เดิมทีลู่เหวินเจิ้นนึกว่าตนฟังผิดไป แต่เมื่อขยับเข้าใกล้ไปอีกหน่อย เสียงที่ลอดออกมาจากภายในก็ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เขา
ยามนี้ภรรยาของเขากับชายชู้กำลังสุขสมร่วมกันอยู่ในเรือนของเขา เพียงคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของลู่เหวินเจิ้นพลันแดงก่ำ ตัวเขาเป็ถึงนายอำเภอแห่งหานโจว แต่กลับถูกคนสวมหมวกเขียวใบใหญ่เข้าให้
ลู่เหวินเจิ้นเกรี้ยวกราดจนแทบอยากจะพุ่งกายเข้าไปสังหารหญิงชั่วชายโฉดคู่นั้นเสียเดี๋ยวนี้ ทว่าคำพูดต่อมาของภรรยากลับทำให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลง
“เหยียนจวิน...”
เหยียนจวิน? หรือว่าจะเป็คนผู้นั้น?
ลู่เหวินเจิ้นอิงตัวแนบหลังกำแพงอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ทว่าโชคยังดีที่ตรงนั้นมีหน้าต่างบานหนึ่งที่สามารถมองเห็นเหตุการณ์บนเตียงได้อย่างชัดเจนพอดิบพอดี และแม้ว่าหน้าต่างบานนั้นจะบดบังสถานการณ์ภายในอยู่ครึ่งๆ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน แท้จริงแล้วเป็ไปดังที่คาดไว้ บุรุษผู้นั้นก็คือแม่ทัพใหญ่แห่งด่านฉีผิง สือเหยียนจวิน
คนผู้นี้มีวรยุทธ์แก่กล้า ทั้งยังได้รับความไว้วางพระทัยจากองค์รัชทายาทเป็อย่างมาก ดังนั้นหากตนเข้าประมือกับอีกฝ่ายก็หาได้มีประโยชน์อะไร และไม่แน่อาจจะได้รับาเ็สาหัสด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทว่าลู่เหวินเจิ้นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจอยู่ดี หญิงชั่วผู้นี้ไปเข้าขากับสือเหยียนจวินั้แ่เมื่อไร? อีกทั้งหมวกเขียวบนศีรษะเขาเล่าอยู่มานานเพียงใดแล้ว? อีกประการ หญิงผู้นี้ แม้แต่เหยียนจวินก็ยังกินไปได้ลง?
ร่างกายเขาแข็งค้างขณะมองดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นด้านใน ท่าทางแบบนี้ของหญิงแซ่สือถือเป็สิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่แต่งงานกันมา
ถึงกระนั้นเขาก็ทำได้เพียงลอบด่านางอยู่ในใจ ‘นังผู้หญิงชั้นต่ำ’
ในตอนนั้นเองฮูหยินลู่ยังคงยิ้มแย้มแล้วพูดต่อ “สิบกว่าปีก่อน มิใช่ว่าบุตรสาวของเราก็มาจากความพยายามของตัวข้าด้วยหรอกหรือ”
“นั่นสิ ฉิงเอ๋อร์ของเราโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว หน้าตานางคล้ายเ้าตอนสาวๆ ยิ่งนัก ทว่าหลายปีมานี้ข้าทำให้พวกเ้าสองแม่ลูกต้องได้รับความไม่เป็ธรรมแล้ว”
ลู่เหวินเจิ้นกลับมายังห้องของตัวเองด้วยสภาพิญญาหลุดลอย เขาอดทนต่อความวู่วามในใจ ไม่พุ่งกายเข้าปะทะชายหญิงสุนัขคู่นั้น ถึงกระนั้นวันนี้ก็เป็วันที่ช่างน่าใเหลือเกิน บุตรสาวที่เขาถนอมฟูมฟักมาโดยตลอด แท้จริงแล้วจะกลายเป็บุตรีของผู้อื่น?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ซัดหมัดใส่โต๊ะอย่างรุนแรง มิคาดว่าเื่ราวจะเป็เช่นนี้ ทั้งที่เดิมทียังอดรู้สึกผิดที่ตนเองมีความคิดเช่นนั้นกับบุตรสาวตนไม่ได้ แต่สำหรับตอนนี้...
“หญิงแซ่สือ ในเมื่อเ้าไร้คุณธรรม ข้าเองก็จะทำเฉกเดียวกัน”
ในเวลาเดียวกันนั้น บนหลังคาห้องของหญิงแซ่สือ อวิ๋นซียังคงยืนมองฉากด้านในอยู่พลางหัวเราะอย่างเ็า คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ตนจะได้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ แม้สิ่งที่ได้ยินมาจะทำให้นางแปลกใจอยู่นิดหน่อย ทว่าสำหรับลู่อวี้ฉิงที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ครานี้เห็นทีอีกฝ่ายคงยากจะหลุดรอดไปจากเงื้อมมือของลู่เหวินเจิ้นแล้ว
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ เอวของนางก็ถูกมือใหญ่แข็งแรงโอบกอดไว้ ก่อนที่คนผู้นั้นจะพานางออกไปจากที่แห่งนั้นโดยทันที แต่ในตอนที่อวิ๋นซีคิดจะโจมตีกลับ นางกลับพบว่าน่าประหลาดใจยิ่งที่คนผู้นั้นเป็บุรุษชุดดำที่นางเคยเจอที่วัดร้างวันนั้น หรือก็คือหานอ๋องที่ปลอมตัวมานั่นเอง
“เ้า”
คนทั้งสองค่อยๆ ร่อนกายลงบนป่าไผ่ในเรือนชั้นในของจวนตระกูลลู่ แต่เมื่อนางกำลังคิดจะพูดอะไรออกไป ปากนางก็ถูกคนผู้นั้นประกบปิดเป็ที่เรียบร้อย ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็เหมือนจะเดาได้ว่านางคงคิดจะโจมตีกลับอย่างแน่นอน จึงยิ่งโอบกอดนางไว้ด้วยแรงมหาศาล ด้วยเหตุนี้นางจึงทำได้แค่ปล่อยให้เขาบังคับจูบต่อไป เนื่องจากทั้งมือและเท้าก็ล้วนถูกรวบไว้หมด
กระทั่งชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจแล้ว ถึงได้ยอมปล่อยนาง แล้วจึงพูดขึ้นอย่างเผด็จการ “อวิ๋นซี เ้าอยากรู้เื่ระหว่างชายหญิงมากเพียงนั้นเลยหรือ? หากว่าอยากรู้มาก ให้เปิ่นจั้ว [1] ช่วยสนองให้เ้าเสียสักครั้งก็ย่อมได้”
ครั้งนี้เขาแทนตนเองว่าเปิ่นจั้ว ไม่ใช่เปิ่นหวาง [2] ซึ่งชัดเจนเลยว่าเขาไม่คิดปกปิดนางด้วยเื่ที่ตนเองยังมีสถานะอื่นอยู่อีก
“คนบ้า” อวิ๋นซีผลักจวินเหยียนออก ก่อนจะสบถด่าอย่างเกรี้ยวกราด “ท่านมันสารเลว”
“หากข้าสารเลวก็ยังนับว่าดีกว่าเ้าทั้งที่เป็สตรีแต่ก็วิ่งโร่มาดูภาพตำหนักวสันต์ [3] เคลื่อนไหวเช่นนี้” วันนี้เขามีเื่ให้ต้องสอดแนมจึงได้ลอบเข้ามาในจวนตระกูลลู่ มิคาดจะได้เห็นฉากเช่นนี้เข้า สตรีผู้นี้ที่แท้แล้วเป็วรยุทธ์ซึ่งน่าจะไม่ธรรมดาเสียด้วย แต่ที่แย่ที่สุดก็คงเป็กลางดึกกลางดื่นเช่นนี้ นางกลับวิ่งมาแอบอยู่บนหลังคาของหนึ่งในสตรีของลู่เหวินเจิ้น ทั้งยังลอบดูคนอื่นลักลอบมีความสัมพันธ์กัน?
“ข้า” อวิ๋นซีนึกขึ้นได้ว่า ในคืนนี้ตนได้ลอบดูภาพตำหนักวสันต์เคลื่อนไหวไปจริงๆ ดังที่บุรุษผู้นี้กล่าวหา จึงทำได้เพียงกัดริมฝีปาก และหันกายไป แค่นเสียงเ็าใส่ “แล้วเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย”
“เ้าเป็สตรีของข้า เ้าว่าข้าไม่ควรยุ่งกับเื่ของเ้าได้หรือ? ” เขาบีบแขนนางแล้วพูดเสียงขรึม “ตระกูลลู่คนคุ้มกันแ่า ครั้งหน้าห้ามมาอีก”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็อุ้มนางและใช้กำลังภายในเหาะเหินเดินอากาศไปจากสถานที่แห่งนั้น ทว่าปลายทางที่เขาไปส่งนางกลับไม่ใช่ทั้งโรงหมอหรือจวนอ๋อง แต่เป็เรือนหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก ทันทีที่มาถึงนางก็ได้หันมองไปรอบๆ ทิศทาง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “ที่นี่คือที่ใดกัน? ”
“เรือนส่วนตัวแห่งหนึ่งของข้า แต่มิใช่จวนอ๋อง” เขาเดินไปข้างกายนาง และหยุดยืนอยู่ห่างแค่เพียงหมัดเดียว “ข้าประหลาดใจยิ่งนัก เ้าไปเรียนวรยุทธ์สูงส่งเพียงนี้มาได้อย่างไรกัน? จึงได้สามารถหลบเลี่ยงเหล่าผู้คุ้มกันในจวนลู่ และไปปรากฏกายอยู่บนหลังคาห้องของสตรีแซ่สือ เ้าช่างมีความสามารถเสียจริง”
โรงหมออวิ๋นซานเป็แค่โรงหมอเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในนครหานโจว แต่กลับมีสตรีที่เฉลียวฉลาด รู้จักวางแผน ทั้งยังมีทักษะวิชาแพทย์ที่สูงส่ง มิหนำซ้ำยังเป็วรยุทธ์อีก เื่เหล่านี้ทำให้เขาประหลาดใจยิ่ง และมันช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป เพราะหากไม่ใช่ว่า เขาได้เห็นกับตาตัวเองก็คงไม่มีวันได้รู้จริงๆ ว่า สตรีผู้นี้จะปิดบังเขาไปอีกนานแค่ไหน
หากอวิ๋นซียังเป็เช่นนี้ แล้วอวิ๋นซานเล่า? ชายชราผู้นั้นจะเรียบง่ายเหมือนดั่งที่ตาเห็นด้วยหรือไม่?
หมอคนหนึ่งที่ดูสง่างามอ่อนโยน ทั้งยังมีความรู้กว้างขวาง คนเช่นนั้นจะเป็แค่หมอธรรมดาจริงๆ น่ะหรือ? ถึงกระนั้นเขาที่เคยสืบหาเื่ราวเกี่ยวกับโรงหมออวิ๋นซานมาก่อนกลับไม่เคยพบเจอสิ่งใดเลย แต่ก็ไม่วายส่อแววพิรุธต้องสงสัยออกมาได้ทุกเื่
“ท่านชอบยุ่งเื่ของคนอื่นเสียจริง” ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซียังไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเื่วรยุทธ์ของตนอย่างไรดี แม้ร่างเดิมจะเป็วรยุทธ์ แต่ว่าเฉียวอวิ๋นซีเองก็เป็วรยุทธ์เช่นกัน ถึงแม้กังฟูจะไม่เท่าไร แต่วิชาตัวเบาถือว่าดีเยี่ยม
“เื่ของสตรีของข้า หรือว่าจะยุ่งไม่ได้? ” เขาแค่นเสียงเ็า ดวงตาล้ำลึกจ้องมองนางอยู่นานสองนาน ยิ่งนางไม่พูด เขาก็ยิ่งสงสัย และอยากรู้ให้ได้ว่า สตรีผู้นี้แอบซ่อนความลับใดไว้อยู่กันแน่
อวิ๋นซีไม่อยากพูดคุยเื่ตนเป็สตรีของใคร หรือไม่เป็ของใครกับเขาอีกแล้วจริงๆ “ข้าจะกลับ”
จวินเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่อีกด้านพร้อมๆ กับสะบัดแขนเสื้อโดยแรงจนก่อให้เกิดลมแรงสายหนึ่ง ทันใดนั้นประตูใหญ่ก็ถูกปิดสนิท ท่าทางเช่นนี้ของเขาบ่งบอกชัดเจนว่า ไม่ยินยอมให้นางไปจากที่นี่
อวิ๋นซีอึ้ง หันกายไปจ้องเขาด้วยสายตาดุดัน “ท่านทำเกินไปแล้ว”
“เกินไปหรือ? ข้าไม่เห็นรู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด” เขานิ่งเฉยเป็อย่างยิ่ง ในยามที่คนผู้หนึ่งกำลังเกรี้ยวกราดมักจะเผยสิ่งที่ตนแอบซ่อนไว้ได้ง่ายที่สุด ซึ่งตัวเขาเชื่อว่าอวิ๋นซีเองก็จะเป็เช่นนั้น
อีกประการหนึ่ง เมื่อได้เห็นท่าทางเกรี้ยวกราดเช่นนี้ของนางแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้เชยชมนางในอีกรสชาติหนึ่ง
อวิ๋นซีได้ยินดังนั้นก็หันกายไปจ้องมองคนที่ทำท่าทางเหมือนกำลังเตรียมรับชมเื่สนุก จู่ๆ นางก็หลุดหัวเราะออกมา “ในเมื่อคุณชายใจกว้างถึงขนาดเชื้อเชิญให้ข้ารั้งอยู่ต่อ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว”
นางเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะข้างกายของชายหนุ่ม จากนั้นจึงวางมือลงบนกระเบื้องเคลือบพื้นขาวลายครามที่เพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเ้าสิ่งนี้ราคาไม่เบา อวิ๋นซีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ตัวข้านี้หากถูกข่มขู่ อารมณ์ก็จะเปลี่ยนไปเป็เลวร้ายยิ่ง และเมื่ออารมณ์ข้าเลวร้ายแล้ว ข้าก็มักต้องหาวิธีมาระบายมันออกไป”
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เปิ่นจั้ว(本座)คำเรียกแทนตัวเองมีความหมายว่า ข้า, ตัวข้า
[2] เปิ่นหวาง(本王)คำเรียกแทนตัวเองของอ๋อง แปลตรงตัวว่า ตัวข้าผู้เป็อ๋อง
[3] ตำหนักวสันต์(春宫)หมายถึง ภาพเขียนบรรยายการร่วมรักของชายหญิง