จวนสกุลฉิน
เสียงร้องไห้ของคนในจวน ดังระงมไปทั่ว สืบเนื่องมาจากาชายแดนประจิมที่ยาวนาน ทำให้สกุลฉิน ต้องสูญเสียเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวไป ทิ้งไว้แต่เพียงบุตรี ที่พึ่งจะอายุย่างเข้าสิบปีอย่าง “ฉินซินหรู” เพียงคนเดียว
“คุณหนูเ้าคะ พักสักหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
“ไปเอากระดาษมาเพิ่มเถอะ”
“ฮึก... เ้าค่ะ”
สายตาของแม่นมอวี้ และชิงเถา สาวใช้ข้างกายที่ยังเหลืออยู่ อดร้องไห้ด้วยความสงสารไม่ได้ แม้นว่าจะเป็เพียงเด็กหญิง แต่การสูญเสียบิดาไป ในวัยเพียงเท่านี้ มันช่างโหดร้ายเสียเหลือเกินสำหรับนาง แต่ฉินซินหรู กลับยังนิ่งสงบ ตลอดการจัดงานศพมาหลายวัน นางกลับมิได้ร้องไห้เสียใจ หรือเสียน้ำตาเลย แม้แต่หยดเดียว
“นางสมกับเป็บุตรสาวของท่านแม่ทัพยิ่งนัก เจอเื่หนักหนาสาหัสขนาดนี้ นางยังไม่เคยร้องไห้เลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“ช่างเป็เด็กที่เข้มแข็งเหลือเกิน”
“แล้วจากนี้ไป นางจะทำเช่นไรต่อ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่านางไม่ยอมไปอยู่กับญาติฝั่งมารดาด้วยนะ”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร อายุน้อยแล้วยังเป็สตรี ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”
เกิดเสียงเอะอะั้แ่หน้าประตู เสียงขบวนม้านับสิบและกองทหารองครักษ์ ตามมาด้วยแม่ทัพที่สวมเพียงเกราะเล็ก เดินเข้ามาในจวน
“ท่านอ๋องเสด็จ!”
เสียงนั้นสร้างความฮือฮาให้กับคนในงาน ทุกคนต่างหลีกทาง ส่วนเด็กหญิงที่กำลังนั่งเผากระดาษ หน้าโลงศพของบิดา ได้แค่ยั้งมือเอาไว้ และค่อย ๆ ลุกขึ้นมา เพื่อเดินออกไปรับแขกที่มาเยือน เมื่อเห็นหน้าของแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งเป็องค์ชายเจ็ด และรั้งตำแหน่งท่านอ๋องปกครองเมืองตงโจวในขณะนี้ หันไปที่โลงศพของบิดา
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
“เ้าก็คือฉินซินหรู บุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพฉินลู่สินะ”
“เพคะ เป็หม่อมฉันเอง”
นาตอบไปด้วยท่าทางนิ่งสงบ แม้แต่ท่านอ๋องอย่าง “หรงเฟิงหยาง” ยังนึกชื่นชมนาง ที่ไม่ร้องไห้โวยวายเหมือนเด็กน้อย เขาทราบมาว่า นางมีอายุยังไม่เต็มสิบปีมิใช่หรือ
“ข้ามีนามว่าหรงเฟิงหยาง จากนี้จะเรียกเ้าว่าซินหรู ได้หรือไม่”
นางย่อคำนับเต็มพิธีการ เหมือนกับถูกฝึกมาอย่างดี
“สุดแล้วแต่ท่านอ๋องจะกรุณาเพคะ”
“เช่นนั้นข้าขอเข้าไป คารวะศพท่านแม่ทัพฉินก่อน เราค่อยคุยกันเื่หลังจากนี้”
“เชิญเสด็จทางนี้เถิดเพคะ”
เขาเดินตามเด็กหญิง ที่อายุน้อยกว่าเกือบสิบปี จนถึงบัดนี้นางก็ยังคงนิ่งสงบ กิริยามารยาทที่ไม่ต่างกับสตรีชั้นสูง ยิ่งทำให้เขานึกชื่นชมแม่ทัพฉินอยู่ไม่น้อย ที่สอนบุตรสาวมาได้ดี
“แม่ทัพฉิน ข้ามาคารวะดวงิญญาท่าน นับจากนี้ไปทุกชีวิตในตระกูลฉินของท่าน ข้าจะเป็ผู้ดูแลทั้งหมด ขอให้ท่านไปสู่หนทางสงบ สู่สุคติ”
ฉินซินหรูค่อย ๆ หลับตาลง “หนทางสงบ” งั้นหรือ นางก็เคยหวังเอาไว้เหมือนกัน แต่มันมิได้ง่ายถึงเพียงนั้น….
“ฮึก!”
เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นเป็ครั้งแรก ท่านอ๋องหันมามองดวงตาที่แดงก่ำ หยาดน้ำที่ไหลรินลงแก้มของเด็กหญิง แม้ว่าใบหน้าจะยังนิ่งสงบ แต่จมูกกลับแดงขึ้น เมื่อนางพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ต่อหน้าเขา
“ร้องออกมาเถอะซินหรู อย่ากลั้นเอาไว้เลย นับจากวันนี้ไป เ้าจะเป็คนของจวนตงอ๋อง ข้าหรงเฟิงหยางขอสาบาน ต่อหน้าดวงิญญาท่านแม่ทัพฉินลู่ ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ปกป้องคุ้มครองฉินซินหรู ให้นางมีชีวิตที่ดี ท่านแม่ทัพไม่ต้องเป็ห่วง วันนี้ข้ามารับบุตรสาวของท่าน ตามที่เคยให้คำสัตย์กับท่านแล้ว”
นางเงยหน้ามองเขาทั้งน้ำตา อีกฝ่ายเอื้อมมือมาเช็ดให้ ด้วยความอ่อนโยน แก้มนุ่มเนียนดุจหิมะ เมื่อต้องมือหยาบกร้าน ที่ถือแต่อาวุธก็ถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อย
“ฉินซินหรู เ้ากลัวข้าหรือไม่”
“ไม่กลัวเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี นับจากนี้ไป ข้าคือท่านอาของเ้า”
นางหันมามองเขาอีกครั้ง ท่ามกลางสายลมแ่เบา ที่โบกพัดป้ายไว้อาลัยให้ปลิวสะบัด ราวกับรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ท่านอางั้นหรือ”
รอยยิ้มแรก ผุดขึ้นจากพักตร์ของท่านอ๋อง ซึ่งรอยยิ้มนั้นเอง ที่ทำให้ฉินซินหรูรู้สึกว่า ชีวิตนี้นางยังมีความหวัง
“เรียกข้าว่าท่านอา แต่หากอยู่ในที่ชุมชน จงเรียกข้าว่า “เสด็จอา” เ้าพอเข้าใจหรือไม่ หลังจากเสร็จพิธีศพของแม่ทัพฉิน ข้าจะส่งคนมาช่วยเ้าย้ายของ รวมถึงสาวใช้ของเ้าทั้งหมด ไปอยู่ในจวนอ๋องเมืองตงโจว ส่งเ้าร่ำเรียนตามความเหมาะสม ตกลงหรือไม่”
เขายื่นหนังสือสำคัญบางอย่างให้นาง เมื่อซินหรูเปิดอ่านจนหมดแล้ว นางจึงเงยหน้ามามองเขาอีกครั้ง น้ำตายังไหลออกมาไม่หยุด แต่สายตามุ่งมั่นของนาง กลับทำให้เขาจดจำไปอีกนานแสนนาน….
“ตกลง ข้าจะย้ายไปอยู่ที่จวนอ๋องกับท่านเพคะ เสด็จอา”
แปดปีผ่านไป
ซินหรูเติบโตขึ้นมา และกลายเป็สตรีที่เพียบพร้อม งดงามตามวัยที่สมควร ในพิธีปักปิ่นตอนวัยสิบห้าปีเต็ม ท่านอ๋องมอบปิ่นทอง ประดับทับทิมรูปนกยูงทองให้นาง ผ้าไหมชั้นเยี่ยมอีกหลายพับ เป็ของขวัญสำหรับการก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แน่นอนว่าหลังจากนั้น เทียบสู่ขอและแม่สื่อทั้งหลายในเมืองตงโจว ต่างก็คิดจะมาทาบทามนางไม่ขาดสาย
“ออกไปให้หมด หากไม่มีคำสั่งข้า ก็อย่าได้หวังว่าจะมีแม่สื่อคนใดก้าวเข้ามาได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“กงอวี่” องครักษ์ข้างกายท่านอ๋อง หันไปสั่งการองครักษ์เฝ้าหน้าประตู หลังจากที่ฉินซินหรู ย้ายเข้ามาอยู่ในจวน เขาก็เริ่มให้นางศึกษาวิชาปราชญ์และศาสตร์ทั้งสี่
ตอนนี้นางสนใจร่ำเรียนวิชายุทธ์ แต่ท่านอ๋องยังมิได้ลงความเห็น ว่าจะให้นางไปร่ำเรียนที่อื่น แต่ก็จัดอาจารย์สอนยุทธ์มาให้ที่จวน
“เห็นทีว่าหากนางยังอยู่ที่นี่ คงพบเจอแต่เื่เหล่านี้ไม่จบสิ้น”
ห้องของซินหรู
สตรีอันดับหนึ่งในตงโจว คือสมญานามของฉินซินหรูในตอนนี้ นางเติบโตมาอย่างงดงาม ท่ามกลางการดูแลของท่านอ๋อง แม้ว่าในเมืองตงโจว จะมีบุรุษที่มากความสามารถ คิดหมายปองนาง หากแต่ว่าในใจของซินหรู มองเห็นบุรุษเพียงคนเดียว ซึ่งภาพนั้นชัดเจน มาั้แ่นางอายุได้เพียงสิบขวบ
“คุณหนูเ้าคะ วันนี้ท่านอ๋องสั่งให้องครักษ์กงอวี่ ไล่พวกแม่สื่อไปอีกแล้วเ้าค่ะ”
“งั้นหรือ พวกเขาก็ชอบยั่วโมโหเสด็จอาของข้าเสียยิ่งนัก เหตุใดยังไม่จดจำเสียบ้าง”
“แต่หากคุณหนูไม่เลือกใครเสียที เช่นนี้…”
“ข้าไม่รีบหรอก”
“หรือว่าคุณหนู มีคนในใจอยู่แล้ว”
"หากไม่มีผู้ใดที่เก่งกว่าเสด็จอา จะมองไปทำไมกันเล่า"
รอยยิ้มผุดขึ้นมา บนใบหน้าของดรุณีน้อย พร้อมกับพวงแก้มที่เป็สีชมพูออกแดงระเรื่อ เมื่อสาวใช้ข้างกายเห็น ก็ยิ้มออกมาทันที
“ที่แท้ในใจของท่าน ก็มีเพียงท่านอ๋องเพียงคนเดียว มาตลอดสินะเ้าคะ แล้วท่านไม่คิดจะบอกท่านอ๋องหรือเพคะ”
ซินหรูหันมาเก็บปิ่นทองรูปนกยูง ที่ท่านอ๋องเคยปักให้นาง ในพิธีปักปิ่นครั้งนั้น ถือเป็เื่ที่ผู้คนร่ำลือกันไปมากมาย แม้แต่เหล่าสตรีในเมืองตงโจว ต่างก็เริ่มคิดว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ธรรมดา
เพียงแต่ว่ายังไม่มีใคร กล้าเอ่ยปากก่อนเท่านั้น อีกทั้งท่านอ๋องที่มีราชกิจมากในแต่ละวัน จึงแทบจะไม่มีเวลาคิดเื่เหล่านี้ นางเองก็มิอาจทราบได้ว่า เขารู้สึกเช่นเดียวกับนางหรือไม่
“เื่มันมิได้ง่ายเช่นนั้น อีกอย่าง… เ้าก็รู้ว่า ยังมีคนอื่น ที่เหมาะสมมากกว่าข้า”
“ท่านหมายถึงคุณหนู “หลินเยี่ยนหง” บุตรีเ้ากรมพิธีการผู้นั้นสินะเ้าคะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้