บนรถไฟนั้นไม่ได้เหมือนที่บ้านคนที่เคยที่นั่งรถไฟแบบที่นั่งธรรมดานั้นต่างก็รู้ดี ใน่เวลาราวๆหกถึงเจ็ดโมงก็จะถูกเสียงโหวกเหวกปลุกให้ตื่นขึ้นหลินลั่วหรานไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนเพราะว่าตอนนี้เธอได้เก็บกักตุนหยกที่มีพลังเอาไว้มากมายขอเพียงแค่ใช้โอกาสในตอนที่ไฟดับไปแล้ว แอบเข้าไปเอาออกมาจากพื้นที่ลึกลับเธอก็สามารถกุมมันไว้ในฝ่ามือไปพร้อมกับฝึกศาสตร์ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งรถไฟที่ไร้ซึ่งพลังและเต็มไปด้วยควันพิษแบบนี้
ในตอนที่หรงตงหลินลืมตาตื่นขึ้นมา เขาก็เห็นว่า “พี่สาว” ที่อยู่เบาะด้านล่างกำลังเปิดนิตยสารที่ไม่รู้ว่าไปยืมมาจากที่ไหนอยู่เที่ยวรถที่พวกเขานั่งกันเป็รถแบบช้า ดังนั้นจึงจะถึงซีอานใน่เวลาราวๆ สี่โมงเย็น เขาพูดโกหกไปเมื่อวานแล้วดังนั้นในวันนี้คงไม่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพอที่จะให้พี่น้องทั้งสองคนอีกต่อไปจะทำอย่างไรดี พี่สาวของลั่วตงดูท่าทางรักสันโดษมาก ทำให้คนที่อยากจะช่วยก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเหลือ
และในตอนที่หรงตงหลินกำลังลังเลอยู่นั้น ลั่วตงก็ตื่นขึ้นมาหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้งและในครั้งนี้หรงตงหลินได้รู้เื่ราวเกี่ยวกับพวกเขามากขึ้น อย่างเช่นที่เขาทั้งสองคนนั้นความจริงแล้วมาจากเมืองหรงเฉิง ดังนั้นการปรากฏตัวอยู่ที่รถไฟแห่งนี้ได้ก็แปลว่าพวกเขาน่าจะได้ไปท่องเที่ยวที่เมืองหลวงมาเสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมที่จะไปเที่ยวที่ซีอาน ต่อ...แบบนี้ก็ยิ่งน่าประหลาดใจมากขึ้นไปอีกคนที่ไหนมีเงินเที่ยวแต่ไม่มีเงินกินข้าวกัน
ในใจของหรงตงหลินเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลากินข้าวแล้ว พี่สาวขอหลินลั่วตงก็ยังคงไร้ซึ่งท่าทีใดๆอีกทั้งในตอนที่เขาเอ่ยปากขึ้นมา หลินลั่วตงก็ไม่กล้าที่จะรับของจากเขาอีกเด็กฉลาดคนนี้ดูเหมือนว่า เขาจะเข้าใจแล้วว่าทั้งหมดน่าจะเป็เพียงข้ออ้างจากความหวังดีของหรงตงหลินเท่านั้น?
จากเมืองหลวงไปถึงซีอานรถไฟขบวนนี้ต้องใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงในการขับเคลื่อนจากการเตรียมพร้อมของหรงตงหลิน ความจริงแล้วบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสามถ้วยนั้นก็พอสำหรับอาหารสามมื้อพอดี แล้วมันจะไปมีเหลือมากจนกินไม่หมดแล้ว้าให้คนอื่นมาช่วยได้อย่างไร?
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้หรงตงหลินแปลกใจก็คือพอมาถึงตอนกลางวันพี่สาวที่ไม่เคยพูดอะไรตลอดมา ก็หยิบแบงก์ร้อยหลายใบออกมาจากกระเป๋าก่อนจะวางลงบนโต๊ะ “ลั่วตงไปซื้ออาหารสำหรับสามคนมาหน่อยได้ไหม?”
อาหารสำหรับสามคน แบบนี้ก็แปลว่าจะเลี้ยงข้าวพี่ตงหลินด้วยเหรอ?
การที่สามารถตอบแทนเพื่อนใหม่ได้ ทำให้ลั่วตงนั้นรู้สึกดีใจมากเขารับเงินมา ก่อนที่จะวิ่งออกไปราวกับปลาตัวน้อยๆที่ไหลลื่นออกไปจากโบกี้รถไฟที่แออัดแห่งนี้
หรงตงหลินเพิ่งจะได้พูดออกมาเพียงคำว่า “เอ๋” หลินลั่วตงก็วิ่งออกไปไกลแล้วทำให้คำพูดที่เขาอยากจะพูดนั้นก็ต้องเก็บกลับเข้าไปจนสุดท้ายเขาก็อดที่จะพูดกับหลินลั่วหรานขึ้นมาอย่างละอายไม่ได้ว่า “รถไฟสายสีเขียวการรักษาความปลอดภัยไม่ค่อยดีเท่าไร...คุณไม่ควรที่จะให้เงินกับเด็กเยอะขนาดนั้น”
ความจริงแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่แต่เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานส่งเงินหลายร้อยให้กับลั่วตง ไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่มันกลับทำให้เด็กนักเรียนยากจนที่ไม่อยากจะเสียเงินซื้ออาหารที่ทั้งแพงทั้งไม่อร่อยอย่าง “อาหารบนรถไฟ” รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ต่างก็เป็เื่ที่เขาคิดไปเองทั้งนั้นและทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยุ่งเื่ของคนอื่นมากเกินไปความจริงแล้วพี่น้องสองคนนี้อาจจะไม่้าความช่วยเหลือของเขาั้แ่แรกแล้วหรือเปล่า?
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจ ทำให้เขาพูดแบบนี้ออกไปกับหลินลั่วหรานและเมื่อพูดจบเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา มันเป็เื่ของคนอื่น ดังนั้นความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรให้ต้องพูดออกมาเลย
แต่ใครจะรู้ว่าคนที่รักสันโดษไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรกับใครอย่างหลินลั่วหราน กลับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “นายเป็คนดีนะ คนที่ทำความดี ก็มักจะต้องได้รับสิ่งตอบแทนดีๆกลับไปอยู่แล้ว”
หืม? ทำความดี?
ครั้งนี้เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน ในหลายตาของพี่สาวของหลินลั่วตงนั้นไม่ใช่ว่าเขานั้นยุ่งเื่คนอื่นมากจนเกินไป แต่มันคือการทำความดี...เขาไม่เข้าใจความคิดและการกระทำอันแปลกประหลาดของพวกคนรวยเลยสักนิด
แม้ว่าสองปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าต่างๆ จะพุ่งขึ้นสูงแต่ว่าเงินหลายร้อยนั้น เมื่อถูกนำมาใช้ในการซื้ออาหารบนรถไฟสำหรับสามคนแล้วก็ยังสามารถซื้อพวกอาหารที่ดีกว่าข้าวกล่องเล็กน้อยขึ้นมาได้และเพราะว่ารูปร่างภายนอกของลั่วตงนั้นดูดีมากทำให้พนักงานร้านอาหารบนรถไฟช่วยเขาถืออาหารกลับมาด้วยและนั่นก็ให้ทำให้เหล่าผู้โดยสารที่ต้องลำบากต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยตัวเองต่างพากันอิจฉา
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วตงกลับมาแล้วหรงตงหลินก็พบว่าผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้ยังพูดจาอ่อนโยนคนนั้นก็ได้กลายร่างเป็ผู้หญิงเ็าขึ้นมาอีกครั้งจึงมีเพียงลั่วตงที่ตกอยู่ในอาการมึนงงเพียงคนเดียว ที่ส่งเสียงเรียกให้ “พี่ตงหลิน” อย่างเขากินข้าว
และเขาก็ยังสังเกตเห็นอีกว่าแม้ว่าจะเป็อาหารที่ดีที่สุดสำหรับบนรถไฟเหล่านี้ ผู้หญิงวัยรุ่นตรงหน้ายังทานมันเข้าไปน้อยยิ่งกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเมื่อวานเสียอีก
แสดงว่าตามปกติแล้วพวกเขาจะต้องกินอาหารตามหลักการมากแน่ๆ...หรงตงหลินส่ายหน้าไปมายิ่งคิดเขาก็ยิ่งสับสน ที่มุมปากของเขายังมีสิวแตกเนื้อหนุ่มอยู่หลายเม็ดสุดท้ายแล้วเขาก็เป็เพียงนักศึกษาที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่งแล้วเขาจะไปสามารถเข้าใจความคิดที่ซับซ้อนแบบนั้นได้อย่างไรดังนั้นเขาจึงนำเื่รายละเอียดที่ดูผิดปกติเหล่านี้ โยนทิ้งไปอีกทางก่อนจะเริ่มลงมือทานข้าวด้วยความเขินอาย
“พี่ตงหลิน พี่จะไปเที่ยวที่ซีอานใช่ไหม?” หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วลั่วตงก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เขายังไม่ได้ถามหรงตงหลินเื่นี้เลย
“ไม่ใช่หรอก พี่กลับบ้านน่ะ...” อาแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนขี้อายอะไร แต่ว่าในตอนนี้เขาก็รู้สึกไม่ดีนักที่จะต้องบอกว่าเขานั้นต้องทำงานพิเศษในการหาเงินเรียนหนังสือดังนั้นต้องรอให้ถึง่ใกล้จะเปิดเทอมก่อน ถึงจะได้มีเวลากลับไปเยี่ยมที่บ้าน
ส่วนทำไมถึงรู้สึกไม่ดี เื่นี้ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน
จะไม่ขอพูดถึงว่าลั่วตงเริ่มพูดจาเจื้อยแจ้วอะไรออกมาบ้างเวลาโดยสารรถไฟนั้นช่างแสนสั้น ไม่นานนัก พวกเราก็เดินทางมาถึงสถานีซีอาน
และหรงตงหลินก็ได้พบว่า ทั้งสองพี่น้องนี้ไม่ได้เอาสัมภาระอะไรมาเลยแม้แต่น้อยช่างเป็นักท่องเที่ยวที่แปลกประหลาดเสียจริง ความจริงแล้วซีอานเป็บ้านเกิดของเขาดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะถามว่าพวกเขานั้นมีอะไรจะให้ช่วยเหลือหรือเปล่าแต่เมื่อเห็นท่าทางเ็าของหลินลั่วหรานแล้ว คำพูดของเขาก็ถูกกลืนให้หายลงไปในท้อง
แต่ว่าลั่วตงนั้นยังคงทำใจไม่ได้ เขาจึงทิ้งช่องทางการติดต่อเอาไว้เมื่อบอกลากับลั่วตงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถูกหลินลั่วหรานจูงมือออกไปก่อนจะหายเข้าไปในฝูงชน
ซีอานนั้นไม่ได้เย็นสบายนัก หยาดเหงื่อรินไหลออกมาทั่วร่างกายของเขาและในตอนที่เขากำลังจะหยิบเงินออกมาซื้อน้ำดื่มนั้นก็ได้พบว่าในกระเป๋ากางเกงของเขามีกระดาษที่มีขนาดราวๆ สองนิ้วถูกใส่เข้ามาั้แ่ตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้ เอ๋เหมือนว่าจะถูกตัดมาจากนิตยสารเมื่อวานเลย ดูคุ้นตามาก
“ขอบคุณมอบการเริ่มต้นในการสื่อสารกับผู้อื่นให้กับลั่วตง มีปัญหาอะไรก็ติดต่อมาได้” ด้านหลังของมันคือหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ ที่ระบุชื่อเ้าของเอาไว้ว่า “หลินลั่วหราน” ตัวหนังสือถูกเขียนเอาไว้อย่างงดงามมีระเบียบช่างดูเหมือนกับ นิสัยของพี่สาวของลั่วตงมากทีเดียว
หรงตงหลินส่ายหน้าไปมา ตอนอยู่บนรถไฟเขายังลืมบอกไปว่าเขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยช้วนต้า...แต่ว่าเื่การขอความช่วยเหลือนี่แค่เคยพบกันเพียงครั้งเดียวแล้วเขาจะหน้าด้านไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้อย่างไร?
หรงตงหลินสอดมันเข้ากับหนังสือก่อนที่จะเดินเข้าไปซื้อน้ำในร้านค้าสะดวกซื้อข้างถนน
บางทีหรงตงหลินอาจจะไม่ได้รู้เลยว่ากระดาษธรรมดาๆ ที่เขาได้รับมานั้นเมื่อถึงเวลาใดเวลาหนึ่ง มันก็อาจจะแสดงถึงความล้ำค่าของมันออกมาให้เห็น
กลับมาที่อีกด้านหนึ่งคนที่เ็าใส่ผู้คนรอบข้างมาตลอดทางอย่างหลินลั่วหรานก็เริ่มที่จะสั่งสอนลั่วตงออกมา
“ลั่วตง อยากจะเป็คนที่มีจิตใจดีแบบหรงตงหลินไหม?”
หลินลั่วตงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร จึงมองไปที่เธอด้วยความสงสัย
หลินลั่วหรานยิ้มออกมา ก่อนที่จะพูดว่า “ไม่ได้สังเกตเสื้อผ้าบนตัวของพี่ตงหลินเหรอ?”
หลินลั่วตงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะนึกกลับไปสักพัก “เสื้อยืดสีแดง ไม่มีอะไรที่แปลกนี่นา!” ที่แปลกก็คือเสื้อผ้ากับจิตใจเกี่ยวอะไรกัน?
“แขนเสื้อล่ะ?”
แขนเสื้อเหรอ...ดูเหมือนว่าจะดูซีดๆ หรือเปล่า? หลินลั่วตงเองก็ไม่ใช่องค์จักรพรรดิน้อยที่ไม่เคยผ่านค่ำคืนที่ยากลำบากมาก่อนดังนั้นเพียงแค่ชั่วพริบตา เขาก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีเสื้อยืดของหรงตงหลินนั้นถูกซักเสียจนสีซีดจางไปหมด แต่เขาก็ยังใส่อยู่คนมีเงินแม้ว่าจะอยู่ใน่เวลาที่ลำบากมากแค่ไหน ก็คงจะไม่ประหยัดได้ขนาดนี้ดังนั้นพี่ตงหลินฐานะไม่ค่อยดีอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อหลินลั่วหรานเห็นท่าทีบนใบหน้าของเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาน่าจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว เธอจึงถามต่อขึ้นมาว่า “เมื่อวานั้แ่ที่เราขึ้นรถไฟก็ไม่ได้กินข้าวเลย จนกระทั่งตอนเย็นแต่ทำไมคนที่ดูไม่ได้มีเงินมากอย่างหรงตงหลินถึงได้เอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาให้พวกเราล่ะ?”
“เพราะว่าพี่ตงหลินใจดี!” หลินลั่วตงพูดออกมา
หลินลั่วหรานจูงมือของเขาเดินเข้าไปยังร้านขายของ ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมาว่า “เพราะว่าจิตใจของเขากว้างใหญ่ ดังนั้นแม้ว่าตัวเองจะไม่มีเงินแต่ก็ยังสามารถมอบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นให้เราได้...แม้ว่าบางที มันอาจจะเป็อาหารเพียงชิ้นเดียวที่เขาเตรียมไว้ให้ตัวเองบนขบวนรถไฟนั้นก็ได้”
หลินลั่วตงมึนงงอยู่เล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกว่าเขาน่าจะเข้าใจขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วหลินลั่วหราน้าจะพูดอะไรกันแน่
หลินลั่วหรานเองก็ไม่ได้บีบบังคับอะไรเขา เธอเพียงแต่ยืนเลือกอุปกรณ์การปีนเขาจากในร้านออกมาสองชุด
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วตงยังคงพยายามใช้ความคิดอยู่ เธอก็ยิ้มออกมาพร้อมกับลูบลงบนหัวของเขา จนเด็กชายต้องกรอกสายตาไปมาเห็นได้ชัดว่าหลินลั่วตงนั้นดูสดใสมากขึ้นเป็กอง!หลินลั่วหรานมองไปยังอุปกรณ์ปีนเขาเธอมีคำพูดบางอย่างที่ยังไม่ได้พูดกับหลินลั่วตง
เธอนั้นอยากจะให้เขาเติบโตไปเป็คนที่มีจิตใจแบบหรงตงหลินไม่ใช่เพราะความยากจนจึงคิดว่าตัวเองไร้ค่า ถ้าหากว่าสามารถช่วยคนอื่นได้กับเพียงแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยเดียว จะเป็อะไรไป? คนที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ว่ายังคงดิ้นรนต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งแม้ว่าชีวิตของเขาอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จขึ้นมาแต่มันก็คงดีกว่าและมีโอกาสมากกว่าคนที่เอาแต่ยอมแพ้และไร้ซึ่งความหวังพวกนั้น
พวกเขามักพูดกันว่าอย่างไรนะ?
แรงกดดันกำหนดจิตใจ
เธอมีเวลาอีกมาก ในการค่อยๆ ทำให้หลินลั่วตงค่อยๆ ซึมซับและทำให้เขากลายเป็คนสดใสร่าเริง เพื่อมีกำลังในการใช้ชีวิตขึ้นมาไม่ใช่หรืออย่างไร