“มัน...กำลังจะกลืนกินข้ามันจะใช้ร่างกายข้าเป็ที่สิงสถิตของมัน!”
หลินหยางเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว
์บ้าบอนี่ทำไมถึงได้รังแกตัวเขาขนาดนี้กันเดิมทีเขาก็ต้องจบชีวิตอย่างไม่เป็ธรรมอยู่แล้วในท้ายที่สุดยังจะถูกผู้อื่นบังคับแย่งชิงร่างกายของเขาไปอีก!
ข้า... ข้าไม่ยอม!
แค่ความเกลียดชังก่อนหน้านี้ของเขามันก็มีมากเกินพออยู่แล้วบัดนี้ความเกลียดชังของเขามันยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนยากที่จะตีความได้ภายในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความคับแค้นใจมีสภาพราวกับคลื่นทะเลที่กำลังเกรี้ยวกราด ราวกับผืนฟ้าที่กำลังพังทลาย
เขาเริ่มต่อต้านการกลืนกินของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่ว
ข้าไม่ยอม!
ข้าจะไม่ยอมตายง่ายๆแค่นี้!
ข้าจะต้องล้างแค้น!
ข้าจะไม่ยอมกลายเป็ร่างสถิตให้กับจักรพรรดิฟ้าห่าเหวอะไรนั่น!
ข้าก็คือข้า
ข้าคือหลินหยาง!!
ตูมมมมมมมมมมมม!
จิตสำนึกของหลินหยางพลันแสดงพลังในระดับที่เขาไม่เคยมีมาก่อนจักรพรรดิฟ้านั่นยังต้องสนใจ
“โอ้? คาดไม่ถึงเลยนะว่า โง่ๆ อย่างเ้า กลับมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้...แต่น่าเสียดาย พลังแค่นี้มันเปลี่ยนชะตาชีวิตของเ้าไม่ได้หรอก!”
หลินหยางไม่รู้เลยว่าตัวตนของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดนั่นคือตัวตนอันสูงส่งที่สามารถมองเหยียด์ชั้นฟ้าด้วยสายตาของผู้ใหญ่มองผู้น้อยได้ต่อให้เพิ่งตื่นจากการหลับใหลมานานนับหมื่นๆ ปี มันก็ยังเป็เื่ยากที่คนธรรมดาอย่างหลินหยางจะสามารถต่อต้านได้
แม้ว่าเขาจะโกรธเกลียดคับแค้นใจ มากเพียงไหน ก็ยังยากที่จะต้านทานตัวตนที่ทรงพลังนี้ได้
แต่ในจังหวะที่จิตสำนึกของหลินหยางกำลังจะถูกกลืนกินลงอย่างสมบูรณ์นั้นบริเวณคอของเขาพลันเปล่งแสงสว่างขึ้น มันคือแสงจากสร้อยหยกที่หลินหยางพกติดตัวตลอดเวลาเป็ของสำคัญที่แม่ของเขามอบไว้ให้ก่อนตาย
บนหยกก้อนนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเืของหลินหยางราวกับว่ามันััได้ถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นกับร่างกายของเขาจากนั้นก็แตกกระจายออกทันที และมีลำแสงสีขาวนวลเหมือนน้ำนมสายหนึ่งพุ่งออกมาจากหยกก้อนนั้นมันเลื้อยเข้าไปภายในตัวของหลินหยาง
“นี่มันอะไรกัน?”ลำแสงสีขาวนั่นดูลึกล้ำเกินคาดเดา จักรพรรดิฟ้าพลันหน้าถอดสี “เป็ไปไม่ได้...นี่มัน หยกผนึกรัศมีเทพ? มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...ให้ตายเถอะ... เพราะมันแน่ๆ เื่บังเอิญแบบนี้มันยังคำนวณไว้ด้วยหรือนี่!!”
ไม่!! ข้าไม่ยอมมม!
หลังจากหลินหยางได้ยินคำสบถอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจของจักรพรรดิฟ้าแค่ไม่กี่คำชั่วพริบตานั้น ภายในหัวเขาก็พลันรู้สึกโล่งสบาย เงาที่ดูน่ากลัวนั่นอยู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยภาพที่เขาเห็นในความคิดก็เปลี่ยนกลับมาเป็สีดำสนิทอีกครั้ง
หลินหยางสลบไปนานแค่ไหนตัวเขาเองก็ไม่รู้ แต่ในขณะที่สลบอยู่นั้น เขาเหมือนเห็นเงาร่างของคนๆ หนึ่งเป็ภาพที่ชวนคิดถึงอย่างมาก ถึงจะดูเลือนราง แต่ไม่ผิดแน่ นั่นคือแม่ของเขา เซี่ยอวี่เวย
เงาร่างอันแสนคุ้นเคยนั่นพุ่งผ่านจิตสำนึกของหลินหยางออกไปภาพที่เห็นนั้นคือภาพที่หลินหยางจินตนาการขึ้นมาเองหรือเกิดจากพลังลึกลับที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่หลินหยางก็ยังคงพยายามไล่ตามเงานั้นอย่างสุดชีวิตไล่ตามภาพความทรงจำที่ทั้งอบอุ่นและงดงามที่สุดในชีวิตของเขา
“ท่านเม่ท่านแม่ ท่านอย่าไปเลยนะ ท่านแม่!”
เขาดีดตัวขึ้นนั่งโดยที่ยังไม่ได้สติมือทั้งสองข้างคว้าจับไปทั่วกลับบังเอิญไปจับโดนเรือนร่างอันแสนอบอุ่นและนุ่มนวลเข้าพอดี
“ว้าย!”
มีเสียงร้องของสาวน้อยผู้หนึ่งดังขึ้น
..................................
หลินหยางตื่นขึ้นมาก็พบว่าเขานอนอยู่ในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง กำแพงสีขาว กระเบื้องสีดำ มีบานหน้าต่างทำจากไม้กำลังเปิดอยู่ทำให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้องได้
เตียงที่เขานอนอยู่มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ดูสะอาดเรียบร้อย การตกแต่งภายในห้องก็เป็แบบเรียบง่ายแต่กลับมีกลิ่นที่ดูขัดกับภาพลักษณ์อันเรียบง่ายของห้องอยู่เหมือนจะเป็กลิ่นอ่อนๆ ของน้ำหอมที่หญิงสาวชอบใช้
ที่นี่ที่ไหน?
ข้ารู้สึก... มึนหัวไปหมด...
หลินหยางรู้สึกว่าภายในหัวของเขาอัดแน่นไปด้วยข้อมูลแปลกประหลาดต่างๆมากมายนับร้อยนับพันเื่ เช่น เื่ของสามจักรพรรดิห้าราชันแห่งยุคโบราณร่างสถิตภูตอัคคี วัฏสงสาร 9 วัฏจักร ยอดฝีมือไร้พ่ายสุดยอดเคล็ดวิชาของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่ว เื่ของขุมสมบัติลับของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้และยังมีเื่อื่นๆ อีกมากมายมหาศาล
แต่ข้อมูลพวกนี้ดูจะไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไรชิ้นส่วนข้อมูลจำนวนมหาศาลเหล่านี้ได้หลั่งไหลทะลักเข้าไปในสมองของหลินหยางจนทำให้เขารู้สึกอึดอัดและคลื่นไส้จนแทบจะอาเจียน
สิ่งที่ทำให้หลินหยางยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีกก็คือการที่ภาพความทรงจำของแต่ละ่ค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน
มันคือความภาพทรงจำในอดีตของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วผู้ยิ่งใหญ่นั่นเองเป็ความทรงจำั้แ่เมื่อหลายหมื่นปีก่อนในสมัยที่ยังเป็เพียงแค่เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ยาวไปจนถึงตอนที่กลายเป็จักรพรรดิฟ้าผู้ครองโลกซึ่งเป็ที่หวาดกลัวไปทั่วทั้ง์และผืนแผ่นดินในระหว่างนั้นได้เกิดเื่ราวพิศวงขึ้นมากมายเป็เื่แปลกประหลาดในระดับที่หลินหยางไม่อาจจินตนาการถึงอีกทั้งยังเป็เื่ราวที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม กลลวง และการฆ่าฟันอันโหดร้าย
จิตใจอันใสซื่อของหลินหยางเมื่อได้เห็นสิ่งที่จักรพรรดิฟ้าเคยประสบพบเจอมาทั้งชีวิตแล้ว ซึ่งสิ่งต่างๆเ่าั้ไม่ต่างอะไรกับตำราที่เขียนขึ้นมาด้วยการฆ่าฟัน และการนองเืถึงแม้ว่าความทรงจำบางส่วนจะเลือนรางไปบ้างแล้ว แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้จิตใจของหลินหยางเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
บางครั้งที่หลินหยางลืมตาขึ้นแววตาของเขาที่เคยเต็มไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์คู่นั้นก็เหมือนจะหายไปเหลือเพียงแต่แววตาที่ดูเหมือนผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่นานนับหมื่นๆ ปีเคยบุกน้ำลุยไฟมานับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีจิตสังหารอันรุนแรงปล่อยออกมา
แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งแววตาของเขาก็กลับมาเป็แววตาอันแสนบริสุทธิ์เหมือนเดิมเขาจะไม่ยอมเดินไปตามทางสายมารเหมือนเ้าทรราชนั่น เขาจะไม่ยอมถูกครอบงำจนกลายเป็ฆาตกรที่สามารถฆ่าคนทิ้งง่ายๆเหมือนมันแน่ หลินหยางต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการต่อต้านการครอบงำของความทรงจำที่จักรพรรดิฟ้าเหลือทิ้งไว้
ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆที่หลินหยางต้องนอนซม ทนทรมานกับการที่ต้องรับเอาความทรงจำจำนวนมหาศาลนั่นไว้
เวลาผ่านเลยไปจนแผ่นฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็สีดำอาการของหลินหยางเริ่มสงบลงแล้ว ตอนนี้ ทั้งความทรงจำ บุคลิกและลักษณะนิสัยของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับตัวตนของหลินหยางแล้ว
เมื่อหลินหยางลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแววตาของเขาก็ยังคงเปลี่ยนไปจากเดิมอยู่ดี
แต่โชคดีว่าสายตาคู่นี้ของเขายังคงแบ่งแยกขาวดำออกได้อย่างชัดเจนไม่ได้มีกลิ่นอายของความโเี้ป่าเถื่อนอยู่ เพียงแต่แววตาของเขาในตอนนี้มันไม่ใช่สายตาของเด็กอายุ 13 แน่ๆ
“จะว่าไปถึงจักรพรรดิฟ้าจะถูกปิดผนึกไปแล้ว แต่ความทรงจำของยอดฝีมือท่านนี้ก็ยังคงหลอมรวมเข้ากับข้าอยู่ดี”
น้ำเสียงของหลินหยางเองก็เปลี่ยนไปเช่นกันไม่ใช่น้ำเสียงที่ดูอ่อนแอ เต็มไปด้วยความลังเลอีกต่อไปถึงแม้ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้จะดูมืดแปดด้านก็ตาม แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงไว้ซึ่งความสงบนิ่งดุจเทือกเขาไท่ซานก็ไม่ปาน
เขาลุกขึ้นมานั่งแล้วค่อยๆ วิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา “แถมยังได้กองไฟนั่นช่วยให้ร่างสถิตภูตอัคคีของข้าตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์อีกถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถฝึกยอดวิชาที่จักรพรรดิฟ้าเคยใช้ในอดีตได้แล้วรึ? นี่มัน...ยอดมาก!”
ในจังหวะนั้นเองแววตาที่ดูนิ่งสงบของหลินหยางก็พลันแปรเปลี่ยนไปเป็เ็าเกินกว่าที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้ให้ความรู้สึกเหมือนกับมีมีดอันแหลมคมสองเล่มที่ข้ามผ่านกาลเวลานานนับอสงไขยแล้วพุ่งเสียบเข้าที่กลางอกของผู้ถูกจ้องมองอย่างไร้ปรานี
“เฉินเฉาเกอเ้าคงคาดไม่ถึงแน่ๆ ว่า กองไฟที่สุนัขรับใช้ของเ้าจะใช้เผาข้าทิ้งนั่นไม่เพียงแต่มันจะเผาข้าไม่ตาย มันยังกลับกลายมาเป็พลังอันมหาศาลให้ข้าได้อย่างที่เ้าไม่อาจจะจินตนาการถึงอีก”
เสียงที่หลินหยางพึมพำออกมาคนเดียวนั้นค่อนข้างเบาแต่ความเ็าของคำพูดนั้นมันกลับทำให้ห้องทั้งห้องหนาวเย็นราวกับกำลังอยู่ในหุบเขาน้ำแข็ง
“เฉินเฉาเกอเ้ารอก่อนเถอะ สิ่งที่เ้าแย่งชิงไปจากข้า ข้าจะต้องเอามันคืนมาทั้งหมดแน่นอน! ทั้งมัน ทั้งตระกูลเฉินของมัน พวกมันทั้งหมดจะต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกมันเคยทำไว้กับข้า!”เขาประกาศคำสาปสาบานแห่งความตายแล้ว
สภาพจิตใจของหลินหยางนั้นสุดท้ายแล้วก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ดี
องค์ชายที่ตอนนี้กำลังเสวยสุขอยู่ในพระราชวังส่วนพระองค์นั้นคงคาดไม่ถึงว่า ั้แ่บัดนี้เป็ต้นไป เ้าหนุ่มหน้าโง่ที่น่าจะถูกเผาเป็ตอตะโกไปแล้วนั้นตอนนี้มันกำลังค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาเขาที่ละก้าว เพื่อแก้แค้นแล้ว
หลินหยางกลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็วถึงเขาจะตั้งใจไว้แล้วว่า ความแค้นระหว่างเขากับตระกูลเฉินจะต้องชำระให้ได้ ไม่ตายไม่เลิกแต่ตัวเขาในตอนนี้ อย่าว่าแต่จะไปต่อกรกับเ้าเฉินเฉาเกอที่ได้เป็องค์ชายแล้วนั่นเลยแค่พ่อบ้านของมันก็สามารถเหยียบเขาตายได้ง่ายๆ เหมือนมดปลวกแล้ว
ความแค้น อย่างไรก็ต้องชำระแต่เป้าหมายนั้นอยู่ห่างไกลมากเกินไป หลินหยางยังต้องฝึกฝนมากกว่านี้เขาต้องมีพลังมากกว่านี้
ส่วนตอนนี้หลินหยางต้องทำความเข้าใจกับสภาพของตัวเขาเองก่อน
เมื่อเขาลองขยับร่างกายของตัวเองดูก็พบว่าเขามีสภาพร่างกายที่ดีมากจนน่าประหลาดใจ ไม่เพียงแต่าแที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนหน้าจะหายเป็ปลิดทิ้งแล้วภายในร่างกายของเขายังมีขุมพลังอันแข็งแกร่งที่ตัวเขาไม่เคยมีมาก่อนแอบแฝงอยู่ด้วย
หลินหยางกำหมัดแน่นพลางคิดในใจว่า“นี่คือพลังของร่างสถิตภูตอัคคีหรือ...สามารถดูดกลืนพลังงานจากเปลวไฟแล้วเปลี่ยนให้เป็พลังของตัวเองได้ อย่างนั้นแสดงว่ากองเพลิงที่วัดเก่าก่อนหน้านี้ทำให้ร่างกายของข้าพัฒนาไปถึงขั้นต้นของระดับชุ่ยถี่แล้วอย่างนั้นสิ?”
ในโลกของวรยุทธ์นั้นผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนจะสามารถดูดดึงพลังฟ้าดินที่มีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติเพื่อใช้ในการก้าวข้ามขอบเขตของพลังทั้ง 7 ระดับในวิถียุทธ์ได้ โดยแบ่งเป็ระดับชุ่ยถี่ ระดับเซียนเทียน ระดับอวิ้นหลิง ระดับโพ่ไห่ ระดับฮว่าสิง ระดับเหออีและสุดท้ายระดับในตำนานคือ ระดับเซียน
และทุกระดับชั้นจะยังแบ่งแยกย่อยได้อีก4 ขั้น คือ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นท้าย และขั้นสูงสุด แบ่งแยกไว้อย่างชัดเจนเป็เสมือนบันได์ที่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนต้องพยายามปีนป่ายขึ้นไป
ระดับชุ่ยถี่คือจุดเริ่มต้นของผู้ฝึกยุทธ์ทุกๆคน ซึ่งต้องใช้วิธีต่างๆ ในการฝึกฝนพัฒนาร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น และต้องฝึกฝนประสาทการรับรู้ไปด้วยอย่างต่อเนื่องในท้ายที่สุดถึงจะสามารถก้าวไปถึงขั้นท้ายของระดับนี้ซึ่งจะสามารถััถึงพลังฟ้าดิน เปิดจุดลมปราณ และก้าวเข้าสู่ขอบเขตของ [ระดับเซียนเทียน] ได้
ในโลกของวรยุทธ์นั้นผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปต้องฝึกฝนร่างกายต่อเนื่องกันนาน 3 ถึง 5 ปีเป็อย่างต่ำถึงจะสามารถไปถึงระดับที่เรียกว่าชุ่ยถี่ได้ ระดับนี้จะมีค่าพลังอยู่ที่ 300 จินโดยประมาณซึ่งถือว่าได้ผ่านประตูเข้าสู่วิถียุทธ์แล้ว แต่หาก้ามีชื่อเสียงและมีผู้คนให้ความนับถือ อย่างต่ำก็ต้องเป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนให้ได้ก่อน
ในเมืองอวิ๋นเฉิงนี้มีประชากรอยู่ประมาณหนึ่งล้านคน ยอดฝีมือระดับชุ่ยถี่อย่างต่ำก็มีอยู่หลายแสนคนแล้วแต่ไปถึงระดับเซียนเทียนได้นั้น เกรงว่าจะมีอยู่แค่ไม่กี่พันคนเท่านั้นโดยคนเ่าั้ต่างก็ถูกเหล่าเศรษฐีหรือเชื้อพระวงศ์เลี้ยงเอาไว้หมดแล้ว ได้เสพสุขกับชีวิตอันหรูหราในแบบที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการออก
แต่สำหรับหลินหยางแล้วเขาแค่นอนหลับอยู่บนกองเพลิงไปตื่นหนึ่งก็สามารถเข้าสู้ระดับชุ่ยถี่ที่คนทั่วไปต้องใช้เวลาฝึกอย่างหนักนาน 3-5 ปีแล้วทำให้เขาอดที่จะทึ่งกับพลังอันแสนมหัศจรรย์ของร่างสถิตภูตอัคคีไม่ได้
“ถ้าข้าสามารถฝึกวิชานั้นได้ขอบเขตพลังของข้าจะต้องยกระดับได้เร็วยิ่งขึ้นอีกแน่นอน” ภายในหัวของหลินหยางเป็ภาพความทรงจำของสุดยอดวิชาลับของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วที่เคยใช้พิชิต์ปกครองแผ่นดินมาแล้ว
ในตอนนั้นเองประตูห้องของหลินหยางก็ถูกกระแทกเสียงดังจนเปิดออกจากนั้นก็มีชายฉกรรจ์ท่าทางป่าเถื่อน 3 คนบุกเข้ามา
คนแรกมีรูปร่างกำยำสูงใหญ่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ดูทรงพลัง เมื่อเข้ามาแล้วเห็นหลินหยางนั่งอยู่บนเตียงก็มีสีหน้าประหลาดใจจากนั้นบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเ็าท่อนแขนใหญ่โตนั่นยกขึ้นชี้นิ้วไปที่หลินหยางตรงๆ
“เ้าเด็กนี่แหละที่บังอาจล่วงเกินคุณหนูรนหาที่ตายชัดๆ! หักแขนทั้งสองข้างของมันทิ้งซะ แล้วค่อยโยนมันออกไปนอกคฤหาสน์”
ขอรับ!!
ชายฉกรรจ์อีกสองคนที่ตามหลังมาก็ตรงดิ่งมาทางหลินหยางโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงดูคล้ายกับหมาบ้าสองตัว ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยบรรยากาศหนักอึ้ง ดุดัน
เพิ่งตื่นขึ้นไม่นานก็เจอเื่วุ่นวายทันทีเมื่อต้องพบกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแบบนี้ในใจของหลินหยางก็เกิดความสงสัยอยู่บ้าง เพียงแต่หลินหยางในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วถึงจะโดนหาเื่แบบนี้ก็ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ั์ตาของเขาตอนนี้ปรากฏแสงสีแดงขึ้น
มันคือหนึ่งในพลังขั้นพื้นฐานที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อร่างสถิตภูตอัคคีทำงาน- เนตรเพลิงสุพรรณ - ความสามารถคือสามารถมองเห็นขอบเขตพลังของศัตรูได้ แต่จะมองเห็นของคนที่มีระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าเท่านั้น
หลินหยางกระตุ้นพลังเนตรเพลิงสุพรรณขึ้นมาพริบตาต่อมาก็มองเห็นสภาพร่างกายของทั้งสามคนนั้นทันทีซึ่งมีระดับพลังไม่ต่างกับคนทั่วไปเท่าไรแค่มีพละกำลังเยอะกว่าชาวบ้านเขาหน่อยเท่านั้น หลินหยางในตอนนี้ที่มีพลังระดับชุ่ยถี่แล้วสามคนข้างหน้าก็ไม่ต่างอะไรกับหมาจรจัดสามตัวสักเท่าไร
ป้าบ ป้าบ!
มีเสียงใสๆดังขึ้นสองครั้งอย่างชัดเจน ชายฉกรรจ์สองคนถูกหลินหยางฟาดด้วยฝ่ามือจนปลิวกลับไป พวกมันกระเด็นกลับไปอยู่ใต้เท้าของชายฉกรรจ์คนแรกที่มีท่าทางโอหังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ส่วนชายฉกรรจ์คนที่น่าจะเป็หัวโจกที่เคยพูดจาใหญ่โตว่าจะจับหลินหยางโยนทิ้งนั้นตอนนี้ใจนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ