ตอนที่ 115 ไว้วางใจโดยไม่รู้ตัว
นายร้อยผู้รับผิดชอบปิดล้อมพื้นที่นี้หน้าซีดเผือด พวกเขาก้มลงคำนับเพียงชั่วครู่ เหตุใดท่านโหวรองถึงได้พุ่งตัวเข้าไปในเขตกักกันโรคเสียแล้ว!
เช่นนี้จะทำเช่นไรดี? แต่จะทำเช่นไรได้เล่า? คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือวางเพลิงเผาหมู่บ้านหลังพลบค่ำ! แต่บัดนี้ท่านโหวมาแล้ว ใครเล่าจะกล้าลงมือ?
นายร้อยรีบส่งนายทหารสองนายกลับไปรายงานที่กองทหารรักษาการณ์ จางหลิงและคนอื่นๆ ที่รีบรุดมาถึงก็้าเข้าไปเช่นกัน ทว่ากลับถูกฉู่อี้หยุดไว้
“รอฟังคำสั่งอยู่ด้านนอก!”
“ขอรับ!” ถึงแม้จางหลิงจะมีคำถามมากมาย ทว่าหน้าที่ของเขาก็คือเชื่อฟังคำสั่งของท่านโหว
แม้ท่านโหวจะสั่งให้เขาไปตายก็ตามที แต่ไม่สิ บัดนี้ดูเหมือนท่านโหวจะเป็ฝ่ายเสี่ยงเองเสียมากกว่า! จางหลิงร้อนใจขึ้นมาในทันที ดูเหมือนทุกคราที่เป็เื่ของตระกูลอวิ๋น ท่านโหวของพวกเขาจะตื่นตระหนกอยู่เสมอ
บอกว่าปลอมตัวออกตรวจราชการ เหตุใดถึงได้เปิดเผยฐานะโดยไม่ลังเลเช่นนี้เล่า?
ชาวบ้านที่อยู่ด้านในมิใช่คนโง่เขลา ก่อนหน้านี้ที่คิดจะพังด่านกั้นออกมา ก็ถูกสังหารไปหลายคน ทำให้พวกเขาสงบลงได้ชั่วคราว
แต่บัดนี้ท่านโหวมาแล้ว พวกเขาย่อมรู้ดีว่าโอกาสมาถึงแล้ว
ทันใดนั้นทุกคนจึงคุกเข่าลง คำนับฉู่อี้
“ขอท่านโหวช่วยชีวิตด้วยขอรับ!”
“ท่านโหว ที่นี่มีโรคระบาดเกิดขึ้นมานานหลายวันแล้ว พวกข้าแจ้งทางที่ว่าการอำเภอไปแล้วแต่ก็ไร้วี่แววว่าจะส่งหมอมารักษา วันนี้ถึงกับปิดล้อมหมู่บ้านเช่นนี้”
“ท่านโหว โปรดเมตตา พวกเขาคิดจะปล่อยให้พวกข้าตายอยู่ในนี้ จากนั้นก็ค่อยเผาพวกเราทิ้งทีเดียว...”
“ก่อนหน้านี้ในอำเภอเราก็เคยเกิดโรคระบาดเช่นนี้สองครั้ง หมู่บ้านทั้งสองแห่งก็ถูกเผาจนราบเป็หน้ากลอง”
แม้แต่มดปลวกยังดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด ยิ่งเป็มนุษย์เล่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง ตราบใดที่ยังมีความหวัง พวกเขาย่อมไม่ยอมแพ้
หากไม่มีฉู่อี้อยู่ที่นี่ พวกทหารคงสังหารคนเหล่านี้ที่พูดจาเหลวไหลไปแล้ว ทว่ามีฉู่อี้อยู่ที่นี่ นายร้อยย่อมไม่กล้าออกคำสั่งเช่นนั้น โอ้์ ช่างน่าปวดหัวนัก!
“พวกเ้ายังยืนเฉยทำอันใด รีบกันท่านโหวออกไป!”
อย่าได้ติดโรคมาเลย พระเ้าช่วย ทันใดนั้นก็มีทหารหลายนาย ช่วยกันยกท่อนซุงมากั้นฉู่อี้ รวมถึงรถม้าของตระกูลอวิ๋นเอาไว้
พ่อค้าที่ผ่านไปมาต่างมองด้วยแววตาแดงก่ำ ทว่าเกรงกลัวดาบในมือทหาร จึงไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหว
“เื่นี้ในเมื่อข้าผ่านมาเห็นเข้า ย่อมเพิกเฉยไม่ได้ แต่ทุกคนก็ต้องเชื่อฟังคำสั่ง ห้ามทำตัวหุนหันพลันแล่น” ถึงแม้ฉู่อี้จะยังเยาว์วัย ทว่าราศีความสูงศักดิ์และอำนาจกลับแผ่ออกมาโดยธรรมชาติ คำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากของเขานั้นหนักแน่น น่าเกรงขาม
“ขอบพระคุณท่านโหว!”
“พวกข้าจะเชื่อฟังคำสั่งขอรับ!”
จากนั้นฉู่อี้จึงหันไปพูดกับจางหลิงว่า “ส่งคนไปซื้อน้ำมาสักสองสามเกวียน พร้อมกับหาหมอและยารักษามาด้วย”
“ช้าก่อน!”
ฉู่อี้ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ทุกคนในตระกูลอวิ๋นต่างตะลึงงัน ขณะนั้นอวิ๋นเจียวถูกเสียงของฉู่อี้ปลุกสติ รีบลงจากรถม้า ยกชายกระโปรงวิ่งไปหาเขา
ฉู่อี้ดูเหมือนจะรู้ว่าอวิ๋นเจียวมีเื่จะพูดกับเขา จึงก้มลงจนศีรษะอยู่ระดับเดียวกับนาง
“เป็อหิวาตกโรคเ้าค่ะ ข้ามียารักษาพอดี แต่้าความช่วยเหลือจากท่าน ได้หรือไม่เ้าคะ?” น้ำเสียงหวานนุ่มลอยเข้ามาในโสตประสาท ดุจดอกตูมบนกิ่งก้านในฤดูใบไม้ผลิ ผลิบานทีละชั้นๆ
เด็กหนุ่มอยู่ใน่วัยที่เสียงแตก เขาขยับลำคอเล็กน้อยเปล่งเสียงที่ดังพอได้ยินกันเพียงสองคน “อืม”
“เช่นนั้นท่านช่วยนำหีบใบหนึ่งมาให้ข้าด้วย แล้วก็ต้องซื้อของอีกหลายอย่าง” ได้รับคำตอบ อวิ๋นเจียวก็วางใจ
“ตกลง!” ฉู่อี้หันไปมอง เห็นว่ารถม้าของตนเองก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
หลังจากตกลงกับฉู่อี้แล้ว อวิ๋นเจียวจึงเปล่งเสียงดังขึ้น “โรคระบาดครานี้คืออหิวาตกโรค ขอท่านโหวโปรดเมตตาส่งคนไปซื้อยารักษาอหิวาตกโรค หม้อต้มยาขนาดใหญ่ห้าใบ ผ้าสีเข้มยี่สิบพับ ผ้าห่มร้อยชุด เสื้อผ้าบุรุษและสตรีอย่างละร้อยชุด... ซื้อเสื้อคลุม ผ้าปิดปาก และถุงมือ อ้อ แล้วก็ปูนขาวอีกอย่างด้วยเ้าค่ะ”
“จางหลิง”
“ขอรับ”
“ได้ยินหรือไม่?”
“ได้ยินขอรับ”
“ทำตามที่คุณหนูอวิ๋นกล่าวเถิด!”
“ขอรับ ท่านโหว”
อะไรกัน? ท่านโหวเชื่อฟังเด็กสาวตัวเล็กๆ เช่นนั้นหรือ?
“อวิ๋นโส่วจง ฟางซื่อแห่งตระกูลอวิ๋น คารวะท่านโหวขอรับ/เ้าค่ะ” ขณะนั้นอวิ๋นโส่วจงและอวิ๋นฟางซื่อเดินออกมาคำนับฉู่อี้
ฉู่อี้รีบพยุงทั้งสองขึ้น ไม่ให้พวกเขาก้มลงคำนับ “ท่านลุงอวิ๋น ท่านป้าอวิ๋น ไม่ต้องทำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะพวกท่าน ก็คงไม่มีข้าในวันนี้!”
นายร้อย: ...
ที่แท้คนผู้นี้เป็คนรู้จักของท่านโหว รู้เช่นนี้ข้าไม่น่ากักตัวคนเหล่านี้ไว้เลย โอ้์... ล่วงเกินท่านโหวเช่นนี้จะทำเช่นไรดี!
ขณะนั้นรถม้าของฉู่อี้มาถึง เขาจึงสั่งให้คนนำหีบใบหนึ่งมา จากนั้นเขาก็ถือหีบเปล่าเดินตามอวิ๋นเจียวขึ้นรถม้าของตระกูลอวิ๋น
บนรถม้าไม่มีใครอยู่ ฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงลงจากรถม้าเนื่องจากต้องไปคำนับฉู่อี้
“กินนี่เสีย ยาป้องกันโรคเ้าค่ะ” พอขึ้นรถม้าอวิ๋นเจียวก็ยื่นยาเม็ดหนึ่งให้ฉู่อี้
ฉู่อี้ไม่ลังเลกลืนลงท้องทันที จากนั้นอวิ๋นเจียวก็นำยาที่ซ่อนอยู่ในรถม้าใส่ลงในหีบของฉู่อี้ทั้งหมด
“ห่อกระดาษที่มีสัญลักษณ์สีเหลืองนี้ สำหรับผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง สีดำสำหรับป่วยปานกลาง สีแดงสำหรับอาการรุนแรง กินวันละสามครั้ง ครั้งละหนึ่งห่อ ท่านให้คนนำไปแจกจ่าย ส่วนนี่ผงฆ่าเชื้อ หนึ่งห่อผสมน้ำหนึ่งพันชั่ง เทราดไปทั่วหมู่บ้าน โดยเฉพาะบ้านที่มีผู้ป่วย ต้องเทราดวันละสี่ครั้ง...”
อวิ๋นเจียวอธิบายอย่างละเอียด ส่วนฉู่อี้ก็รู้สึกใ เขารู้ดีว่านี่คือความลับของอวิ๋นเจียว ทันใดนั้นมุมปากของเขาก็เผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ เด็กน้อยผู้นี้ปิดบังพ่อแม่ของตน แต่กลับไม่ปิดบังเขา ในใจก็เหมือนมีดอกไม้ผลิบาน งดงามจนเกินพรรณนา
“เ้าไม่กลัวข้าเปิดเผยความลับของเ้าออกไปหรือ?”
อวิ๋นเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง นางเงยหน้ามองฉู่อี้อย่างจริงจัง “ท่านจะทำเช่นนั้นหรือเ้าคะ?”
ฉู่อี้ส่ายศีรษะอย่างเคร่งขรึม “ไม่หรอก เพียงแต่ต่อจากนี้ไป แม้เบื้องหน้าเ้าจะมีผู้คนนับพันนับหมื่นกำลังจะตาย ก็อย่าได้เปิดเผยความลับของเ้า ความโลภของมนุษย์นั้น น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ร้ายเสียอีก”
“อืม ข้าทราบแล้ว ท่านรีบออกไปเถิดเ้าค่ะ” อวิ๋นเจียวไม่ได้คาดคิดว่าฉู่อี้จะพูดเช่นนี้ เขาเหมือนสามารถมองทะลุความคิดในใจนางได้
แน่นอนว่านางไม่อาจทนเห็นหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน ปล่อยให้ชาวบ้านนับร้อยชีวิตต้องตายต่อหน้าต่อตานาง โดยเฉพาะเมื่อนางสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้
ฉู่อี้ลงจากรถม้าแล้วเรียกองครักษ์คนหนึ่งเข้ามา สั่งการอย่างละเอียด หลังจากนั้น องครักษ์ผู้นั้นก็ะโข้ามรั้วกั้น จากนั้นก็ประกาศด้วยเสียงดัง
“ชาวบ้านทั้งหลาย ท่านโหว้าช่วยชีวิตพวกเ้า แต่หากอยากมีชีวิตรอด ทุกคนต้องเชื่อฟังท่านโหว!”
เมื่อได้ยินว่าท่านโหวจะช่วยชีวิต พวกเขาก็ดีใจจนร้องไห้ออกมา และคุกเข่าคำนับขอบคุณทันที
“เงียบก่อน บัดนี้ทุกคนจงฟังข้าให้ดี! ในหมู่พวกเ้ามีผู้ใดมีอาการป่วยบ้าง?”
“ไม่มี!” ผู้ที่มีอาการป่วย หากไม่อาเจียนก็ท้องร่วง จะมีแรงวิ่งออกมาพังด่านกักกันโรคได้เช่นไร
“เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้ทุกคนจงเข้าแถว รายงานจำนวนผู้ป่วย และอาการหนักเบาของคนในครอบครัวของพวกเ้าทีละคน...”
“ขอรับ!”
ฝ่ายชาวบ้านแต่ละคนทยอยรายงาน ส่วนอีกด้านก็มีคนจดบันทึกข้อมูล ทุกครั้งที่รายงานเสร็จแล้ว จะมีคนนำยาที่บรรจุในซองสำหรับรับประทานสองวันส่งให้พวกเขา พร้อมกับกำชับวิธีกิน