ทางเหนือของสถานีขนส่งเป็พื้นที่โล่ง ซูอินกำลังเผชิญหน้ากับอันธพาลนับร้อยที่หลิงเมิ่งพามา ทำให้จิตใต้สำนึกของซูอินเริ่มรู้สึกหวาดกลัว
ทว่าในเวลาต่อมาแรงสั่นจากฝ่ามือทำให้ซูอินดึงสติกลับมา
น้องชายตัวน้อยยังอยู่ตรงนี้
ความหวาดกลัวนี้นอกจากทำให้หลิงเมิ่งได้ใจ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร การหาวิธีหนีไปจากที่นี่ต่างหากคือสิ่งสำคัญ
อันดับแรกเธอนึกถึงคนขับรถรับจ้างที่เมื่อเช้าได้นัดเวลาและสถานที่เอาไว้อย่างดิบดีตอนที่ลงจากรถ เวลานัดก็ประมาณ่นี้ เขาน่าจะใกล้ถึงแล้วใช่ไหม เธอหันไปมองด้านข้างโดยไม่รู้ตัว
หลิงเมิ่งที่อยู่ตรงข้ามส่งเสียงหัวเราะ “รอรถรับจ้างอยู่หรือ”
ในใจของซูอินเต้นแรง คำพูดที่หลิงเมิ่งเอ่ยในเวลาต่อมาทำลายความหวังของเธอจนหมดสิ้น
“ผู้ชายคนนั้นชื่ออะไรนะ ฉันขอคิดก่อน…ซูลิ่ว ใช่แล้ว ชื่อนี้นี่แหละ เมื่อสิบนาทีก่อนรถคันเก่าๆ ของเขามาจอดรออยู่ที่นี่ ฉันบอกเขาว่าเดี๋ยวจะมีเพื่อนไปส่งเธอ เขาเลยกลับไป คาดว่าอีกไม่นานคงถึงถนนในหมู่บ้านแล้วแหละ”
หลิงเมิ่งพูดเปิดประเด็น เธอยืนอยู่เบื้องหน้าก่อนจะเริ่มใช้ “ความชั่วร้าย” ต่างๆ นานากับซูอิน
“เื่ที่แย่งพ่อแม่ฉันไปถึงสิบหกปีฉันจะปล่อยไป เพราะหลังจากที่ได้กลับมา…”
หลิงเมิ่งสาธยายเื่ราวทีละเื่ั้แ่เกิด
ในเวอร์ชันที่หลิงเมิ่งเล่านั้น ตัวเองไม่ผิดเลยสักนิด มีแต่บอกว่าซูอินคือผู้ที่ทำร้ายเธอซ้ำๆ ในคำพูดของเธอแฝงการยุยงส่งเสริม เดิมทีเด็กวัยรุ่นอายุสิบกว่าปีอย่างพวกเขา แค่เห็นเด็กสาวรูปร่างเพรียวบางผิวขาวผ่องก็เกิดความรู้สึกดีจนไม่กล้าลงมือ แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่หลิงเมิ่งกล่าว ความรู้สึกดีในตอนแรกก็หายไปจนไม่เหลือ ก่อนจะเปลี่ยนเป็ความรังเกียจอย่างแรงกล้า
คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่คิดเลยว่าสาวน้อยหน้าตาสะสวยเช่นนี้จะมีจิตใจโเี้
เมื่อเห็นดังนั้นหลิงเมิ่งก็รู้สึกพอใจมาก เมื่อเล่าถึงความยากลำบาก เธอยิ่งใส่สีตีไข่จนตนเองกลายเป็เพียงผู้อ่อนแอ
ซูอินผู้ถูกประณามรู้สึกว่ากำลังถูกบิดเบือนความจริงทั้งหมด
เจอจับอุ้งมือแมวนุ่มนิ่มของเด็กชายตัวน้อยไว้พร้อมก้มศีรษะพยักหน้าให้เขาเพื่อเป็สัญญาณว่าไม่ต้องกลัว สมองของเธอคิดหาวิธีรับมืออย่างรวดเร็ว
แถบชานเมืองมีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง นานๆ ครั้งจะมีคนผ่านมาบ้าง แต่เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้คงใจนหนีไปแน่ๆ รถรับจ้างที่เป็ตัวช่วยเดียวที่มีอยู่ของเธอก็ถูกหลิงเมิ่งไล่กลับไปแล้ว คิดไปคิดมาตอนนี้ความหวังเดียวที่เหลืออยู่คือพึ่งตัวเอง
หากมีแค่เธอคนเดียวยังพอจะหนีได้ แต่ตอนนี้น้องชายตัวน้อยอยู่กับเธอด้วย เธอคงวิ่งหนีสู้อีกฝ่ายไม่ได้
ตอนนี้เธอเหลือทางเลือกแค่สองทางคือ ขอความช่วยเหลือ หรือเข้าไปหลบในห้วงมิติ
ด้านข้างเป็โรงงานร้าง สามารถใช้เป็ที่ซ่อนเพื่อเข้าไปหลบในห้วงมิติ แต่เมื่อลองคิดดูก็ยังอันตรายอยู่ดี เดิมทีการมีอยู่ของห้วงมิติในร่างกายเธอถือเป็ความลับ ต่อให้มีเหตุฉุกเฉินก็ห้ามเปิดเผยเด็ดขาด ดังนั้นควรคิดหาวิธีขอความช่วยเหลือดีกว่า
ยังดีที่เธอพกโทรศัพท์ติดตัว
มือของเธอล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เพราะกลัวจะไปกระตุ้นให้หลิงเมิ่งโกรธ เธอจึงไม่หยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ใส่มันลงไปในห้วงมิติ
เธอสามารถใช้สติควบคุมข้าวของต่างๆ ในห้วงมิติ ก็น่าจะกดปุ่มควบคุมโทรศัพท์ได้
เธอรวบรวมสติไปที่ปุ่มกด และพบว่ามันสามารถทำได้ เมื่อทำสำเร็จเธอก็รีบเปิดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ เลื่อนลงมาด้านล่างเพื่อค้นหารายชื่อ
เมื่อเจอชื่อแปลกๆ เธอชะงักเล็กน้อยก่อนจะนึกได้ว่ามันเป็เบอร์ของนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ประจำเมืองที่เธอแลกเบอร์ไว้เมื่อตอนกลางวัน ในเวลานั้นอีกฝ่ายยังพูดเล่นว่า่นี้ไม่มีข่าวใหญ่เลย
เมื่อมองกลุ่มอันธพาลมากมายตรงหน้าอีกครั้ง ก็รู้สึกว่านี่คงเป็ข่าวใหญ่ได้สินะ
เมื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งเธอจึงไล่รายชื่อลงไปด้านล่างสุด ก่อนจะเจอเบอร์ของอวี๋ฉิง
“ช่วยด้วย! ฉันยังอยู่ที่เดิม ถูกพวกอันธพาลเป็ร้อยคนล้อมอยู่ รีบแจ้งตำรวจ!”
คุณหนูอวี๋เพิ่งจะไปจากที่นี่ไม่นาน หากวนรถกลับมาน่าจะทัน แต่ว่าคนมากมายขนาดนี้ หากคุณหนูมาเองอาจเป็อันตราย น่าจะดีกว่าถ้าเธอช่วยแจ้งตำรวจ ข้อแรกอวี๋ฉิงรู้ตำแหน่งของเธอ ข้อสองเธอพอจะมีคนรู้จักอยู่ที่สถานี ซึ่งน่าจะทำให้การแจ้งความได้ผลมากขึ้น
เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จ เธอตรวจสอบดูพบว่าในห้วงมิติไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
แต่นั่นไม่ใช่เื่ใหญ่ ในเวลานี้เธอไม่สามารถแก้ไขข้อความสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างไรก็ตามเื่ส่งข้อความยังพอมีวิธี เธอหยิบโทรศัพท์กลับมาใส่กระเป๋ากางเกงอีกครั้ง ผ่านไปไม่กี่วินาที เมื่อสัญญาณโทรศัพท์กลับมา เธอจึงส่งข้อความออกไป
และไม่กี่วินาทีถัดไป ซูอินก็หาโอกาสส่งข้อความถึงนักข่าวคนนั้น
“ข่าวใหญ่ ที่โรงงานร้างทางเหนือของสถานีเฉิงเป่ย อันธพาลนับร้อยคนรวมตัวเพื่อสู้กัน รีบมาด่วน”
เมื่อ่กลางวันที่พูดคุยกัน เธอรู้ว่าบ้านของนักข่าวคนนั้นอยู่ที่เฉิงเป่ย ซึ่งน่าจะไม่ไกลมากจากสถานีขนส่ง ตอนนี้น่าจะได้เวลาเลิกงานพอดี เธอคิดว่าเขาน่าจะตามมาทัน
เมื่อจัดการเื่เหล่านี้เสร็จแล้ว มือของซูอินก็เลื่อนลงไปที่ปุ่มบันทึกเสียงก่อนจะโบกโทรศัพท์ไปทางเด็กชายตัวน้อยในมุมที่คนของอีกฝั่งมองไม่เห็น
เมื่อถูกคนจำนวนมากล้อม อีกทั้งมีปีศาจที่เขาหวาดกลัวอยู่ด้วย ทำให้แววตากลมโตเหมือนผลองุ่นของอันอันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขายังเด็กคงช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงจับมือพี่สาวเอาไว้แน่น
พี่สาวจะต้องปกป้องเขาได้อย่างแน่นอน
เขาโอบกอดความคิดนี้ไว้ ก่อนจะเห็นโทรศัพท์ในมือของพี่สาวที่โบกไปมา
“พี่ครับ”
“ชู่”
ซูอินหันหน้าไปก่อนยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก จากนั้นยิ้มให้เขาเพื่อปลอบโยน
ดวงตาโตราวกับผลองุ่นเปล่งประกาย ที่แท้พี่สาวก็คิดวิธีจัดการได้นี่เอง เมื่อเห็นพี่สาวเผยรอยยิ้มอ่อนโยนก็ทำให้เขาคลายความกลัว
ในระหว่างนั้น หลิงเมิ่งที่อยู่ตรงข้ามยังคงจมกับความรู้สึกของตนเองที่ได้ระบายความรู้สึกเสียใจและความไม่พอใจ
ในเวลาเดียวกัน บริเวณทางแยกไม่ไกลกับสถานีขนส่ง อวี๋ฉิงกำลังเผชิญกับรถที่ติดใน่เวลาเลิกงานตอนเย็น
มองผ่านหน้าต่างรถไปเห็นรถบัสและรถยนต์ส่วนตัวมากมายอยู่ด้านนอก อีกทั้งรถจักรยานที่แทรกอยู่เต็มพื้นที่ทำให้ถนนที่คับคั่งไปด้วยรถรายิ่งดูวุ่นวายมากกว่าเดิม
“รู้แบบนี้ไปส่งพวกซูอินกลับบ้านยังจะดีกว่า!”
ทันใดนั้นเสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้น เมื่ออ่านเนื้อความในนั้นอย่างชัดเจนแล้ว เธอรีบบอกคนขับรถที่อยู่เบาะหน้า
“กลับรถ อินอินตกอยู่ในอันตราย พวกเราต้องกลับไปช่วยเธอ”
คนขับรถชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา “รถติดครับ กลับรถไม่ได้ ทำได้แค่จอดข้างทาง”
“ถ้างั้นก็รีบๆ เข้า”
คนขับรถเปลี่ยนเส้นทางเพื่อนำรถจอดข้างทาง อวี๋ฉิงกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ ในขณะที่เธอกำลังจะกดหมายเลข “110” ก็หันไปเห็นตึกสูงที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก
มันคือหน่วยปราบจลาจลประจำเมืองนี้ เธอจำได้ว่าเพื่อนของคุณพ่อทำงานอยู่ในนั้น เธอเคยเรียนยิงปืนที่นั่น และเธอก็คุ้นเคยกับคุณลุงคนนั้น แน่นอนว่าเธอมีเบอร์โทรศัพท์มือถือของเขาด้วย
“คุณลุง หนูเองนะคะ ฉิงฉิง”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่จะฝึกยิงปืน หนูมีเื่ด่วนค่ะ เพื่อนสนิทของหนูคนหนึ่งกำลังถูกอันธพาลนับร้อยคนล้อม มันอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยงานของคุณลุง เื่นี้พวกคุณลุงเป็คนรับผิดชอบใช่ไหมคะ”
“อยู่ตรงพื้นที่ว่างทางเหนือของสถานีเฉิงเป่ยค่ะ หนูก็กำลังจะรีบไปที่นั่น เธอเป็เพียงเด็กผู้หญิง มีเด็กเล็กอายุสี่ขวบด้วย อันตรายมาก คุณลุงช่วยหน่อยได้ไหมคะ”
เมื่อเห็นรถไม่มีทีท่าจะขยับ อวี๋ฉิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเปิดประตูลงจากรถ โทรศัพท์พร้อมกับวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ
ในเวลาเดียวกัน ที่ทางแยกอีกฝั่งหนึ่งไม่ห่างจากบริเวณนั้นมากนัก
หลี่ิฉีซึ่งเป็นักข่าวมักจะเลิกและเข้างานไม่ตรงเวลา จนต้องทำงานล่วงเวลาเสมอ วันนี้เขาได้ทำข่าวใหญ่คือองค์กรการกุศลในท้องถิ่นช่วยเหลือนักเรียนยากจน แต่เมื่อไปถึงสถานที่จัดงาน ด้วยความมีเมตตาของผู้ก่อตั้ง ทำให้เื่ที่น่าจะกลายเป็ข่าวใหญ่กลายเป็เพียงสกู๊ปสั้นๆ เขาจึงไม่ต้องทำงานล่วงเวลาเป็ครั้งแรก
เขาปั่นจักรยานกลับบ้าน ขณะที่รอสัญญาณไฟจราจร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบออกมาเห็นชื่อคนติดต่อก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะปรากฏภาพเด็กสาวใบหน้าสวยสดใส ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
เมื่ออ่านข้อความแล้ว แววตาของเขาพลันเกิดแสงเจิดจ้า
ไฟแดงเปลี่ยนเป็ไฟเขียว เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะรีบปั่นจักรยานมุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทาง