เงินสองร้อยหยวนที่ได้มาจากหวางลี่ลี่เป็ค่ารักษาน้องชาย เซี่ยโม่เก็บมันไว้ในโกดังสินค้า เพิ่งจะใช้ไปไม่กี่หยวนเท่านั้นเอง ตอนนี้ยังได้เพิ่มมาอีกห้าร้อยหยวน ทำให้เธอรู้สึกอารมณ์ดีมาก
“เฉินเฟิง พรุ่งนี้เราก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว งั้นตอนนี้พี่พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารของรัฐ แล้วก็พาอาจารย์ไปด้วยดีไหม”
สิบนาทีต่อมาทั้งสามคนก็มานั่งอยู่ในร้านอาหารของรัฐ
แต่เนื่องจากทั้งสามคนมาช้าเกินไป คนส่วนใหญ่จึงกินอิ่มและกลับกันไปหมดแล้ว
ในร้านมีแค่พนักงานหญิงรูปร่างอ้วนท้วมอายุประมาณสามสิบกว่ากำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่
ทั้งสามคนมองหาโต๊ะที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว คุณปู่จ้าวนั่งรอที่โต๊ะ ส่วนเธอจูงมือน้องชายไปหน้ากระดานดำที่ดูสะดุดตา “เฉินเฟิง เดี๋ยวพี่อ่านรายการอาหารให้ฟัง เราอยากกินอะไรก็บอกนะ”
“ครับ”
“หมูน้ำแดง…”
“พี่ ผมอยากกินอันนี้ หมูน้ำแดงที่กินวันนั้นอร่อยมาก ผมอยากกินอีก”
“เอาหมูน้ำแดงที่หนึ่งค่ะ” เธอหันไปสั่งกับพนักงาน
พนักงานกำลังยุ่งกับการทำงานของตัวเอง จึงตอบด้วยน้ำเสียงเ็า “ไม่มี”
เซี่ยโม่อ่านให้น้องชายฟังต่อ “ลูกชิ้นความสุขสี่ประการ…”
“พี่ ผมอยากกินอันนี้”
เธอหันไปพูดกับพนักงานอีกครั้ง “เอาลูกชิ้นความสุขสี่ประการที่หนึ่งค่ะ”
พนักงานหญิงกลอกตา “ไม่มี”
ทราบดีว่าพนักงานในร้านอาหารของรัฐมักจะมีท่าทีเย่อหยิ่ง เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ “งั้นยังมีอาหารอะไรเหลือบ้างคะ”
พนักงานหญิงยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเ็า “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เพิ่งจะมากินข้าวตอนนี้อาหารมันก็หมดแล้วสิ ตอนนี้มีแค่บะหมี่แห้งเท่านั้นแหละ”
เธออยากเถียงกับพนักงานคนนี้สักตั้ง อะไรก็ไม่มีสักอย่างแล้วยังแขวนป้ายที่เขียนรายการอาหารไว้ทำไม คนผ่านไปผ่านมาเห็นก็เข้าใจว่ายังมีของขาย
น้องชายเธอเพิ่งจะหายดีมีแรงเดิน แต่กลับต้องมาเจอพนักงานมารยาทไม่ดี
“ในเมื่อไม่มีอะไรเหลือสักอย่าง แล้วทำไมถึงไม่เอาป้ายรายการอาหารลงคะ” เธอถามอย่างสะกดกลั้นอารมณ์อีกครั้ง
พนักงานกลอกตามองบน ตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ไม่เห็นเหรอว่ายุ่งอยู่”
พนักงานกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่จริง ต้องเก็บทำความสะอาดโต๊ะคนเดียว แม้จะทำงานได้รวดเร็วคล่องแคล่วแค่ไหนก็ยังออกอาการเหนื่อยหอบ
ขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เหล่าจ้าวกลับแย่งพูดขึ้นมาเสียก่อน “งั้นเอาบะหมี่แห้งสามถ้วย มีเนื้อตุ๋นไหม”
“ตอนนี้เหลือแค่ซอสเนื้ออย่างเดียว”
“ได้ งั้นเอาบะหมี่แห้งราดซอสเนื้อสามถ้วย”
“รวมเป็เงิน 1.8 หยวน แล้วก็ต้องใช้คูปองสำหรับซื้อบะหมี่สี่ขีดครึ่ง กับคูปองสำหรับซื้อเนื้ออีกขีดครึ่งด้วย”
เซี่ยโม่ควักเงินและคูปองออกมาให้พนักงาน ในใจยังรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย
เธอมองใบหน้าผิดหวังของน้องชาย ในใจรู้สึกไม่ดีเหลือเกิน เลยเอ่ยปลอบน้องชาย “เฉินเฟิง พรุ่งนี้พี่ค่อยพาเรามาใหม่ดีไหม” เซี่ยโม่เอ่ยปลอบน้องชาย มองใบหน้าผิดหวังของอีกฝ่ายแล้วเธอรู้สึกไม่ดีเหลือเกิน
เซี่ยเฉินเฟิงส่ายหน้า “ผมไม่อยากมาที่นี่ ไม่อยากให้พี่ต้องโมโห”
เธอคิดอย่างทอดถอนใจ น้องชายของเธอรู้ความเหลือเกิน “งั้นกลับบ้านเมื่อไรพี่ทำหมูน้ำแดงกับลูกชิ้นความสุขสี่ประการให้เอาไหม”
“พี่ทำเป็เหรอครับ” เซี่ยเฉินเฟิงตาโตด้วยความประหลาดใจ
“เป็สิ” เธอทำหน้าถือดี
เธอเพิ่งนึกอะไรออก จึงพูดให้น้องชายฟัง “ความจริงพี่ซ่งทำหมูตุ๋นที่บ้านเพื่อน ตอนแรกเขาจะเอามาให้หากตุ๋นเสร็จแล้ว แต่พี่บอกว่าไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเอามา”
“ทำไมล่ะครับ”
“ตอนเย็นกินเนื้อเยอะมันจะไม่ย่อย พรุ่งนี้เที่ยงถึงจะกินเยอะได้”
“ผมจะเชื่อฟังพี่” เซี่ยเฉินเฟิงมีสีหน้าสลด
ขณะที่พวกเธอสองพี่น้องพูดคุยกัน เสียงจากพนักงานหลังกระจกที่กั้นระหว่างห้องอาหารกับห้องครัวก็ขานเรียก “บะหมี่แห้งราดซอสเนื้อสามถ้วยได้แล้ว”
ต้องไปรับอาหารเองด้วยหรอกหรือ?
เธอลุกขึ้นยืน เดินไปเอาบะหมี่แห้งราดซอสเนื้อทั้งสามชามกลับมาที่โต๊ะ
ตอนแรกนึกว่าพ่อครัวจะทำแบบขอไปที ที่ไหนได้หน้าตาอาหารดูดีใช้ได้
ไม่ว่าจะเป็ซอสเนื้อหรือบะหมี่ หน้าตาล้วนน่ากิน
แตงกวา แคร์รอต กับต้นหอมก็ซอยอย่างละเอียดพิถีพิถัน
หลังจากคลุกให้เข้ากัน เธอตักเข้าปากคำหนึ่ง รสชาติไม่เลว พอเห็นน้องชายกับอาจารย์กินอย่างเอร็ดอร่อย อารมณ์ขุ่นเคืองที่เคยมีก็หายวับไป
พนักงานเพิ่งจะเอากระดานดำที่เขียนรายการอาหารลง ผู้ชายสองสามคนก็เดินเข้ามาในร้าน “ยังมีอาหารอะไรเหลืออยู่บ้างไหม”
“ไม่มีแล้ว”
ผู้ชายกลุ่มนั้นหันมามองที่โต๊ะเธอ “งั้นเอาบะหมี่แห้งราดซอสเนื้อแบบโต๊ะนั้นก็ได้”
พนักงานยังคงตอบด้วยสีหน้าท่าทางเ็าเหมือนตอนที่พูดกับเธอ “พ่อครัวเลิกงานกลับบ้านไปแล้ว แต่ถ้าพวกคุณอยากกิน ฉันทำบะหมี่น้ำให้ได้”
ในกลุ่มมองหน้ากัน ก่อนที่ชายคนเดิมจะพูดกับพนักงาน “ได้ รบกวนด้วย”
เซี่ยโม่นึกยินดีอยู่ในใจ โชคดีที่พวกเธอมาเร็ว ไม่เช่นนั้นคงได้กินบะหมี่น้ำเหมือนผู้ชายกลุ่มนั้น
แน่นอนอยู่แล้วว่าบะหมี่น้ำอร่อยสู้บะหมี่แห้งราดซอสเนื้อไม่ได้
เซี่ยโม่มองท่าทางของผู้ชายกลุ่มนั้น พวกเขาไม่มีท่าทีว่าจะถือสากับการบริการอันยอดแย่ของพนักงาน ทั้งยังพูดจากับพนักงานอย่างมีมารยาท เธอถอนหายใจออกมา ช่างมันเถอะ เช่นนั้นเธอก็อย่าไปถือสาเลย
หลังจากรับประทานเสร็จ คุณปู่จ้าวก็กลับไปที่บ้านเพื่อพักผ่อน
ส่วนเซี่ยโม่จูงมือพาน้องชายกลับไปที่โรงพยาบาล
“พี่ครับ พาผมไปหาพี่ซ่งได้ไหม” เซี่ยเฉินเฟิงมองเธอด้วยสีหน้าคาดหวังรอคอย
เซี่ยโม่นึกในใจ ป่านนี้หมูน่าจะตุ๋นได้ที่แล้ว ถึงน้องชายของเธอจะกินอิ่มแล้ว แต่หากไปแล้วเกิดอยากกินขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร มื้อเย็นกินมากเกินไปก็ไม่ดี
“เฉินเฟิง พี่ซ่งพักอยู่ที่บ้านเพื่อน หากพวกเราไปมันจะไม่ค่อยดี” เธอใช้เื่นี้เป็ข้ออ้างกับน้องชาย
เซี่ยเฉินเฟิงพยักหน้าด้วยสีหน้าผิดหวัง
“เฉินเฟิง พี่พาเราไปดูโรงเรียนดีไหม” เซี่ยโม่นึกถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยชักชวน
“โรงเรียนเหรอครับ?”
“พี่จะบอกความลับเราหนึ่งอย่าง หลังจากเปิดเทอมพี่จะสอบข้ามชั้นขึ้นไปเรียนชั้นมัธยมปลาย ซึ่งต้องเรียนที่ตำบล เราอย่าเอาไปบอกใครนะ”
น้องชายตัวน้อยทำท่าเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก ก่อนจะหันไปมองรอบๆ
เธอเห็นก็ยิ้มออกมา น้องชายของเธอช่างน่ารักเหลือเกิน
“เฉินเฟิง ถ้าเหนื่อยบอกพี่นะ เดี๋ยวพี่ให้เราขี่หลัง”
เซี่ยเฉินเฟิงส่ายหน้า “พี่ครับ ผมไม่เหนื่อย โรงเรียนอยู่ไกลไหม”
“ไม่ไกลหรอก เลี้ยวข้างหน้าก็ถึงแล้ว”
“ผมเดินเองได้ครับ ถ้าผมโตแล้วผมจะไปหาพี่ที่โรงเรียน”
“ได้สิ”
ในสมองพลันปรากฏภาพน้องชายผู้หล่อเหลา ยืนรออยู่หน้ามหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ เพียงแค่คิดเธอก็รู้สึกสุขใจแล้ว
“เฉินเฟิง ต้องมีวันนั้นแน่นอน”
สองพี่น้องเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน เนื่องจากตอนนี้เป็่ปิดเทอม อีกทั้งตอนนี้ยังเป็่เย็น ประตูโรงเรียนจึงปิดไว้
ทั้งคู่มองลอดรั้วเหล็กเข้าไป ภายในโรงเรียนมีสนามกีฬาขนาดใหญ่ ตึกเรียนสองชั้น ส่วนด้านข้างคือตึกทำงานรูปทรงสะดุดตาของบรรดาคุณครู
“พี่ครับ โรงเรียนของพี่สวยจังเลย”
เซี่ยโม่หน้าแดง ก่อนอื่นเธอต้องสอบข้ามชั้นให้ได้ก่อนถึงจะได้มาเรียนที่นี่
“เอาละ พวกเรากลับกันเถอะ” เธอว่าพลางจูงมือน้องชายหลังจากยืนดูอยู่ครู่ใหญ่
“พี่ครับ ดูนั่นสิ นั่นก็โรงเรียนเหมือนกัน”
เฉินเฟิงชี้มือไปที่โรงเรียนอีกแห่งซึ่งตั้งอยู่ด้านข้าง
“นั่นคือโรงเรียนประถม เราก็ต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมก่อน แล้วถึงค่อยขึ้นไปเรียนชั้นมัธยมต้น มัธยมปลาย” เธออธิบาย
หลายวันที่อยู่ในโรงพยาบาล เธอสอนความรู้พื้นฐานต่างๆ ให้เซี่ยเฉินเฟิง ซึ่งน้องชายเรียนรู้ได้ไวมาก เห็นได้ชัดว่า้าเข้าไปเรียนในโรงเรียนมากแค่ไหน
เซี่ยเฉินเฟิงยังเด็ก เธอวางแผนว่าปีหน้าค่อยให้น้องชายเข้าเรียน แต่พอเห็นสายตาของน้องชายที่มองโรงเรียนอย่างคาดหวัง เธอก็รู้สึกปวดใจ
“อยากเข้าโรงเรียนเหรอ”
เด็กชายพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้า
พยักหน้าคืออยากเข้าเรียนในโรงเรียน ส่ายหน้าคือพอนึกถึงพี่สาวแล้วเกิดเป็ห่วง
เธอดูออกว่าน้องชายกำลังคิดอะไรอยู่ “เฉินเฟิง หากเราอยากเข้าโรงเรียน พี่ก็จะมาส่งเราทุกวัน”
“พี่ครับ ปีนี้ผมเข้าเรียนได้หรือยังครับ” เซี่ยเฉินเฟิงถามด้วยความสงสัย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้