื่ออีฝืนยิ้ม ใบหน้ายังคงซีดเล็กน้อยภายใต้โคมไฟสีส้ม หลี่อวิ๋นหังมีท่าทีปกติ ยกแก้วขึ้นอย่างสบายๆ ได้ยินเจียงเฉิงเยว่กระซิบที่ข้างหูของตน “เหล้านี้รสชาตินุ่มนวล หอมหวานและอร่อยยิ่งนัก ช่างหาได้ยากจริงเชียว! เซียน เอ่อ…ท่าน...ลองชิมดูสิ”
หลี่อวิ๋นหังส่งเสียง “อืม” แ่เบาแล้วดื่มสุราในแก้ว
ขณะที่ต่างฝ่ายต่างยกเหล้าให้กัน เจียงเฉิงเยว่เป็เป้าหมายหลักที่ทุกคนชักชวนให้ดื่ม หลี่อวิ๋นหังมีนิสัยเ็า เจียงเฉิงเยว่ย่อมรู้ว่าเขาไม่ชอบการผสมโรงเช่นนี้ ยามที่มีคนมีตาหามีแววไม่คะยั้นคะยอให้เขาดื่มล้วนถูกเจียงเฉิงเยว่ขวางไว้ทั้งหมด เพราะกลัวว่าหลี่อวิ๋นหังจะหงุดหงิด ฉิงชางจวินเป็นักดื่มเหล้าตัวยงทั้งยามมีชีวิตและหลังตาย ดื่มได้หนึ่งพันแก้วโดยไม่เมา ดังนั้นจึงดื่มอย่างอาจหาญ เขาแทบไม่ปฏิเสธผู้ที่มาคารวะสุรากับตน เมื่อเป็เช่นนี้ หลังจากดื่มวนสามรอบรับประทานอาหารทั้งห้ารส เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
เป็เวลานานมากแล้วที่ไม่ได้พบสถานการณ์เช่นนี้ เจียงเฉิงเยว่รู้สึกประหลาดใจ เขาลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซ บอกปัดสองประโยค จากนั้นออกไปสูดอากาศ อี้จื่ออีที่อยู่ข้างกายกำลังจะประคองเขา ทว่าถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เขาบอกพลางหัวเราะ “ไม่เป็ไรๆ พวกท่านไปต่อเถิด ข้าไปเพียงครู่เดียวแล้วจะกลับมา”
ทุกคนคิดเพียงว่าเขา้าเข้าห้องน้ำ แน่นอนว่าไม่เหมาะที่จะขวาง
เมื่อเจียงเฉิงเยว่ออกไป เดิมทีคิดว่าอากาศเย็นจะทำให้สมองที่วิงเวียนแจ่มใสขึ้น หลังเดินห่างจากด้านหลังของผู้คนไม่กี่ก้าวอย่างช่วยไม่ได้ เขาพบว่าระดับความเมาของตนเกินกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย เขาเดินโซเซพลางค้ำเสาประตูทางเดิน กดศีรษะพลางส่ายอย่างแรง อาการวิงเวียนยิ่งมากขึ้นไปอีก
“แปลกนัก” เขาพูดกับตนเอง “หรือว่า...หรือว่าหลี่อวิ๋นเฉิน...ดื่มไม่ได้?” หลังครุ่นคิดอีกครั้ง องค์รัชทายาทร่างกายอ่อนแอด้วยสารพัดโรคย่อมไม่เหมาะกับการดื่มสุรา เวลาต่อมาได้ไปเขาฉีหวนเพื่อบ่มเพาะชำระล้างจิตใจอย่างสันโดษ รับประทานอาหารจืดชืด ไม่ได้ัักับรสชาติของสุรา แม้ว่าจะเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังเพียงไม่กี่ครั้งด้วยตัวตนของเขา อย่างไรย่อมต้องวางท่าจิบสักสองอึกอย่างสง่างามเป็พิธี จะดื่มอย่างอาจหาญเช่นนี้ได้อย่างไร? หลังจากนั้น...จากนั้นเขาถูกตี้จวินผนึกไว้ในเขาฉู่อวิ๋นโดยตรงเป็เวลานานกว่าร้อยห้าสิบปี การกินล้วนเป็ปัญหา แล้วการดื่มเล่า...
เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ ยิ้มอย่างขมขื่นพลางเอ่ยกับตนเอง “องค์ชายเฉิน ท่านช่างเป็คนที่บอบบางเสียจริง”
ฉิงชางจวินเดินต่อไปอย่างโซซัดโซเซ คืนนี้เป็คืนที่อากาศดีอย่างหาได้ยาก ท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้เมฆเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราว ขณะที่เขาเดินพลันรู้สึกว่าดวงดาวเต็มฟ้านั้นกำลังพลิ้วไหวรอบตัว เท้าและร่างกายเบาหวิว ศีรษะกำลังจะคว่ำลงกับพื้น ร่างกายกลับหยุดนิ่งในทันใด เขาถูกใครบางคนดึงเข้าไปในอ้อมแขนโดยโอบรอบหน้าอกของตนไว้ทันเวลา หลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่เขาอาจล้มลงด้วยท่าทางราวกับสุนัขกินโคลน
หน้าอกของคนผู้นั้นช่างอบอุ่น กว้างและหนาราวกับกำแพง มีกลิ่นหอมจางๆ บนร่างกาย เจียงเฉิงเยว่มีความทรงจำกับกลิ่นหอมนั้นอย่างลึกซึ้ง ยังไม่ทันได้เงยหน้ามองกลับจำกลิ่นหอมนี้ได้ เขาเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มน้อยอันอบอุ่นราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิให้กับคนผู้นั้นอย่างยากลำบาก ร่างที่กอดเขาไว้แข็งทื่อไปชั่วขณะ
“ซ่างเซียน” เขาเอ่ยเสียงแ่ ลำคอราวกับไม่สามารถรับน้ำหนักศีรษะของตนได้ จึงฝังศีรษะเข้าไปในหน้าอกของอีกฝ่ายอีกครั้ง สูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างละโมบ “ตัวท่านหอมมาก”
ยามโอบกอด มีเสียงหัวใจเต้นแรงในอกดังแว่วมา
ทันทีที่เห็นว่าเขาเอียงจะล้มลง หลี่อวิ๋นหังที่เดิมทีกำลังติดตามอยู่ด้านหลังห่างออกไปกว่าสิบก้าวจึงใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาระดับสูงเพื่อมาหาตามสัญชาตญาณด้วยความตื่นตระหนก เวลาชั่วพริบตาราวกับสายฟ้าแลบก็ปรากฏตัวตรงหน้า ยื่นมือไปรับคนผู้นั้นเต็มแขน
แน่นอนว่าร่างกายทั้งหมดนั้นพิงอยู่บนร่างของเขา หลี่อวิ๋นหังรู้ว่าอีกฝ่ายเมาแล้วจริงๆ
หลี่อวิ๋นหังรับรู้ว่าตนเองควรปล่อยมือ ควรประคองขึ้นมาดีๆ และควรพาไปส่งที่ห้องนอน ทว่าแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายกลับเหมือนแม่เหล็กดึงดูด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยได้ และไม่เต็มใจที่จะปล่อยเช่นเดียวกัน ชั่วขณะหนึ่งเบ้าตาของเขารู้สึกเ็ปอย่างห้ามไม่ได้ แม้แต่กล้ามเนื้อบนแก้มล้วนกระตุกแ่เบา มุมปากคว่ำลงโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกน้อยใจจริงๆ และไม่เคยน้อยใจมากเช่นนี้มาก่อน
หลี่อวิ๋นหังกัดฟันแน่น พยายามกล้ำกลืนความเ็ปอย่างสุดชีวิต สูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งแล้วค่อยๆ สงบอารมณ์ลง เป็เวลาหนึ่งก้านธูป เขายังคงยืนอยู่ในท่าทางกอดอีกฝ่ายเอาไว้โดยไม่ขยับเขยื้อนและไม่กล้าขยับ ราวกับกลัวว่าจะปลุกจากฝันดีที่หาได้ยาก
คนในอ้อมแขนนั้นเมามาก หลังจากถูกกอดไว้ในในอ้อมแขนอย่างอบอุ่น เขารู้สึกอบอุ่นและมั่นคงอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน แทบจะหลับไปในท่ายืน
น่าเสียดายนัก ยามที่หลี่อวิ๋นหังปรารถนาจะยืนเช่นนี้ไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย ศิษย์สำนักคงหลงซานสองสามคนกลับออกมาตามหาทั้งสองคนเมื่อไม่เห็นอยู่นาน แม้ว่าหลี่อวิ๋นหังจะไม่อาจหันไปมองได้ กลับได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบที่ปลายหู ก่อนที่พวกเขาจะออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อมาตามหาทางด้านนี้ หลี่อวิ๋นหังพาเจียงเฉิงเยว่ที่อยู่ในอ้อมแขนโดยใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาระดับสูงอีกครั้ง หายไปภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
สุดท้ายแล้ว เขายังคงส่งแมวขี้เมาในอ้อมแขนกลับไปที่ห้องนอน วางลงบนเตียงอย่างแ่เบา ถอดเสื้อคลุม รองเท้าและถุงเท้าออกให้อย่างอ่อนโยนและระมัดระวังยิ่งนัก เจียงเฉิงเยว่ให้ความร่วมมือกับกระบวนการทั้งหมด ดวงตาเมาเยิ้มสั่นไหว กำลังจ้องมาอย่างง่วงงุน เห็นใบหน้าขาวใสของหลี่อวิ๋นหังขึ้นสีแดงเล็กน้อย หลี่อวิ๋นหังจ้องอีกฝ่ายกลับด้วยความขุ่นเคืองและเขินอายเล็กน้อย
คนที่ถูกจ้องไม่ได้รู้สึกตัวเพราะเมามาย เมื่อถูกถอดเสื้อคลุมออกก็ตื่นเต้นอย่างชัดเจน กลิ้งไปมาบนเตียงม้วนผ้าปูที่นอนและผ้าห่มจนยับยู่ยี่ หลี่อวิ๋นหังเริ่มโกรธจัด เขาออกแรงดึงผ้าห่มที่อีกฝ่ายกอดไว้ในอ้อมแขนออก คลี่ออกแล้วคลุมร่างให้
“อาหัง” อีกฝ่ายถูกเขาคลุมทั้งร่างไว้ในผ้าห่ม เพียงเผยใบหน้าแดงก่ำออกมาแล้วเอ่ยเรียกอย่างกะทันหัน
หลี่อวิ๋นหังนิ่งค้าง
“อาหัง...” เขาเรียกอีกครั้ง
หลี่อวิ๋นหังเม้มปากไม่ตอบ ใบหน้ามืดมนมากยิ่งขึ้น
------------------------
[1] ฝุ่นผงร่วงหล่น เป็การอุปมา หมายถึง เื่ราวได้จบสิ้นลงแล้ว
[2] ยามทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ ยามน้ำมาใช้ดินต้าน เป็สำนวน หมายถึง ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดก็สามารถรับมือได้
