แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ภายในห้องรู้สึกอบอุ่นสบายๆ
“วิ๊ด!”
หน้าผากของจั๋วอวิ๋นเซียนส่องแสง ปรากฏตราประทับกระเรียนสีแดงพร่ามัวออกมา มีรูปลักษณ์สง่างามและน่าเกรงขาม ในเปลวเพลิงยังแฝงด้วยปราณเซียนอยู่หลายส่วน ความร้อนแผ่กระจายไปทั่วห้องในเสี้ยววินาที
นี่ก็คือตราประทับของเขา ‘กระเรียนสีชาด’ ทุกอย่างล้วนเป็เื่จริง ไม่ใช่ความฝันและไม่ใช่ภาพลวงตา
ความยินดีจากความสำเร็จต้องแบ่งปันให้คนอื่นรับรู้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบเข้าไปมิติมายาสุญญตา จากนั้นเข้าไปยังส่วนลึกในสุสานโบราณและพูดพึมพำกับตัวเองสักพักหนึ่ง ถึงแม้ผู้าุโเฉียนโม่จะไม่เคยปรากฏตัว แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะได้ยิน เพราะผลไม้ิญญาที่เขาทิ้งเอาไว้ทุกครั้งไม่เคยเหลือ
หลังจากออกจากมิติมายาสุญญตา จั๋วอวิ๋นเซียนค่อยๆ ใจเย็นลง
ก้อนหินที่กดทับใจของเขามานานหลายปีสุดท้ายก็ถูกยกออกแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกสบายใจถึงเพียงนี้มาก่อน นี่คือความสุขจากการบำเพ็ญเซียน ราวกับว่าิญญายกระดับ ชีวิตก้าวหน้า...อีกทั้งนี่ยังเป็เพียงแค่จุดเริ่มต้น จั๋วอวิ๋นเซียนเชื่อว่าด้วยความพยายามและประสบการณ์ของเขา ต้องไม่แพ้ให้กับพวกบุตรแห่ง์เ่าั้แน่
……
การเข้าฌานทำสมาธิมีไว้เพื่อควบรวมตราประทับ จุดเพลิงิญญา และเพลิงิญญาก็ใช้เพื่อการชำระล้างตราประทับ ก่อกำเนิดแสงิญญา
ตราประทับคือรากฐานของการบำเพ็ญ ยิ่งมีระดับสูง ิญญาก็ยิ่งแข็งแกร่ง พลังที่สามารถหลอมรวมได้ก็จะยิ่งทรงพลังมาก
ิญญาเก้ารอบกำหนดพร์ เจ็ดจิตหลอมิญญาเปลี่ยนเป็วิชาเทพ นี่ก็คือคำนิยามของการหลอมิญญารวมพลัง
ก่อนหน้านี้จั๋วอวิ๋นเซียนไม่สามารถบำเพ็ญเซียนได้ จึงไม่อาจรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของมัน ทว่าจากประสบการณ์หลายปีมานี้ทำให้เขาคุ้นเคยกับทุกระดับขั้นของการบำเพ็ญเซียนเป็อย่างดี บัดนี้การบำเพ็ญจึงเป็เพียงเื่ง่ายดายสำหรับเขา
……
“ฟู่วๆ!”
เพลิงิญญากำลังโหมกระหน่ำ ภายใต้จิตสำนึกของจั๋วอวิ๋นเซียนราวกับเป็มหาสมุทรเปลวเพลิงไร้สิ้นสุด ตราประทับกระเรียนสีชาดโบยบินอยู่ในมหาสมุทรเพลิงอย่างมีอิสระ
ใช้พลังโลหิตเป็ตัวชี้นำ เชื่อมต่อกับิญญา ชำระตราประทับ
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีแสงิญญาส่องแสงออกมาจากเท้าของกระเรียนสีชาดและวนเวียนอยู่ข้างกายของมัน
เมื่อเห็นภาพนี้จั๋วอวิ๋นเซียนตกตะลึง กำเนิดแสงิญญาหนึ่งรอบ...หรือว่าหลอมิญญาไปหนึ่งรอบแล้วหรือ? มันง่ายดายปานนี้เลยหรือ? ถ้าใช้คำพูดแบบเ้าซาลาเปาก็คือ เขาบำเพ็ญเซียนปลอมหรือเปล่า!
จากที่จั๋วอวิ๋นเซียนรู้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพร์ปกติ หลังจากจุดเพลิงิญญาแล้ว การหลอมิญญาครั้งแรกจะยากลำบากมาก อาจใช้เวลาสามถึงห้าเดือน หรือครึ่งปีถึงหนึ่งปีเลยทีเดียว อย่างเช่นเ้าซาลาเปา บำเพ็ญเซียนมาหกปี เพิ่งหลอมิญญาได้สามรอบ หากคิดจะปลุกพร์ กลายเป็ผู้บำเพ็ญเซียนที่แท้จริง ยังต้องใช้เวลาอีกนาน
ขณะที่จั๋วอวิ๋นเซียนกำลังมึนงง เพลิงิญญายังคงลุกไหม้ รอบกายกระเรียนสีชาดปรากฏแสงิญญาเส้นที่สองแล้ว!
“นี่...มันเกิดอะไรขึ้น?”
จั๋วอวิ๋นเซียนรู้สึกกังวลแล้ว เขาคิดว่าการบำเพ็ญของตัวเองผิดพลาด จึงรีบหยุดลงและตรวจสอบร่างกายตัวเอง! เพียงแต่แสงิญญาตราประทับยังอยู่ตรงนั้น ดูไม่ใช่ของปลอมแม้แต่น้อย เขาตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมาก็ยังไม่พบปัญหาอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นจั๋วอวิ๋นเซียนสามารถััได้ว่าิญญากำลังเติบโตได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงขอบเขตการรับรู้กว้างขึ้นเรื่อยๆ พลังการควบคุมก็ยิ่งละเอียดอ่อนมากขึ้นด้วย
หรือว่า...ควรลองดูอีกสักหน่อย?
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่พบความผิดปกติใดๆ ในร่างกายจึงเริ่มทดลองต่อไป
และเป็ดังคาด ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งร้อยลมหายใจ แสงิญญาเส้นที่สามปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
ทว่าเมื่อจั๋วอวิ๋นเซียนกำลังจะบำเพ็ญต่อ ความรู้สึกอ่อนแรงก็พวยพุ่งเข้ามา! ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับสัตว์ร้ายโหยหิวมานานหลายสิบวัน มิอาจฝืนใช้ร่างกายตัวเองอีกต่อไป
เื่นี้น่าอึดอัดเกินไป...
จั๋วอวิ๋นเซียนใบหน้าซีดขาว สายตาพร่ามัว เขารีบหยิบโอสถเสริมโลหิตเม็ดหนึ่งออกมาจากอกแล้วทานทันทีถึงสามารถประคองสติเอาไว้ได้
……
จั๋วอวิ๋นเซียนตรวจสอบร่างกายของตัวเองอีกครั้ง พบว่าปราณโลหิตเสียหายอย่างร้ายแรง
ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งเคยหลอมิญญาเป็ครั้งแรก ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เขาเข้าใจแล้วว่าเมื่อครู่ตัวเองประมาทเกินไป เส้นทางการบำเพ็ญพึงก้าวทีละก้าวอย่างมั่นคง การใช้ทางลัดมีแต่จะทำร้ายรากฐานตัวเอง
แต่หลังจากที่รับรู้สถานการณ์ร่างกายของตัวเองแล้ว จั๋วอวิ๋นเซียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที เมื่อสักครู่นี้เขาเกือบฆ่าตัวเองตายแล้ว
ความจริงแล้วการบำเพ็ญของเขาไม่ได้เกิดปัญหาแต่อย่างใด แต่เพราะตราประทับระดับสูงสุดทรงพลังมากเกินไป ความเร็วในการบำเพ็ญิญญาเร็วเกินไป จึงทำให้ปราณโลหิตทั่วร่างไม่เพียงพอ
หรือก็คือขอเพียงมีร่างกายที่แข็งแรงและปราณโลหิตที่เพียงพอ การบำเพ็ญของจั๋วอวิ๋นเซียนจะยกระดับได้อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าร่างกายของจั๋วอวิ๋นเซียนค่อนข้างอ่อนแอ สมุนไพรโอสถธรรมดามิอาจเติมเต็มปราณโลหิตที่เสียหายไปได้ มีเพียงต้องใช้สมบัติิญญากับโอสถมหัศจรรย์เท่านั้น แต่สิ่งของเหล่านี้ล้วนล้ำค่าเป็อย่างมาก ต่อให้เป็ตระกูลวิถีเซียนก็ไม่มีทางเอามาใช้ได้ตามใจชอบ...โดยเฉพาะเพื่อบำเพ็ญิญญา ยิ่งบำเพ็ญไปถึงขั้นสูงปราณโลหิตที่ต้องใช้ก็ยิ่งมาก
“ดูท่าข้าต้องหาวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย มิเช่นนั้นวันหนึ่งข้าอาจทำตัวเองต้องตาย!”
จั๋วอวิ๋นเซียนยิ้มแห้ง เขาไม่กล้าเสี่ยงลองอีก
ทันทีที่เขาเพิ่งลุกขึ้นก็ต้องตกตะลึง เพราะเขารู้สึกว่าในร่างกายตัวเองเหมือนมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว...เพียงเสี้ยวอึดใจ เปลวเพลิงสีแดงชาดก็ปรากฏที่ปลายนิ้วของเขา ซึ่งมันเหมือนเปลวเพลิงของกระเรียนสีชาด
เพลิงิญญายังหลอมอยู่ภายใน ไม่น่ามีทางปลดปล่อยออกมาได้ เช่นนั้นมีความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ตราประทับ ‘กระเรียนสีชาด’ เกิดการเปลี่ยนแปลงระหว่างกระบวนการควบรวม ทำให้เขามีความสามารถในการควบคุมเปลวเพลิง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จากที่จั๋วอวิ๋นเซียนใก็กลายเป็ตื่นเต้นแทน
ในห้าศาสตร์วิถีเซียน มีสองศาสตร์ที่ต้องอาศัยการควบคุมเพลิงถึงเริ่มนับว่าก้าวสู่ศาสตร์นั้นอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือ ‘นักปรุงยา’ กับ ‘นักสร้างอาวุธ’
ตอนนี้จั๋วอวิ๋นเซียนมีความสามารถควบคุมเพลิงแล้ว เรียกได้ว่าเขาได้เปรียบกว่าผู้อื่น ทำให้เขามั่นใจกับอนาคตของตัวเองมาก
เื่ที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือใน่หมื่นปีของแผ่นดินเซียนฉยงมานี้ คนที่ควบรวมตราประทับระดับสุดยอดได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จึงไม่มีตัวอย่างให้ศึกษา บางทีอาจจะต้องหาเบาะแสในสำนักเซียนเทียนซู
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จั๋วอวิ๋นเซียนก็หยิบป้ายพิเศษของสำนักเซียนเทียนซูออกมาดู เขารู้สึกรีบร้อนและคาดหวังกับการเข้าสำนักเซียนมากขึ้น
……
“บุตรเขยท่านอยู่หรือไม่?”
มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาจากนอกห้อง ปลุกจั๋วอวิ๋นเซียนให้หลุดจากความคิด
จั๋วอวิ๋นเซียนแผ่ััออกไปก็รู้ว่ามีกลิ่นอายคนแปลกหน้าสองคนกำลังรออยู่ด้านนอก ด้วยเหตุนี้เขาจึงจัดเสื้อแล้วไปเปิดประตู ทว่าเขากลับเห็นซีโหลวรั่วเมิ่งกับสาวใช้ข้างกายของนางรออยู่หน้าประตู
“พวกเ้าเองหรือ? คุณหนูรั่วเมิ่งมาหาข้ามีเื่อันใด?”
“เ้า...”
เมื่อซีโหลวรั่วเมิ่งััได้ถึงท่าทีห่างเหินของจั๋วอวิ๋นเซียน จึงรู้สึกโกรธและกล่าวออกมาด้วยความเ็าว่า “ไม่มีอะไร หรือว่าข้าจะมาดูเ้าไม่ได้เลยหรือ?”
จั๋วอวิ๋นเซียนลังเลเล็กน้อย กล่าวต่อด้วยความเกรงใจ “คุณหนูรั่วเมิ่งเชิญ”
“เหอะ!”
ซีโหลวรั่วเมิ่งก็พาสาวใช้เดินเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ
นี่เป็ครั้งแรกที่นางเข้ามาในห้องของจั๋วอวิ๋นเซียน มันแตกต่างจากจินตนาการของนางมาก
ถึงแม้จั๋วอวิ๋นเซียนจะดูอ่อนแอ แต่ห้องกลับสะอาดเรียบร้อย อากาศในห้องสดชื่น ไม่ได้อุดอู้สกปรกอย่างที่คิด
อีกทั้งซีโหลวรั่วเมิ่งยังสังเกตเห็นความสงบและความมั่นใจที่ไม่เคยมีมาก่อนในสายตาของจั๋วอวิ๋นเซียน...หรือเป็เพราะได้รับผลฉุนหยางจึงเริ่มมองเห็นความหวังเสี้ยวหนึ่ง แต่เขากล้ามั่นใจเช่นนี้เชียวหรือ?
หลังจากคาดเดาเหตุการณ์ต่างๆ ซีโหลวรั่วเมิ่งก็เอ่ยปากกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “จั๋วอวิ๋นเซียน ได้ยินมาว่าเ้าชอบอยู่ในมิติมายาสุญญตาหรือ?”
“ใช่กระมัง”
“เก็บเกี่ยวได้บ้างหรือไม่?”
“พอได้”
“ฝึกในโบราณสถานไปถึงไหนแล้วหรือ?”
“่นี้มิติมายาสุญญตาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จึงไม่มีเวลาไปโบราณสถานเลย”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้โกหก ่นี้เขายุ่งกับการบำเพ็ญจึงไม่มีเวลาว่างไปท้าทายโบราณสถาน
แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซีโหลวรั่วเมิ่งกลับคิดว่าจั๋วอวิ๋นเซียนอยู่ในมิติมายาสุญญตาไม่รอดจึงไม่กล้าตอบ
ถึงแม้จะรู้สึกดูแคลน แต่ใบหน้าของนางก็ไม่ได้เผยอารมณ์ให้เห็นแม้แต่น้อย กลับพูดให้กำลังใจจั๋วอวิ๋นเซียนสองสามคำ
……
หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง ซีโหลวรั่วเมิ่งก็รีบจากไป
ทั้งสองฝ่ายไม่อยากพูดคุยกัน อยู่ต่อคงไม่มีความหมายอะไร
เมื่อมองแผ่นหลังของสองนายบ่าว จั๋วอวิ๋นเซียนขมวดคิ้วครุ่นคิด อีกฝ่ายคิดจะลองเชิงเขาหรือ?
