หนึ่งชั่วยามให้หลัง ในที่สุดเคอโยวหรานก็เติมโอ่งเก็บน้ำจนเต็ม
จากนั้นเดินเข้าไปในห้องครัวอย่างอารมณ์ดี จัดเตรียมอาหารกลางวันให้เรียบร้อย ก่อนจะบอกกล่าวมารดาสกุลต้วนล่วงหน้าแล้วถือตะกร้าลูกหมาป่าเดินขึ้นเขาอย่างเอ้อระเหย
ว่าไปแล้วก็น่าแปลก ความเคลื่อนไหวของหมอเทวะกับเซียนพิษค่อนข้างประหลาด ทุกวันมักทำตัวลับๆ ล่อๆ ราวกับกำลังค้นหาบางสิ่งบนเขาต้าชิง
เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยอีกแล้ว มารดาสกุลต้วนนึกว่าผู้เฒ่าทั้งสอง้าสอนพื้นฐานให้เคอโยวหราน ดังนั้นจึงมิได้ห้ามนางขึ้นเขาแต่อย่างใด ตกปากรับคำอย่างตรงไปตรงมาทีเดียว
เพราะถึงอย่างไรหากบุตรหลานในสกุลใดได้เป็ศิษย์ของท่านปรมาจารย์ทั้งสอง กระทั่งยามนอนก็ยังต้องหัวเราะจนสะดุ้งตื่น ตอนนี้มารดาสกุลต้วนยิ่งมองเคอโยวหรานก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจ
ยามนี้นับได้ว่าภายในใจของมารดาสกุลต้วน ฐานะของเคอโยวหรานได้ทิ้งห่างจากหยวนซื่อกับไป๋ซื่อมากขึ้นเรื่อยๆ
เคอโยวหรานมียาพิษที่เซียนพิษมอบให้แล้ว ย่อมไม่กลัวว่าจะต้องพบเจอสัตว์ดุร้ายแต่อย่างใด
ครั้นเดินมาตามเส้นทางในความทรงจำกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงตรงหน้าถ้ำ สัตว์ป่าบนพื้นหายไปหมดแล้ว ทุกแห่งหนล้วนแต่เต็มไปด้วยรอยเท้ามนุษย์
เคอโยวหรานเลิกคิ้ว เห็นทีต้วนเหลยถิงคงพาคนขนย้ายสัตว์ป่าลงเขาไปแล้ว
เคอโยวหรานแหวกกิ่งไม้ที่ใช้อำพรางออกแล้วเดินเข้าไปในถ้ำ ขณะเดียวกันยังฉวยโอกาสอำพรางปากถ้ำจากทางด้านในก่อนจะเดินเข้าไป
หากต้วนเหลยถิงอยู่ที่นี่ในยามนี้คงต้องตกตะลึงจนปลายคางหล่นพื้นเลยทีเดียว
เพราะตอนที่เขาพาชาวบ้านมาถึงที่นี่ ตรงนี้ไม่มีสิ่งใดเลยสักอย่าง ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของปากถ้ำด้วยซ้ำ
เวลานี้ถ้ำกลับปรากฏขึ้นกะทันหัน ไม่นับว่าแปลกประหลาดเกินไปหรอกหรือ?
เคอโยวหรานที่เดินมาถึงหลุมศพหมาป่าขาวกลับไม่รู้ตัวแม้แต่นิดว่าหลังจากนางเข้ามาในถ้ำ ปากถ้ำข้างนอกก็ได้เลือนหายไปเสียแล้ว
ไม่ว่าผู้ใดมายังที่แห่งนี้ ก็ล้วนมิอาจหาถ้ำนี้พบ
นางวางลูกหมาป่าลงข้างกายหมาป่าดำพลางถามว่า “ข้าสามารถตักน้ำในสระบัวเจ็ดสีกลับไปใช้ได้หรือไม่?”
หมาป่าดำพยักหน้า มันเลียศีรษะลูกหมาป่าทั้งสองตัวอย่างอ่อนโยนและเอ่ยในใจว่า : นายหญิง เมื่อวานตอนท่านช่วยบุตรของข้ากับอิ๋นเยวี่ยและทำพันธสัญญากับสระบัวเจ็ดสีหลังตกลงไปในสระบัว ท่านก็ได้กลายเป็เ้าของสถานที่แห่งนี้แล้ว ท่านอยากจะเอาไปทำอันใดไม่จำเป็ต้องถามข้าเลยสักนิด
น่าเสียดายเหลือเกิน ถึงแม้ข้าจะเข้าใจสิ่งที่ท่านพูด แต่กลับมิอาจพูดภาษาของท่านและมิอาจสื่อสารกับท่านได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ท่านค่อยๆ ทำความเข้าใจเอาเองเสียแล้ว
ขณะหมาป่าดำกำลังครุ่นคิด ครั้นเห็นว่าเคอโยวหรานใช้ขวดน้ำแร่บรรจุน้ำในสระบัวขวดแล้วขวดเล่าก็แทบจะหัวเราะจนท้องแข็ง
มิใช่กระมัง! นายหญิง น้ำนี้ขอเพียงท่านประสงค์จะใช้ ยังจำเป็ต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนี้อีกหรือ?
หากเคอโยวหรานล่วงรู้ความคิดของหมาป่าดำในยามนี้ นางคงหัวเราะไม่หยุดเป็เวลาสามวันสามคืนอย่างแน่นอน
ประการแรก หัวเราะที่ตนโง่เขลาเหลือเกิน ใช้ขวดน้ำแร่มาบรรจุน้ำในสระ
ประการที่สอง หัวเราะที่เก็บสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้โดยไม่ตั้งใจ กลายเป็ขนมที่ร่วงจากฟ้าและบังเอิญหล่นเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของตนพอดี ช่างบังเอิญเกินไปแล้วกระมัง ฮ่าๆๆๆ!
เคอโยวหรานทั้งบรรจุน้ำและตัดเย็บเสื้อผ้า นอกจากนี้ยังช่วยอาบน้ำให้ลูกหมาป่าอีกด้วย
หลังจากยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน เมื่อคาดการณ์ว่าน่าจะถึงยามเย็นแล้ว นางจึงฉวยโอกาสขณะท้องฟ้ายังไม่มืดพาลูกหมาป่ากลับจวนอย่างเอ้อระเหย
ระหว่างทาง นางกำลังใคร่ครวญว่าขณะทุกคนร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร ต้องทำอย่างไรหยวนซื่อถึงจะไม่ได้กินอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำในสระบัวกัน?
เคอโยวหรานมิได้ใจคอกว้างขวางถึงเพียงนั้น อีกฝ่ายตั้งตนเป็ปรปักษ์กับตนไปเสียทุกเื่ มีหรือตนจะยังมอบของดีให้นาง ฝันไปเถิด!
หลังกลับถึงจวน เคอโยวหรานจัดแจงที่พักให้ลูกหมาป่าและจัดวางเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเสร็จแล้วลงบนเตียง จากนั้นสวมผ้ากันเปื้อนเดินไปทางห้องครัว
ยังไม่ทันเดินเข้าไปก็ถูกหยวนซื่อขวางไว้ข้างประตู “เคอโยวหราน ข้าให้เ้าตักน้ำ เ้ากลับมัวแต่ไปเอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่ใด? วันทั้งวันไม่อยู่ในจวน ยังมีคุณสมบัติเช่นสะใภ้ใหม่บ้างหรือไม่?”
ไอ้หยา เพราะเสือไม่สำแดงความน่าเกรงขาม จึงคิดว่าตนเป็แมวป่วยหรืออย่างไร?
นี่นับได้ว่าพาตนเองมาประเคนถึงที่ เช่นนั้นอย่าได้หาว่านางไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน
ครั้นเห็นเคอโยวหรานไม่เอ่ยสิ่งใด หยวนซื่อจึงคิดว่าตนมีเหตุมีผลและฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิม ของดีที่ท่านปรมาจารย์ทั้งสองมอบให้ ทุกคนล้วนมีใน ยกเว้นตนเพียงผู้เดียว
วันนี้นางพบว่าหลังจากทุกคนใช้สิ่งของที่เคอโยวหรานมอบให้ มิต้องเอ่ยถึงว่าผิวพรรณขาวผ่องขึ้นเพียงใด
ระหว่างร่อนเร่พเนจร เห็นได้ชัดว่ารอยแผลเป็บนมือของไป๋ซื่อจางลงอย่างเห็นได้ชัด
เหตุใดทุกคนล้วนแต่เป็ครอบครัวเดียวกัน ทว่าเคอโยวหรานกลับไม่ยอมมอบมันให้ตนบ้างเล่า?
พี่ใหญ่ดุจบิดา พี่สะใภ้ใหญ่ดุจมารดา ภายในจวนแห่งนี้ นอกจากมารดาสกุลต้วนกับต้วนต้าหลาง นางล้วนสามารถสอนสั่งผู้อื่น นางไม่เชื่อว่าตนจะมิอาจจัดการกับคนบ้านนอกคอกนาเช่นเคอโยวหรานได้
หยวนซื่อใบหน้าเคร่งขรึม สายตาเปี่ยมความเย็นเยียบ ตะคอกถามด้วยน้ำเสียงหยาบคาย “บอกมา ซานหลางไม่อยู่ในจวน เ้าไปมั่วสุมอยู่ที่ใด? ไปยั่วยวนบุรุษป่าเถื่อนในหมู่บ้านคนใดมาใช่หรือไม่?”
สายตาของเคอโยวหรานพลันมีประกายสังหารวาบผ่าน หยวนซื่อนังตัวดี นึกไม่ถึงว่าจะกล้าป้ายสีความบริสุทธิ์ของข้า
ในยุคนี้ชื่อเสียงของสตรีเท่ากับชีวิต นางคิดอยากยืมมีดสังหารคน ทำให้ตนต้องถูกขังกรงหมูถ่วงน้ำกระมัง?
เคอโยวหรานเอ่ยอย่างเอ้อระเหย “ตาข้างใดของพี่สะใภ้ใหญ่เห็นว่าข้าใกล้ชิดกับบุรุษอื่นหรือเ้าคะ? ชอบพูดจาซี้ซั้วไม่คำนึงถึงความจริงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เช่นนั้นหากข้าบอกว่าเห็นพี่สะใภ้ใหญ่กับเคอเอ้อร์โก่วนอนคลุมโปงอยู่ในกระท่อมข้างหมู่บ้าน ก็คงไม่เป็ไรเช่นกันใช่หรือไม่?”
ขอบตาทั้งสองข้างของหยวนซื่อแดงก่ำ คว้าไม้กวาดที่วางพิงกำแพงหมายจะตีใส่เคอโยวหราน
เคอโยวหรานถอยหลังไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นก็เบี่ยงกายหลบและยื่นขาข้างหนึ่งออกมาขัดขาหยวนซื่ออย่างแเีจนมิอาจสังเกตเห็น
หยวนซื่อไม่ทันมอง เพราะทรงตัวไม่มั่นคงจึงทะยานไปข้างหน้า ล้มเสียเต็มแรงจนใบหน้าแนบชิดติดกับพื้นดิน
ถงซื่อพยายามดึงเคอต้าส่าที่หมายจะเข้าไปช่วยเคอโยวหรานเอาไว้อย่างสุดกำลัง
เคอโยวเยวี่ยที่กำลังจับจูงมือกับเคอโยวหลานพลันกระเด้งกายลุกขึ้น แต่กลับถูกพี่หญิงรองของตนเองดึงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ใบหน้าของต้วนต้าหลางถึงขั้นดำทะมึนเสียแล้ว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนเส้นเืปูดโปน นึกอยากจะเข้าไปตบบ้องหูหยวนซื่อสักสองฉาด ช่างน่าขายหน้าสิ้นดี!
มารดาสกุลต้วนเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าหยวนซื่อที่ค่อยๆ คลานขึ้นจากพื้น ก่อนเอ่ยถามพลางทอดมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เป็มิตร
“หยวนซื่อ การอบรมสั่งสอนของเ้าเล่า? หรือว่าการอบรมสั่งสอนของสกุลเ้าก็คือการใส่ร้ายป้ายสีความบริสุทธิ์ของผู้อื่นปากเปล่า?”
หยวนซื่อขอบตาแดงก่ำขณะชี้ไปทางเคอโยวหรานด้วยความแค้นเคือง “ท่านแม่ นางใส่ร้ายป้ายสีข้าเ้าค่ะ...”
“พอได้แล้ว!” มารดาสกุลต้วนตะคอกเสียงดัง “ข้าได้ยินบทสนทนาทั้งหมดระหว่างพวกเ้าสองคนกับหูแล้ว เ้าเป็ฝ่ายหาเื่และใส่ร้ายป้ายสีความบริสุทธิ์ของโยวหรานก่อน นางเพียงเอาคืนเ้าด้วยวิธีการเดียวกันเท่านั้น
ทำไม เ้าใส่ร้ายผู้อื่นได้ แต่พอโดนเสียเองกลับรับมิได้หรือ?”
“ท่านแม่ ข้ามิได้...”
หยวนซื่อหมายจะแก้ต่าง ทว่ามารดาสกุลต้วนพลันเอ่ยอย่างเด็ดขาดว่า “เ้ามิได้อันใด? โยวหรานทำอันใดเ้างั้นหรือ? เ้าเป็คนให้นางหาบน้ำเติมโอ่งเก็บน้ำสิบกว่าใบที่หลังจวนจนเต็มใช่หรือไม่?
น้ำใช้ของสกุลต้วน แต่ไรมาล้วนมีบุรุษในจวนสกุลต้วนเป็คนหาบ จำเป็ต้องให้ลูกสะใภ้ไปใช้แรงงานทางกายั้แ่เมื่อใด?
ในเมื่อเ้าชอบหาบน้ำนัก เช่นนั้นนับแต่วันพรุ่งนี้เป็ต้นไป น้ำในจวนสกุลต้วนล้วนแต่มีเ้าเป็ผู้หาบ”
เคอโยวหรานเอ่ยเสริมหนึ่งประโยค “ท่านแม่เ้าคะ วันนี้ท่านอาจารย์ทั้งสองของข้าเติมน้ำจนเต็มโอ่งแล้ว เกรงว่าวันพรุ่งคงไม่ต้องให้พี่สะใภ้ใหญ่ไปหาบหรอกเ้าค่ะ”
ครั้นมารดาสกุลต้วนได้ยิน ช่างประเสริฐนัก ปล่อยให้ท่านปรมาจารย์ทั้งสองหาบน้ำได้อย่างไร?
สกุลของตนต้องอับอายจนไปถึงเบื้องหน้าท่านปรมาจารย์ทั้งสองเสียแล้ว นางถึงกับะเิโทสะ สีหน้าฉายแววเคร่งขรึมขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็าว่า
“หยวนซื่อ จากนี้ไปน้ำของสกุลต้วนยกให้เป็หน้าที่เ้าไปหาบมา จำต้องรับรองว่าจะมีน้ำเต็มโอ่งในทุกวัน
ข้าจะคอยตรวจสอบทุกวัน หากวันใดน้ำไม่เต็มโอ่ง แม้เ้าจะไม่ได้นอนก็ต้องไปหาบมาให้เต็ม”
กล่าวจบ ไม่รอให้หยวนซื่อปริปากเอ่ยสิ่งใด มารดาสกุลต้วนพลันสะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไปทันที
ทว่าทันใดนั้นคล้ายนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงหันกลับมาเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “ในเมื่อเ้าหยามเหยียดโยวหราน เช่นนั้นเ้าก็อย่าได้กินอาหารที่นางทำ
รอจนกระทั่งพวกเราทุกคนกินเสร็จ เ้าค่อยไปทำกินเองเสีย
อีกเื่หนึ่ง วัตถุดิบทำอาหารล้วนแต่มีโยวหรานเป็คนซื้อหามา หากอยากกินข้าว เ้าก็จงออกเงินซื้อเอง สกุลต้วนของข้าไม่เลี้ยงผู้ที่ไม่รู้คุณคน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้