เมื่อกู้เจิงลืมตาขึ้นเห็นเสิ่นเยี่ยนมองมาที่นางคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มนี่มันน่ากระอักกระอ่วนไม่น้อยเลยทีเดียวนางยิ้มเจื่อนแล้วเขยิบกลับไปยังตำแหน่งของตน รับโถน้ำร้อนที่อยู่ในมือเขามาพูดเสียงเบาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ขอบคุณเ้าค่ะ”
อุณหภูมิของโถน้ำร้อนกำลังดี ไม่ร้อนจนลวกมือสุดท้ายกู้เจิงก็หลับได้สนิท
เช้าวันรุ่งขึ้น
ตอนที่กู้เจิงตื่นขึ้น ชุนหงก็หยิบโถน้ำร้อนใหม่เข้ามา “คุณหนู เมื่อเช้าบ่าวบอกป้าเสิ่นว่าท่านปวดท้องรอบเดือนท่านป้าเลยบอกให้ท่านพักผ่อนเ้าค่ะ”
“ทำไมเ้าถึงต้องบอกท่านแม่เื่นี้ด้วย?” กู้เจิงหน้าบางอยู่บ้าง
“แต่สีหน้าคุณหนูดูซีดจนไม่มีเืฝาดเลยนะเ้าคะ” ชุนหงพูดอย่างปวดใจเมื่อก่อนที่อยู่จวนกู้ถ้าปวดท้องคุณหนูก็ต้องนอนพักบนเตียง
อาการปวดท้องของนางนั้นทรมานจริงๆ กู้เจิงจึงนอนพักผ่อนจนถึงบ่ายอาการถึงได้พอทุเลาขึ้น เมื่อนางลุกลงจากเตียงออกไปนอกห้องบังเอิญเห็นพ่อแม่สามีกำลังล้างโอ่งใบใหญ่ ส่วนชุนหงทำหน้าที่ตักน้ำ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ให้ข้าช่วยเถอะเ้าค่ะ” กู้เจิงเห็นทั้งสามคนกำลังยุ่งแต่ตัวเองกลับนอนพักผ่อนเลยรู้สึกผิดอยู่บ้าง นางเป็สะใภ้ของตระกูลเสิ่นหลังจากแต่งงานแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเป็ชิ้นเป็อันสักอย่าง
“เป็รอบเดือนอย่าได้โดนน้ำ ยิ่งวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ด้วยแล้ว” ฮูหยินเสิ่นไม่ยอมให้ลูกสะใภ้ช่วย “เ้าไปนั่งก็พอ ชุนหง ไปต้มน้ำตาลทรายแดงให้อาเจิงสักแก้ว”
“เ้าค่ะ” ชุนหงวางถังน้ำลงแล้ววิ่งเข้าไปในห้องครัว
เห็นลูกสะใภ้ยังยืนลังเลอยู่ นายหญิงเสิ่นจึงยิ้มบางๆ “ตอนนี้เ้ายังไม่ได้มีลูก ดังนั้นต้องดูแลร่างกายให้ดีไม่อย่างนั้นต่อไปคงจะลำบาก”
มีลูก? กู้เจิงหน้าแดงเื่นี้ยังไกลตัวไปสักหน่อย
ในเมื่อแม่สามีพูดขนาดนี้แล้วกู้เจิงจึงได้แต่รับน้ำตาลทรายแดงต้มมาจากชุนหงนางนั่งลงใต้แสงอาทิตย์ดื่มน้ำพลางมองดูพวกเขาทำงาน
ตอนนี้นายท่านเสิ่นดันโอ่งใบใหญ่ออกมาจากห้องเก็บฟืน “ปีนี้ทำสองโอ่งใหญ่จะเยอะเกินไปไหม?”
“คราวก่อนพวกเรารับคำแล้ว รอวันที่อากุ้ยแต่งงานขนมเข่งในงานพวกเขามาจากบ้านเราแค่นั้นหรือ? จำต้องใช้ถึงสองโอ่งเชียว” ฮูหยินเสิ่นเอ่ยว่า “รีบไปเอาข้าวมาแช่เถอะ”
กู้เจิงมองดูพ่อแม่สามีของนางที่กำลังยุ่งวุ่นวายที่บ้านไม่ว่าจะทำอะไรก็ให้แม่สามีเป็คนตัดสินใจพ่อสามีล้วนเชื่อฟังคำสั่งของท่านแม่มาโดยตลอด ดูออกว่าเขารักภรรยามาก
“ท่านป้าเสิ่น ท่านลุงเสิ่น พี่สะใภ้” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นที่หน้าประตูเห็นปาเม่ยเดินเข้ามาอย่างดีใจพร้อมกับถุงใหญ่สองใบ
“ปาเม่ยเป็เ้าเองหรือ” ฮูหยินเสิ่นกับปาเม่ยรู้จักกันมานานนางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วเดินเข้าไปหา “ในมือถืออะไรอยู่หรือ? ทำไมเยอะแยะขนาดนี้”
“ท่านพ่อท่านแม่ข้านำพุทราและอ้อยมาให้จากที่บ้านแล้วยังทำน้ำตาลทรายแดงกับผงรากบัวให้ด้วย ข้าเลยเอามาให้ท่านป้าเสิ่นลองชิมดูเ้าค่ะ” ปาเม่ยยิ้มอย่างเขินอาย แก้มข้างหนึ่งมีลักยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา
“เกรงใจเ้าเหลือเกิน น้ำตาลทรายแดงที่เ้าให้เราเมื่อครั้งก่อนยังไม่หมดเลยพ่อแม่เ้ายังอยู่ไหม? บอกพวกเขาให้มาทานข้าวเที่ยงที่นี่สิ” ปาเม่ยกับจางหลี่หนานย้ายมาอยู่เยว่เฉิงเมื่อสามปีก่อน ฮูหยินเสิ่นชอบสาวน้อยคนนี้ั้แ่แรกเห็น
“พวกเขากลับไปั้แ่เช้าตรู่แล้วเ้าค่ะ” เมื่อนางเห็นกู้เจิง ปาเม่ยก็ทักด้วยความดีใจว่า “พี่สะใภ้ในตอนกลางวันงามยิ่งเ้าค่ะ”
ปาเม่ยคนนี้พูดเสมอว่านางหน้าตางดงามพูดไปกู้เจิงก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา
นายหญิงเสิ่นรู้ว่าทั้งสองคนเคยเจอกันที่จวนตวนอ๋องแล้ว จึงเอ่ยว่า “อาเจิง เ้าไปคุยเล่นกับปาเม่ยแล้วกัน” ส่วนนางเองก็รับของจากปาเม่ยแล้วเอาไปเก็บเข้าห้อง
“เ้าค่ะท่านแม่” กู้เจิงรับคำ
กู้เจิงยังไม่หายปวดท้องจึงไม่อยากขยับตัวมากนางเลยหยิบเก้าอี้ให้ปาเม่ยนั่งกับนาง เห็นปาเม่ยยิ้มกริ่มมองนางอยู่ตลอดก็ขัดเขินขึ้นเล็กน้อยนางรู้สึกว่าเด็กคนนี้ชอบนางมาก และแสดงออกว่าชอบนางอย่างตรงไปตรงมา
“พี่สะใภ้ ตอนนี้ข้าได้ทำงานอยู่ในจวนตวนอ๋องเ้าค่ะ” ปาเม่ยพูดอย่างดีใจ “พี่หลี่หนานฝากพี่ใหญ่เสิ่นช่วยหางานให้ข้าเ้าค่ะ”
“ช่างดีนัก” ที่จวนตวนอ๋องมีเสิ่นเยี่ยนอยู่คงไม่ต้องกลัวปาเม่ยถูกรังแก
“ตวนอ๋องบอกแล้วว่า รอจนพระชายาแต่งเข้าจวนก็จะให้ข้าไปทำงานที่เรือนของพระชายาเ้าค่ะ” ปาเม่ยถามด้วยความกังวล “พี่สะใภ้พี่หลี่หนานเคยบอกข้าว่าพระชายาของตวนอ๋องเป็น้องสาวของท่าน นางเป็คนน่าคบหาหรือไม่เ้าคะ”
กู้เจิงมองปาเม่ยที่ยังไร้เดียงสาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกความกังวลปรากฏอยู่บนใบหน้า ว่าที่พระชายา
ตวนอ๋องผู้นั้นเป็น้องสามของนางการพูดให้ดีถือเป็สิ่งที่สมควร แต่หากพูดไม่ดีก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกนางสองพี่น้องไม่ลงรอยกันจะทำให้คนหัวเราะเยาะเสียเปล่า แต่ปาเม่ยอายุยังน้อย น่าจะคิดไม่ถึงขั้นนี้
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง กู้เจิงก็พูดขึ้นว่า “ขอเพียงเ้าทำงานของเ้าให้ดี น้องสามจะไม่มีทางตำหนิอะไรเ้าได้” ความจริงแล้วนิสัยของกู้อิ๋งก็ไม่ต่างจากนายหญิงเว่ยซื่อไม่จงใจหาเื่คนไปทั่ว แต่ถ้าคนรับใช้แอบเกียจคร้านอู้งานนางก็ร้ายใส่ได้เช่นกัน
ชุนหงส่งน้ำชาให้ปาเม่ยแล้วจึงรินน้ำชาให้กู้เจิงก่อนจะไปช่วยสองสามีภรรยาเสิ่นทำงาน
“พี่สะใภ้ พรุ่งนี้ข้าจะไปพบพ่อบ้านว่านที่จวนท่านอ๋องพี่หลี่หนานต้องทำงานคงไม่ว่างไปเป็เพื่อนข้า ข้าไปคนเดียวก็กลัวอยู่บ้างท่านไปเป็เพื่อนข้าได้ไหมเ้าคะ?”
กู้เจิงใจเต้นระรัวเื่ที่ถูกท่านอ๋องจ้าวหยวนเช่อกอดนางในวันนั้นผุดขึ้นมาในหัว ในใจนางยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้างจวนตวนอ๋องนี้หากไม่ไปได้นางย่อมไม่ไป “่นี้ข้ามีรอบเดือน จะไปไหนก็คงไม่ค่อยสะดวกนักคงไปจวนอ๋องกับเ้าไม่ได้ ข้าเคยพบพ่อบ้านจวนอ๋องมาก่อน เขาเป็คนพูดคุยด้วยง่ายอีกอย่าง มีพี่ใหญ่เสิ่นของเ้าอยู่ด้วย ไม่ต้องกังวลไปหรอก” นางกล่าวจบก็แสร้งทำเป็ดื่มชาเพื่อปกปิดความไม่สบายใจแอบก่นด่าท่านอ๋องอยู่ในใจ
“แต่ปกติพี่ใหญ่เสิ่นจะอยู่แต่ในค่ายทหารไม่ได้อยู่ในจวนอ๋องนะเ้าคะ”
กู้เจิงอึ้งไป “ค่ายทหาร? เขาไปทำอะไรที่ค่ายทหารหรือ?” เมื่อวานนี้เหมือนได้ยินเขาบอกว่าจะไปค่ายทหารอะไรสักอย่าง
“พี่ใหญ่เสิ่นเป็ถึงเสนาธิการลี่มู่ ในค่ายทหารหนานเหมินเขาก็ต้องอยู่ในค่ายทหารน่ะสิเ้าคะ”
เสิ่นเยี่ยนไม่ใช่บัณฑิตหรอกหรือ? จะกลายเป็ทหารไปได้อย่างไร? กู้เจิงงุนงง นางไม่เคยได้ยินชื่อตำแหน่งนี้มาก่อนฐานะไม่น่าจะสูงนัก แต่ไม่ว่าอย่างไร เื่นี้เสิ่นเยี่ยนก็ควรจะบอกนางบ้างกระมัง
“พี่สะใภ้ท่านไม่รู้หรือเ้าคะ?” ปาเม่ยมองท่าทางของพี่สะใภ้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เขาไม่เคยบอกข้ามาก่อนเลย” กู้เจิงรู้สึกอึดอัดใจมาก เื่ของนางเขารู้ดี แต่เื่ของเขานางกลับไม่รู้อะไรเลย ตลอดมานางคิดว่าเขาเป็บัณฑิตธรรมดา
ปาเม่ยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงว่าพี่ใหญ่เสิ่นกับพี่สะใภ้เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่กี่วันพี่ใหญ่เสิ่นคงยังไม่ทันได้บอกอะไรในหลายๆ เื่ นางนั่งคุยครู่หนึ่งก็กลับบ้านไปก่อนที่จะไป ฮูหยินเสิ่นก็เอาเนื้อคลุกซอสเมื่อวานให้นางไปด้วย
หลังจากแช่ข้าวในโอ่งใบใหญ่แล้วอีกไม่กี่วันก็สามารถนำมาทำขนมเข่งได้
กู้เจิงเข้ามาหาแม่สามี นางเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่ ท่านพี่เขามีตำแหน่งในค่ายทหารหรือเ้าคะ?”
“มีสิ เขาเป็เสนาธิการของค่ายทหารหนานเหมิน แต่ไม่ได้มีชั้นยศอะไร” นายหญิงเสิ่นดื่มชาที่ชุนหงชงมาให้พร้อมกับมองใบหน้าหดหู่ของลูกสะใภ้แล้วถามว่า “เ้าไม่รู้หรือ?”
กู้เจิงพยักหน้า นางคิดจะแสร้งทำเป็ไม่รู้สึกอะไรแต่นางก็อดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ “ท่านพี่ไม่เคยบอกกับข้าเลยเ้าค่ะ”
“เ้าเด็กคนนี้ ทำเกินไปแล้ว” แม่สามีพูดอย่างโกรธเคือง
นายท่านเสิ่นเอ่ยอย่างปลอบโยนว่า “คงเพราะอาเยี่ยนงานยุ่งจนลืมไปน่ะสิรองนายพลทหารคนก่อนในค่ายหนานเหมินเป็สหายของข้า เมื่อก่อนเคยมาที่บ้านเราบ่อยๆเคยเห็นอาเยี่ยนขีดเขียนตัวหนังสืออยู่บ้าง เลยเรียกเขาไปทำงานที่นั่นนี่ก็ทำมาสี่ปีแล้ว”
เขาควรบอกกล่าวเื่นี้แก่นางบ้างนี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใส่ใจนางเลย แม้กู้เจิงจะฉีกยิ้มให้พ่อสามีแต่ในใจกลับรู้สึกไม่พอใจมาก
สายลมหนาวที่กรีดผ่านในยามค่ำคืน ก่อให้เกิดเสียงหวีดหวิวจนน่ากลัว
หลังกลับถึงบ้านทุกครั้ง เสิ่นเยี่ยนมักจะเดินมาหน้าห้องบิดามารดาเพื่อบอกว่าตนเองกลับมาแล้วและก็จะไปล้างหน้าล้างตาด้วยความเคยชิน แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้มารดาจะเรียกเขาไว้จากในห้อง “อาเยี่ยน เข้ามาแม่มีเื่จะคุยกับเ้า”
เมื่อเสิ่นเยี่ยนเข้าไปพ่อกับแม่ก็กำลังจัดตู้เก็บของและหยิบเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวออกมาหลายชุด
“อาเยี่ยนหิวไหม? พ่อเก็บเป็ดครึ่งตัวไว้ให้เ้าในห้องครัว” บิดาถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“ไม่หิวขอรับ” เสิ่นเยี่ยนถามต่อ “ท่านแม่มีอะไรจะพูดกับลูกหรือขอรับ?”
นายหญิงเสิ่นมองลูกชายที่แสนภาคภูมิใจคนนี้แล้วพูดเสียงเรียบว่า “ทำไมเ้าไม่บอกอาเจิงเื่ที่เ้าเป็เสนาธิการในค่ายทหารหนานเหมินเล่า?”
เสิ่นเยี่ยนอึ้งไป “นางไม่ได้ถามขอรับ”
“นางไม่ได้ถาม เ้าก็จะไม่พูดหรือ? ก่อนที่จะแต่งงาน เ้าควรบอกทุกสิ่งอย่างให้ชัดเจนกับภรรยาของเ้านับประสาอะไรกับตอนนี้ที่พวกเ้าแต่งงานกันแล้ว” ฮูหยินเสิ่นไม่อยากให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ขัดแย้งกันเพราะเื่เล็กๆน้อยๆ
“ขอรับ ลูกผิดไปแล้ว ลูกจะเล่าเื่ทั้งหมดให้อาเจิงฟังเองขอรับ” ตราบใดที่ท่านแม่บอกว่าเป็สิ่งที่ถูกที่ควร เสิ่นเยี่ยนล้วนต้องปฏิบัติตามนั้น
กระทั่งบุตรชายจากไป พ่อเฒ่าเสิ่นจึงยิ้มให้ภรรยาของเขา “ลูกชายของเราเขาเป็คนดีขนาดนี้แล้วเ้าก็อย่าทำเหมือนเขาเป็เด็กอยู่เลย ต้องไว้หน้าเขาบ้าง”
“เขาเพิ่งแต่งงาน ยังไม่เข้าใจเื่ระหว่างสามีและภรรยาท่านน่ะชอบให้ท้ายเขานัก” นายหญิงเสิ่นกลอกตาให้สามี