บทที่ 50 นายน้อยรองตระกูลเจียง
ตระกูลหลิน หนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ของเทียนตู หากพูดถึงในแง่ของความแข็งแกร่ง ก็นับว่ายังเหนือชั้นกว่าตระกูลลู่ และจัดอยู่ในอันดับที่สี่ อาวุธวิเศษที่ผลิตออกมาในทุกๆ ปีผูกขาดในเทียนตูมากถึงสี่ส่วน ในขณะเดียวกันยังเปิดห้องไฟใต้ดินต่างๆ สำหรับให้ตระกูลเล็กๆ และนักพรตสันโดษที่ไม่สามารถเปิดห้องไฟใต้ดินเองได้ อีกทั้งยังไม่ยอมเสียเงินเพื่อซื้ออาวุธวิเศษพวกนั้น และเช่ามัน
ดังนั้น แม้ว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะค่อนข้างแย่ แต่หากพูดถึงถึงจำนวนนักพรตก็มีมากกว่าในเมืองเทียนอวิ๋นของตระกูลลู่มาก
ก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือน ตระกูลหลินตัดสินใจรับเด็กหญิงอายุสิบสองปีคนหนึ่งมาเป็ลูกศิษย์และจัดพิธีคารวะรับศิษย์อย่างยิ่งใหญ่ขึ้น ซึ่งทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทั่วทั้งเทียนตูในทันที มีนักพรตนับไม่ถ้วนมาที่นี่เพื่อ้ามาดูเด็กหญิงผู้โชคดีคนนี้ ที่เหมือนได้ขึ้น์ในพริบตา
ดังนั้นทันทีที่ลู่อวี่เข้าเมืองเสวียนจ้งมา ก็พบเห็นนักพรตที่ล่วงหน้ามาก่อนได้ทุกที่ทั่วทั้งเมืองเสวียนจ้ง เหมือนกับมาเข้าร่วมงานใหญ่
แต่ลู่อวี่ไม่ได้แปลกใจอะไรกับเหตุการณ์นี้ โลกบำเพ็ญเพียรแห่งเทียนตูสงบสุขมาเป็เวลานาน เบื้องบนมีตำหนักมหาเทพคอยควบคุมอยู่ เบื้องล่างก็มีเจ็ดตระกูลใหญ่และสี่สำนักใหญ่คอยรักษาสมดุลซึ่งกันและกันอยู่ ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่มีบางอย่างเกิดขึ้นในโลกบำเพ็ญเพียรแห่งเทียนตูก็จะมีผู้บำเพ็ญเพียรที่ว่างจำนวนมากมารวมตัวกัน
สิ่งที่ทำให้ลู่อวี่สนใจและอยากรู้อยากเห็น จริงๆ แล้วกลับเป็เมืองเสวียนจ้ง
เมืองเสวียนจ้งเป็สีนิลเมื่อมองจากภายนอกช่างให้ความรู้สึกหนักแน่น มั่นคงยิ่งใหญ่ และสง่างาม แต่เมื่อเข้ามาดูภายใน หากไม่พูดถึงเื่อาคารที่เรียบร้อยและวิจิตรงดงาม ต้นไม้ที่ไม่รู้ถูกย้ายมาปลูกั้แ่เมื่อไร พูดถึงเพียงพื้นถนนสีดำทะมึนเรียบๆ ก็ทำให้ลู่อวี่ประหลาดใจมากแล้ว
หากมันเรียบๆ และแข็งแกร่งก็คงไม่เป็ไร แต่สิ่งที่ทำให้เขาใมากคือพื้นทั้งหมดหลอมมาจากเหล็กเงาดำ และในนั้นยังมีแสงสว่างของยันต์ป้องกันต่างๆ กะพริบอยู่ หากทั่วทั้งเมืองเสวียนจ้งเป็เช่นนี้ หลอมทั้งเมืองอย่างกับหลอมอาวุธวิเศษมันคงทรงพลังไม่น้อย วิธีการเช่นนี้นับว่าสุดยอดยิ่งนัก อย่าว่าแต่ตระกูลลู่ แม้แต่ลู่อวี่ในชาติที่แล้วยังไม่สามารถรวบรวมเหล็กเงาดำมามากพอที่จะสร้างเมืองได้
เป็ที่รู้กันว่า ต่อให้เหล็กเงาดำจะไม่ใช่วัสดุหายาก แต่เพราะมีลักษณะแข็ง ทนทานเป็เลิศ และเข้ากันได้ดีกับลมปราณ จึงมีนักพรตจำนวนมากใช้มันเป็วัสดุหลักในอาวุธวิเศษของพวกเขา ดังนั้น แม้ว่าเหล็กเงาดำจะไม่ได้มีค่ามากนัก แต่มันก็เป็หนึ่งในวัสดุที่เป็ที่้าในการนำมาหลอมอาวุธมากที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร
แต่หากคิดจะนำเหล็กเงาดำมาหลอมสร้างเมืองเมืองหนึ่ง มันต้องใช้เหล็กเงาดำมากเพียงใดและต้องมีความมั่งคั่งเท่าไรกัน? นี่ถึงเป็สาเหตุว่าเหตุใดตระกูลหลินถึงได้ปกป้องเทือกเขาเปลวไฟทมิฬ เพราะมันมีแหล่งแร่มหาศาล และมีความเป็ไปได้ว่าจะมีเหล็กเงาสีดำมาสร้างเมืองทั้งเมืองได้
ลู่อวี่มั่นใจว่าตระกูลหลิน้าเปลี่ยนให้ทั้งเมืองเสวียนจ้งกลายเป็อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่เป็ที่ตั้งรกรากของตระกูล หากสามารถทำได้สำเร็จจริงๆ ความแข็งแกร่งและอำนาจของพวกเขา ต้องติดหนึ่งในสามอันดับแรกของเทียนตูได้อย่างแน่นอน
หลังจากแอบอุทานด้วยความใ ก็เริ่มเดินไปรอบๆ เมืองตามใจคิด
ตระกูลหลินกับตระกูลลู่ต่างกัน บุคคลสำคัญของตระกูลลู่จะพักอาศัยอยู่บนูเาเทียนฉยง และได้รับการปกป้องด้วยค่ายกลกระบี่ขนาดใหญ่ แต่สำหรับตระกูลหลิน เป็เพราะมีเมืองเสวียนจ้งอยู่ ทั้งตระกูลหลินจึงอาศัยอยู่ในเมือง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตอนที่เมืองเสวียนจ้งถูกสร้างขึ้น ก็จะถูกแบ่งออกเป็เมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก
ไม่เพียงเท่านั้น เมืองชั้นในก็ยังแบ่งออกเป็จวนชั้นในและจวนชั้นนอกอีก เมืองชั้นในไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองแต่อยู่ทางตอนเหนือของใจกลางเมือง ครอบคลุมประมาณหนึ่งในสิบของพื้นที่เมืองทั้งหมด ซึ่งเพียงพอสำหรับผู้คนหลายแสนคนที่พักอาศัยและบำเพ็ญเพียร
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากตระกูลหลินมีพิธีคารวะรับศิษย์ จึงได้รับความสนใจเป็อย่างมาก แม้ว่าคนจำนวนมากไม่ได้รับเชิญ แต่ก็มีผู้คนมากมายมาร่วมรับชมความสนุกกัน เดิมทีเมืองเสวียนจ้งมีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน แต่ตอนนี้กลับมีนักพรตเพิ่มมากขึ้น ยิ่งทำให้เมืองคึกคักและมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ในถนนการค้าที่สร้างขึ้นเป็การเฉพาะ ร้านค้าแต่ละร้านตกแต่งไปด้วยแสงไฟและของตกแต่งหลากสีสัน เห็นได้ชัดว่าได้รับคำแนะนำให้ถือว่าพิธีคารวะรับศิษย์เป็งานใหญ่สำหรับตระกูลหลิน ทั้งยังลดราคาสิ่งของต่างๆ ทำให้ผู้คนสนุกสนานและคึกคักมาก
“นี่คงเป็ครั้งแรกที่คุณชายท่านนี้มาที่เมืองเสวียนจ้งใช่หรือไม่ ้าให้ช่วยเหลืออะไรหรือไม่เล่า? ข้าน้อยคุ้นชินกับที่นี่ไม่น้อย ไม่ว่าคุณชายอยากไปที่ใดย่อมไม่มีปัญหา ข้าน้อยขอค่าจ้างเพียงแค่เซียนหยกขั้นต่ำห้าเม็ดต่อวันเท่านั้น!” หลังจากลู่อวี่เข้าเมืองมาและเดินไปได้ไม่ไกล ในขณะที่เดินไปอย่างไร้จุดหมายตามผู้คน ในจังหวะที่ไม่รู้ว่าจะไปทางใดดีอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาจากด้านข้างมาประสานมือโค้งคำนับพูดกับตัวเอง
ชายหนุ่มคนนี้เตี้ยกว่าลู่อวี่ครึ่งหัว รูปร่างผอมบาง แต่อายุพอๆ กับลู่อวี่ แม้ว่าจะเป็การทำการค้า แต่ไม่ได้ดูต่ำต้อย ยืนตัวตรงและมีรูปร่างหน้าตาละเมียดละไม แต่ดวงตาที่สดใสคู่นั้นแฝงไปด้วย ความเด็ดเดี่ยวหนักแน่น
ลู่อวี่เหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดออกมาว่า “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาที่นี่เป็ครั้งแรก?”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ้มและพูดว่า “เพราะไม่กี่วันมานี้ คุณหนูจีชิงรั่วเข้าคารวะเป็ศิษย์ตระกูลหลินจัดงานใหญ่เอิกเกริก และมีคนที่มีชื่อเสียงจำนวนมากเดินทางมา คุณชายเข้าเมืองมาก็สำรวจไปทั่ว เช่นนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะมาที่นี่เป็ครั้งแรก”
ลู่อวี่พยักหน้ายอมรับ เขาไม่ได้สงสัยอะไร เพียงเอ่ยปากถามออกมาเท่านั้น ในขณะที่กำลังจะยอมให้ชายหนุ่มคนนี้พาเขาไปเดินเล่นในเมืองเสวียนจ้ง จู่ๆ ก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และถามว่า “จีชิงรั่วหรือ? ใช่เด็กผู้หญิงอายุสิบสองผู้นั้น ที่มีพร์ ‘ไฟแท้จื่อเสวียน’ ใช่หรือไม่? ได้ยินมาว่าครอบครัวของนางมาจากหมู่บ้านบนูเาที่ห่างไกล แล้วเหตุใดถึงได้ตั้งชื่อสง่างามเช่นนี้ให้? หรือว่าได้รับชื่อนี้หลังจากมาถึงตระกูลหลิน?”
ชายหนุ่มผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจกับคุณชายวัยละอ่อน ที่ละเอียดรอบคอบตรงหน้านี้ หลังจากจ้องมองลู่อวี่อย่างละเอียดอีกครั้ง ก็อธิบายว่า “คุณชายเป็คนช่างสังเกตยิ่งนัก อันที่จริงก็เป็แบบนั้นจริงๆ ชื่อเดิมของแม่นางจีชิงรั่ว คือ จีชิง แต่หลังจากมาถึงตระกูลหลิน รู้สึกว่าชื่อนี้ไม่ค่อยจะดีนัก ดังนั้นจึงเพิ่มคำว่า ‘รั่ว’ เข้าไปให้”
ลู่อวี่พูดและยิ้มไปด้วย “ข้อมูลของเ้ารวดเร็วยิ่งนัก! ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าให้เ้านำทางได้ ก่อนอื่นหาเหลาอาหารนั่งพักก่อน แล้วค่อยแนะนำให้ข้ารู้จักกับพ่อค้าสองสามรายที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ อยากดูสิว่ามีของดีอะไรบ้าง แค่ข้าพอใจ เซียนหยกก็เป็เพียงเื่เล็ก! อ้อ ใช่ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่เ้าเลย ข้าแซ่ลู่!”
“ข้าน้อยชื่อหยางเซิ่นเฉิง เป็นักพรตสันโดษ!” ชายหนุ่มก้มคำนับประสานมือและพูดอีกครั้ง
ลู่อวี่รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้แตกต่างไปจากผู้อื่น แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าแตกต่างที่ใดกัน นิสัยเรียบง่ายเป็กันเอง เขาเองก็มองคนไม่เป็ ดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากเป็เช่นนั้น ต้องรบกวนสหายหยางแล้ว!”
เมื่อหยางเซิ่นเฉิงเห็นว่า ลู่อวี่ตกลงจ้างเขา ก็รู้สึกดีใจและพูดว่า “คุณชายลู่เกรงใจไปแล้ว มันเป็หน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้ว เชิญตามข้าน้อยมา” พูดจบ ก็นำทางไปในเมือง พลางพูดไปด้วยว่า “แม้ว่าเมืองเสวียนจ้งจะเป็ของตระกูลหลิน แต่ตระกูลหลินควบคุมเข้มงวดแค่เมืองชั้นในเท่านั้น เมืองรอบนอกค่อนข้างจะปล่อยเป็อิสระ อีกทั้งยังมีประชากรมากที่สุด หากพูดถึงเหลาอาหารแล้ว ในเมืองมีเพียงหอจุ้ยเซียน เท่านั้นที่ไม่เป็สองรองใคร โดยเฉพาะสุราวิเศษสูตรลับเฉพาะของร้านนี้ ‘เมาไร้กังวล’ มันยังมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเทียนตู หากมาที่เมืองเสวียนจ้งแล้วไม่ได้มาลิ้มรสสุรานี้ ก็เปรียบเสมือนไม่ได้มา!”
“ฮ่าๆ เ้าพูดแล้วข้าเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ มิเช่นนั้นคงน่าเสียดายแย่หากพลาดไป ไปกัน ข้าจะเป็เ้ามือเอง พวกเราไปชิมสุราเลิศรสกันก่อน แล้วสหายหยางคอยแนะนำให้ข้ารู้จักกับพ่อค้าในเมืองนี้ อ้อ ใช่สิ พูดถึงจีชิงรั่วผู้นั้นด้วย!”
ในที่นั่งหรูหราบนชั้นสามของหอจุ้ยเซียน ลู่อวี่และหยางเซิ่นเฉิงนั่งอยู่ตรงข้ามกัน เหลาอาหารนี้มีด้วยกันสามชั้น และมีที่นั่งไม่มาก สร้างเป็รูปวงแหวนสามวง มีสี่เหลี่ยมตรงกลางเป็ที่โล่ง เพื่อไม่ให้บดบังสายตาของแต่ละชั้น
หอจุ้ยเซียนไม่เพียงมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองเทียนอวิ๋นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วทั้งเทียนตูอีกด้วย ผู้ที่สามารถมาที่นี่ได้ หากไม่มีพลังยุทธ์ขั้นสูงหรือสถานะสูงส่ง นักพรตปกติทั่วไป ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าหอจุ้ยเซียนรังเกียจลูกค้า แต่เพราะค่าใช้จ่ายของที่นี่สูงนัก ชาเพียงจอกเดียว ก็เพียงพอสำหรับให้นักพรตธรรมดาเดินทางเป็เวลาหลายเดือน
แม้ว่าหยางเซิ่นเฉิงจะไม่ใช่คนที่นิสัยดีอะไรแต่ก็ ถือว่าค่อนข้างจะมีความรู้ แต่เมื่อมานั่งอยู่ในที่นั่งหรูหราที่ชั้นบนสุดของหอจุ้ยเซียนตอนนี้ ก็รู้สึกใจเต้นรัวไม่หยุด
ดังคำกล่าวที่ว่ามาเร็วไม่สู้มาได้ถูกจังหวะ ตอนนี้นักพรตในเมืองเสวียนจ้งกำลังมารวมตัวกัน เช่นเหลาอาหารชื่อดังอย่างหอจุ้ยเซียนก็เต็มไปด้วยลูกค้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อลู่อวี่มาถึง จะมีที่นั่งโต๊ะริมหน้าต่างว่างอยู่
ในเหลาอาหารเวลานี้ เสียงพิณไม่รู้ดังมาจากที่ใด ดังทะลุผ่านมาหลายชั้น ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งเหลาอาหาร แม้ลู่อวี่จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดนตรีหรือเสียงพิณ ก็ยังอดที่จะดื่มด่ำไปกับดนตรีที่มีชีวิตและเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ที่ดังลอยมาแต่ไกลไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงพิณก็ค่อยๆ หยุดลง แม้ว่าจะตั้งใจฟังก็ดังเป็่ๆ และสุดท้ายก็ไม่ได้ยินอีก
และทันใดนั้น ทั้งเหลาอาหารก็เงียบไปพักหนึ่ง ลู่อวี่รู้สึกราวกับว่าทั้งจิติญญาของเขาได้รับการชำระล้าง ให้ใสสะอาดอย่างไม่เคยเป็มาก่อน เขาเป็คนแรกที่ฟื้นคืนสติจากเสียงพิณ พร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ “พิณดีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียง์ ในสถานที่ชุลมุนวุ่นวายเช่นนี้ ขณะกำลังลิ้มรสสุราเลิศรส ‘ไร้กังวล’ ไม่เสียเปล่าที่มาจริงๆ!” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสียงของเขาก็ดังขึ้นเล็กน้อย และดังลอดม่านกั้นที่มีหลายชั้นไปทั่วทั้งร้านเช่นกัน “ฟังเสียงก็เหมือนได้เห็นตัวจริง ไม่รู้ว่าเป็เซียนท่านใด ไม่ทราบว่าพอจะบอกชื่อเสียงเรียงนามได้หรือไม่?”
ลู่อวี่ไม่มีทางเชื่อว่าจะเป็นักพรตที่มีขั้นพลังยุทธ์ต่ำผู้หนึ่งมาเป็วณิพกขายเสียงเพลงอยู่ที่นี่ จากเสียงพิณที่บรรเลงมา ย่อมไม่ใช่คนที่ถูกชะตาชีวิตบีบบังคับให้ต้องอยู่รอดกับสิ่งนี้
“เชอะ เด็กหนุ่มหน้าโง่ผู้นี้โผล่มาจากที่ใดกัน ชื่อเสียงของแม่นางซูซินก็ยังไม่รู้ แล้วยังจะกล้าเอ่ยปากถามอีก?”
เสียงเย่อหยิ่งหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังไม่ไกล แต่ลู่อวี่กลับไม่ได้สนใจ แม้ว่าเสียงพิณเมื่อสักครู่นั้นจะทำให้เขาประหลาดใจและชื่นชม แต่ก็ไม่จำเป็ต้องรู้จัก มันเป็เพียงความสงสัยที่ผุดขึ้นมาในใจเท่านั้น
หยางเซิ่นเฉิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรีบก้าวไปเบื้องหน้าและกระซิบว่า “ชื่อเ้าของพิณมีนามว่าซูซิน ส่วนแซ่อะไรนั้นไม่มีใครรู้ ดูเหมือนว่ายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครพบเห็นนางมาก่อน ทุกคนได้ยินเพียงเสียง แต่ยังไม่เคยได้พบกับนางมาก่อนเช่นกัน มีที่ไปที่มาลึกลับยิ่งนัก จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวขึ้นในเมืองเสวียนจ้งเมื่อเดือนที่แล้ว และพักอาศัยอยู่หลังหอจุ้ยเซียน นางจะดีดพิณขับลำนำสร้างความบันเทิงให้ตัวเองเป็ครั้งคราว แต่ก็มีเสียงพิณดังเล็ดลอดออกมา ่นี้มีคนที่มีพลังยุทธ์และฐานะทางสังคมขอเข้าพบ แต่กลับถูกปฏิเสธ เดาว่าถึงแม้บุคคลนี้จะมีพลังยุทธ์ไม่สูงมากนัก แต่ก็ต้องมียอดฝีมือคอยปกป้องอยู่ ไม่เช่นนั้นคุณชายเ้าสำราญพวกนั้น คงไม่เคารพกฎเกณฑ์เช่นนี้!”
ลู่อวี่ขานรับเบาๆ และไม่ถามอะไรอีก โลกใบนี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก มีคนแปลกๆ มากหน้าหลายตานับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละคนก็มีนิสัยเป็ของตัวเอง ดังนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบรับ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเสียหน้า
แต่ผู้ชายที่เพิ่งพูดเหน็บแนมกลับไปไม่ได้คิดเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกเพิกเฉยโดยไม่เหลียวแล ก็รู้สึกว่าเสียหน้าไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าหยางเซิ่นเฉิงที่อยู่ตรงข้ามกับลู่อวี่ แต่งตัวดูไม่เหมือนคนที่มีฐานะทางสังคมอะไร ก็คิดว่าคนที่อยู่กับเขาก็คงไม่ได้ดีเด่ไปกว่ากันนักหรอก