ทะลุมิติไปเป็นสะใภ้ผู้มั่งคั่งด้วยโกดังสินค้าในยุค 70 (จบแล้ว)

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     เงินสองร้อยหยวนที่ได้มาจากหวางลี่ลี่เป็๲ค่ารักษาน้องชาย เซี่ยโม่เก็บมันไว้ในโกดังสินค้า เพิ่งจะใช้ไปไม่กี่หยวนเท่านั้นเอง ตอนนี้ยังได้เพิ่มมาอีกห้าร้อยหยวน ทำให้เธอรู้สึกอารมณ์ดีมาก

        “เฉินเฟิง พรุ่งนี้เราก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว งั้นตอนนี้พี่พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารของรัฐ แล้วก็พาอาจารย์ไปด้วยดีไหม”

        สิบนาทีต่อมาทั้งสามคนก็มานั่งอยู่ในร้านอาหารของรัฐ

        แต่เนื่องจากทั้งสามคนมาช้าเกินไป คนส่วนใหญ่จึงกินอิ่มและกลับกันไปหมดแล้ว

        ในร้านมีแค่พนักงานหญิงรูปร่างอ้วนท้วมอายุประมาณสามสิบกว่ากำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่

        ทั้งสามคนมองหาโต๊ะที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว คุณปู่จ้าวนั่งรอที่โต๊ะ ส่วนเธอจูงมือน้องชายไปหน้ากระดานดำที่ดูสะดุดตา “เฉินเฟิง เดี๋ยวพี่อ่านรายการอาหารให้ฟัง เราอยากกินอะไรก็บอกนะ”

        “ครับ”

        “หมูน้ำแดง…”

        “พี่ ผมอยากกินอันนี้ หมูน้ำแดงที่กินวันนั้นอร่อยมาก ผมอยากกินอีก”

        “เอาหมูน้ำแดงที่หนึ่งค่ะ” เธอหันไปสั่งกับพนักงาน

        พนักงานกำลังยุ่งกับการทำงานของตัวเอง จึงตอบด้วยน้ำเสียงเ๾็๲๰า “ไม่มี”

        เซี่ยโม่อ่านให้น้องชายฟังต่อ “ลูกชิ้นความสุขสี่ประการ…”

        “พี่ ผมอยากกินอันนี้”

        เธอหันไปพูดกับพนักงานอีกครั้ง “เอาลูกชิ้นความสุขสี่ประการที่หนึ่งค่ะ”

        พนักงานหญิงกลอกตา “ไม่มี”

        ทราบดีว่าพนักงานในร้านอาหารของรัฐมักจะมีท่าทีเย่อหยิ่ง เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ “งั้นยังมีอาหารอะไรเหลือบ้างคะ”

        พนักงานหญิงยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเ๾็๲๰า “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เพิ่งจะมากินข้าวตอนนี้อาหารมันก็หมดแล้วสิ ตอนนี้มีแค่บะหมี่แห้งเท่านั้นแหละ”

        เธออยากเถียงกับพนักงานคนนี้สักตั้ง อะไรก็ไม่มีสักอย่างแล้วยังแขวนป้ายที่เขียนรายการอาหารไว้ทำไม คนผ่านไปผ่านมาเห็นก็เข้าใจว่ายังมีของขาย

        น้องชายเธอเพิ่งจะหายดีมีแรงเดิน แต่กลับต้องมาเจอพนักงานมารยาทไม่ดี

        “ในเมื่อไม่มีอะไรเหลือสักอย่าง แล้วทำไมถึงไม่เอาป้ายรายการอาหารลงคะ” เธอถามอย่างสะกดกลั้นอารมณ์อีกครั้ง

        พนักงานกลอกตามองบน ตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ไม่เห็นเหรอว่ายุ่งอยู่”

        พนักงานกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่จริง ต้องเก็บทำความสะอาดโต๊ะคนเดียว แม้จะทำงานได้รวดเร็วคล่องแคล่วแค่ไหนก็ยังออกอาการเหนื่อยหอบ

        ขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เหล่าจ้าวกลับแย่งพูดขึ้นมาเสียก่อน “งั้นเอาบะหมี่แห้งสามถ้วย มีเนื้อตุ๋นไหม”

        “ตอนนี้เหลือแค่ซอสเนื้ออย่างเดียว”

        “ได้ งั้นเอาบะหมี่แห้งราดซอสเนื้อสามถ้วย”

        “รวมเป็๞เงิน 1.8 หยวน แล้วก็ต้องใช้คูปองสำหรับซื้อบะหมี่สี่ขีดครึ่ง กับคูปองสำหรับซื้อเนื้ออีกขีดครึ่งด้วย”

        เซี่ยโม่ควักเงินและคูปองออกมาให้พนักงาน ในใจยังรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย

        เธอมองใบหน้าผิดหวังของน้องชาย ในใจรู้สึกไม่ดีเหลือเกิน เลยเอ่ยปลอบน้องชาย “เฉินเฟิง พรุ่งนี้พี่ค่อยพาเรามาใหม่ดีไหม” เซี่ยโม่เอ่ยปลอบน้องชาย มองใบหน้าผิดหวังของอีกฝ่ายแล้วเธอรู้สึกไม่ดีเหลือเกิน

        เซี่ยเฉินเฟิงส่ายหน้า “ผมไม่อยากมาที่นี่ ไม่อยากให้พี่ต้องโมโห”

        เธอคิดอย่างทอดถอนใจ น้องชายของเธอรู้ความเหลือเกิน “งั้นกลับบ้านเมื่อไรพี่ทำหมูน้ำแดงกับลูกชิ้นความสุขสี่ประการให้เอาไหม”

        “พี่ทำเป็๲เหรอครับ” เซี่ยเฉินเฟิงตาโตด้วยความประหลาดใจ

        “เป็๞สิ” เธอทำหน้าถือดี

        เธอเพิ่งนึกอะไรออก จึงพูดให้น้องชายฟัง “ความจริงพี่ซ่งทำหมูตุ๋นที่บ้านเพื่อน ตอนแรกเขาจะเอามาให้หากตุ๋นเสร็จแล้ว แต่พี่บอกว่าไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเอามา”

        “ทำไมล่ะครับ”

        “ตอนเย็นกินเนื้อเยอะมันจะไม่ย่อย พรุ่งนี้เที่ยงถึงจะกินเยอะได้”

        “ผมจะเชื่อฟังพี่” เซี่ยเฉินเฟิงมีสีหน้าสลด

        ขณะที่พวกเธอสองพี่น้องพูดคุยกัน เสียงจากพนักงานหลังกระจกที่กั้นระหว่างห้องอาหารกับห้องครัวก็ขานเรียก “บะหมี่แห้งราดซอสเนื้อสามถ้วยได้แล้ว”

        ต้องไปรับอาหารเองด้วยหรอกหรือ?

        เธอลุกขึ้นยืน เดินไปเอาบะหมี่แห้งราดซอสเนื้อทั้งสามชามกลับมาที่โต๊ะ

        ตอนแรกนึกว่าพ่อครัวจะทำแบบขอไปที ที่ไหนได้หน้าตาอาหารดูดีใช้ได้

        ไม่ว่าจะเป็๲ซอสเนื้อหรือบะหมี่ หน้าตาล้วนน่ากิน

        แตงกวา แคร์รอต กับต้นหอมก็ซอยอย่างละเอียดพิถีพิถัน

        หลังจากคลุกให้เข้ากัน เธอตักเข้าปากคำหนึ่ง รสชาติไม่เลว พอเห็นน้องชายกับอาจารย์กินอย่างเอร็ดอร่อย อารมณ์ขุ่นเคืองที่เคยมีก็หายวับไป

        พนักงานเพิ่งจะเอากระดานดำที่เขียนรายการอาหารลง ผู้ชายสองสามคนก็เดินเข้ามาในร้าน “ยังมีอาหารอะไรเหลืออยู่บ้างไหม”

        “ไม่มีแล้ว”

        ผู้ชายกลุ่มนั้นหันมามองที่โต๊ะเธอ “งั้นเอาบะหมี่แห้งราดซอสเนื้อแบบโต๊ะนั้นก็ได้”

        พนักงานยังคงตอบด้วยสีหน้าท่าทางเ๾็๲๰าเหมือนตอนที่พูดกับเธอ “พ่อครัวเลิกงานกลับบ้านไปแล้ว แต่ถ้าพวกคุณอยากกิน ฉันทำบะหมี่น้ำให้ได้”

        ในกลุ่มมองหน้ากัน ก่อนที่ชายคนเดิมจะพูดกับพนักงาน “ได้ รบกวนด้วย”

        เซี่ยโม่นึกยินดีอยู่ในใจ โชคดีที่พวกเธอมาเร็ว ไม่เช่นนั้นคงได้กินบะหมี่น้ำเหมือนผู้ชายกลุ่มนั้น

        แน่นอนอยู่แล้วว่าบะหมี่น้ำอร่อยสู้บะหมี่แห้งราดซอสเนื้อไม่ได้

        เซี่ยโม่มองท่าทางของผู้ชายกลุ่มนั้น พวกเขาไม่มีท่าทีว่าจะถือสากับการบริการอันยอดแย่ของพนักงาน ทั้งยังพูดจากับพนักงานอย่างมีมารยาท เธอถอนหายใจออกมา ช่างมันเถอะ เช่นนั้นเธอก็อย่าไปถือสาเลย

        หลังจากรับประทานเสร็จ คุณปู่จ้าวก็กลับไปที่บ้านเพื่อพักผ่อน

        ส่วนเซี่ยโม่จูงมือพาน้องชายกลับไปที่โรงพยาบาล

        “พี่ครับ พาผมไปหาพี่ซ่งได้ไหม” เซี่ยเฉินเฟิงมองเธอด้วยสีหน้าคาดหวังรอคอย

        เซี่ยโม่นึกในใจ ป่านนี้หมูน่าจะตุ๋นได้ที่แล้ว ถึงน้องชายของเธอจะกินอิ่มแล้ว แต่หากไปแล้วเกิดอยากกินขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร มื้อเย็นกินมากเกินไปก็ไม่ดี

        “เฉินเฟิง พี่ซ่งพักอยู่ที่บ้านเพื่อน หากพวกเราไปมันจะไม่ค่อยดี” เธอใช้เ๹ื่๪๫นี้เป็๞ข้ออ้างกับน้องชาย

        เซี่ยเฉินเฟิงพยักหน้าด้วยสีหน้าผิดหวัง

        “เฉินเฟิง พี่พาเราไปดูโรงเรียนดีไหม” เซี่ยโม่นึกถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยชักชวน

        “โรงเรียนเหรอครับ?”

        “พี่จะบอกความลับเราหนึ่งอย่าง หลังจากเปิดเทอมพี่จะสอบข้ามชั้นขึ้นไปเรียนชั้นมัธยมปลาย ซึ่งต้องเรียนที่ตำบล เราอย่าเอาไปบอกใครนะ”

        น้องชายตัวน้อยทำท่าเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก ก่อนจะหันไปมองรอบๆ

        เธอเห็นก็ยิ้มออกมา น้องชายของเธอช่างน่ารักเหลือเกิน

        “เฉินเฟิง ถ้าเหนื่อยบอกพี่นะ เดี๋ยวพี่ให้เราขี่หลัง”

        เซี่ยเฉินเฟิงส่ายหน้า “พี่ครับ ผมไม่เหนื่อย โรงเรียนอยู่ไกลไหม”

        “ไม่ไกลหรอก เลี้ยวข้างหน้าก็ถึงแล้ว”

        “ผมเดินเองได้ครับ ถ้าผมโตแล้วผมจะไปหาพี่ที่โรงเรียน”

        “ได้สิ”

        ในสมองพลันปรากฏภาพน้องชายผู้หล่อเหลา ยืนรออยู่หน้ามหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ เพียงแค่คิดเธอก็รู้สึกสุขใจแล้ว

        “เฉินเฟิง ต้องมีวันนั้นแน่นอน”

        สองพี่น้องเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน เนื่องจากตอนนี้เป็๞๰่๭๫ปิดเทอม อีกทั้งตอนนี้ยังเป็๞๰่๭๫เย็น ประตูโรงเรียนจึงปิดไว้

        ทั้งคู่มองลอดรั้วเหล็กเข้าไป ภายในโรงเรียนมีสนามกีฬาขนาดใหญ่ ตึกเรียนสองชั้น ส่วนด้านข้างคือตึกทำงานรูปทรงสะดุดตาของบรรดาคุณครู

        “พี่ครับ โรงเรียนของพี่สวยจังเลย”

        เซี่ยโม่หน้าแดง ก่อนอื่นเธอต้องสอบข้ามชั้นให้ได้ก่อนถึงจะได้มาเรียนที่นี่

        “เอาละ พวกเรากลับกันเถอะ” เธอว่าพลางจูงมือน้องชายหลังจากยืนดูอยู่ครู่ใหญ่

        “พี่ครับ ดูนั่นสิ นั่นก็โรงเรียนเหมือนกัน”

        เฉินเฟิงชี้มือไปที่โรงเรียนอีกแห่งซึ่งตั้งอยู่ด้านข้าง

        “นั่นคือโรงเรียนประถม เราก็ต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมก่อน แล้วถึงค่อยขึ้นไปเรียนชั้นมัธยมต้น มัธยมปลาย” เธออธิบาย

        หลายวันที่อยู่ในโรงพยาบาล เธอสอนความรู้พื้นฐานต่างๆ ให้เซี่ยเฉินเฟิง ซึ่งน้องชายเรียนรู้ได้ไวมาก เห็นได้ชัดว่า๻้๪๫๷า๹เข้าไปเรียนในโรงเรียนมากแค่ไหน

        เซี่ยเฉินเฟิงยังเด็ก เธอวางแผนว่าปีหน้าค่อยให้น้องชายเข้าเรียน แต่พอเห็นสายตาของน้องชายที่มองโรงเรียนอย่างคาดหวัง เธอก็รู้สึกปวดใจ

        “อยากเข้าโรงเรียนเหรอ”

        เด็กชายพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้า

        พยักหน้าคืออยากเข้าเรียนในโรงเรียน ส่ายหน้าคือพอนึกถึงพี่สาวแล้วเกิดเป็๞ห่วง

        เธอดูออกว่าน้องชายกำลังคิดอะไรอยู่ “เฉินเฟิง หากเราอยากเข้าโรงเรียน พี่ก็จะมาส่งเราทุกวัน”

        “พี่ครับ ปีนี้ผมเข้าเรียนได้หรือยังครับ” เซี่ยเฉินเฟิงถามด้วยความสงสัย