ซูจื่อเยี่ยไม่ได้รู้สึกว่าการที่ร่างเล็กตรงหน้าปฏิเสธข้อเสนอของเขาจะทำให้ตนเองโมโหเดือดดาล เพราะการที่หลิวเต้าเซียงตอบเช่นนี้ก็เป็คำตอบที่สมควร
ซูจื่อเยี่ยใจกว้างกับคนของเขาเสมอ
แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เป็คนที่ใจแคบเช่นกัน
เช่นเดียวกับเื่ราวหลังจากนี้
คืนนั้น ซูจื่อเยี่ยไปที่บ้านของเกาจิ่ว
เขาสวมชุดลายงูหลามสีม่วงและลายเมฆปักด้วยผ้าไหมสีทอง บนศีรษะประดับด้วยกว้าน [1] ัคู่แย่งไข่มุก คาดเอวด้วยเข็มขัดหยกลงรักปิดทอง เพียงแค่นั่ง วางขาลงอย่างมั่นคงแล้วช้อนตาขึ้นมอง ก็มีความน่าเกรงขามของผู้สูงศักดิ์แผ่ออกมา
นี่คืออีกด้านหนึ่งของเขา
จิ้นเซี่ยวยืนอยู่ด้านข้างตามกฎระเบียบ “นายท่าน คุณหนูรองผู้นั้น...”
เขาดูแล้วเหมือนหลิวเต้าเซียงจะจงใจเอาใจเ้านายของตนเล็กน้อย
โดยเฉพาะอาหารค่ำในวันนี้ นางแอบไปสืบถามคนติดตามของซูจื่อเยี่ยแล้วทำอาหารที่เขาชื่นชอบ
มุมปากของซูจื่อเยี่ยยกสูงขึ้น อารมณ์ของเขาดีไม่น้อย
“จิ้นเซี่ยวเอ๋ย คนเรานั้นไม่ควรมีขอบและมุมมากเกินไป มิเช่นนั้นจะตายเร็ว”
ครั้งแรกที่เขาเห็นหลิวเต้าเซียง นางเป็คนเถรตรงชัดเจน แต่หนึ่งปีให้หลัง นางกลับลับคมจนมนขึ้นไม่น้อย
เขาไม่คิดว่าการเป็ผู้หญิงต้องขาวบริสุทธิ์เช่นกระดาษจึงจะดี
เช่นนั้น นางจะไม่สามารถปกป้องตนเองได้
จิ้นเซี่ยวเข้าใจในสิ่งที่ซูจื่อเยี่ยหมายถึง แต่เขาเป็ข้ารับใช้ของจวนอ๋อง ซึ่งในจวนอ๋องเขาเห็นคนที่เ้าเล่ห์เพทุบายมานักต่อนัก ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าหลิวเต้าเซียงเป็คนประเภทนั้นเช่นเดียวกัน
“แต่ว่า นายท่าน คุณหนูรองผู้นั้นไม่ใช่คนที่หลอกล่อได้ง่าย”
ซูจื่อเยี่ยมีความอดทนกับคนติดตามเสมอ เขาไม่้าให้จิ้นเซี่ยวเข้าใจหลิวเต้าเซียงผิดไป “หลอกล่อไม่ง่าย ฉลาดหลักแหลมเกินไป เช่นนั้นแล้วจะเป็อย่างไร? นางมีแผนการของนาง แต่นางไม่ได้ทำร้ายพวกเรา ไม่ใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น จิ้นเซี่ยว เ้าไม่รู้สึกหรือว่านางเกิดมาพร้อมกับชีวิตที่มีบุญวาสนา มีแผนการ เ้าเล่ห์แต่ก็ยังไม่สูญเสียจิตใจที่ดีงามไป”
ถูกต้อง หลิวเต้าเซียงไม่เคยทำร้ายผู้อื่นก่อน สิ่งที่นางทำไม่ใช่การรังแกผู้อื่น หากแต่เป็การป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมารังแกต่างหาก
หลิวเต้าเซียงไม่คิดว่าตนเองเป็คนดี แต่นางก็จะไม่ยอมรับว่าเป็คนเลว
“กระหม่อมรับทราบพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นเซี่ยวรู้ชัดในใจ ลูกหลานเชื้อพระวงศ์หากไม่เ้าเล่ห์และมีแผนการ เกรงว่าคงกลายเป็ธุลีดินไปนานแล้ว ซึ่งต้องดูว่าขอบเขตของคนผู้นั้นอยู่ตรงไหน
ซูจื่อเยี่ยพิงหลังลงบนเก้าอี้เพื่อผ่อนคลายร่างกาย “จิ้นเซี่ยว ข้ารู้ว่าเ้าหวังดี เ้าติดตามข้ามาสิบปีแล้ว หากข้าจะสู่ขอหญิงสาวที่ไม่รู้จักป้องกันตนเองเลย เ้าคิดว่าข้าจะมีบุญหรือได้รับผลกรรมไปด้วย?”
การจะตัดสินคน ก็ต้องมีมาตรฐานทั้งสองด้าน!
“นายท่าน กระหม่อมผิดไปแล้ว คุณหนูหลิวแม้จะเ้าแผนการไปบ้าง แต่นางมีจิตใจที่ดีงาม ความเ้าเล่ห์ของนางสามารถป้องกันตัวเองได้”
ปมในใจของจิ้นเซี่ยวถูกคลี่คลาย เขาคือคนที่จงรักภักดี จึงหวังว่าคนที่เป็สหายของนายท่านต้องมีความจริงใจและไม่หวังผลบางอย่าง
หากเป็คนที่บริสุทธิ์ราวกับผ้าขาว เกรงว่าคงจะทำให้ใครเคืองโกรธได้โดยไม่รู้ตัว นั่นจะเป็การหาเื่ให้แก่นายของตนมากกว่า
ขณะนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงของบริวารรับใช้ดังขึ้น “นายท่าน เกาจิ่วขอเข้าพบ!”
“ให้เขาเข้ามา” ซูจื่อเยี่ยรู้สึกตะหงิดๆ เล็กน้อยที่เกาจิ่วขอพบในเวลานี้
อันที่จริงเกาจิ่วไม่มีความคิดอื่นใด เพียงแต่รู้ว่าซูจื่อเยี่ยให้ความสำคัญกับหลิวเต้าเซียงเป็อย่างมาก จึงอยากมาสร้างความมีตัวตนเพื่อให้เ้านายไม่ลืมผลงานของตนเองในปีนี้
แน่นอน ในภาพเบื้องหน้าเขาเองก็ไม่ได้โง่เช่นนั้น
เมื่อเกาจิ่วเข้ามาก็มีคนผู้หนึ่งตามมาด้วย เขามีผิวพรรณขาว ดวงตาเล็ก ใบหน้ากลมและท้องกลมกลึงราวกับจะขยายเสื้อจนแตก
ซูจื่อเยี่ยเพียงแค่เหลือบมองเขา จากนั้นหลุบตาลงและหยิบชาบนโต๊ะน้ำชาขึ้นมาดื่ม
“นายท่าน นี่คือเหรัญญิกที่กระหม่อมเคยเอ่ยถึง แซ่จง เป็ชาวอำเภอถู่หนิว”
หลังจากหายใจเข้าออกประมาณสามครั้ง ซูจื่อเยี่ยก็วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะเบาๆ ด้วยความนิ่งสงบ และไม่ได้สูญเสียความน่าเกรงขาม
“เ้าบอกว่าต้องรออีกไม่กี่วันไม่ใช่หรือ?”
เกาจิ่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและแอบมองไปที่ใบหน้าของซูจื่อเยี่ย เมื่อเห็นเขาไม่มีท่าทีหงุดหงิด จึงเอ่ย “วันนี้เกิดเื่กับครอบครัวคุณหนูหลิว กระหม่อมกลับมาจึงบอกกล่าวกับหลิวเหรินกุ้ยไปว่า เห็นเกวียนวัวด้านนอกลากสามีภรรยาคู่หนึ่งเข้ามา ได้ยินว่าสามีภรรยาที่ป่วยคือคนในหมู่บ้านสามสิบลี้”
“เขามาถามเ้าทีหลังหรือ?” ซูจื่อเยี่ยกล่าวอีกครั้ง
เกาจิ่วตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ เขาถามลักษณะของสองสามีภรรยา กระหม่อมบอกเล่าลักษณะหน้าตาและรูปลักษณ์ของนายท่านหลิวกับนายหญิงหลิวให้เขาฟัง เพียงแต่...”
ซูจื่อเยี่ยคำรามในลำคออย่างเ็า เพียงแต่อะไร ถึงอย่างไรคนอย่างหลิวเหรินกุ้ยก็คงไม่เคยเห็นแก่สายสัมพันธ์นี้อยู่แล้ว อืม คนในตระกูลหลิวมีเพียงครอบครัวของหลิวซานกุ้ยที่แตกต่าง
เขานึกถึงภาพของหลิวซานกุ้ย จากนั้นแววตาก็ฉายประกายแวบหนึ่ง
“แม้ว่าเราจะทำกิจการอย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้เปิดกว้างมากพอที่จะรับคนที่ไม่เห็นแก่เืเนื้อเดียวกันเช่นนี้ เหรัญญิกจงใช่หรือไม่ เช้าวันรุ่งขึ้นเ้าไปรับงานต่อจากหลิวเหรินกุ้ยนั่น ข้าให้เวลาเ้าหนึ่งเดือน ให้หลิวเหรินกุ้ยทำบัญชีชี้แจงออกมาให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง”
เหรัญญิกจงตอบรับคําสั่งของซูจื่อเยี่ย
ซูจื่อเยี่ยมองดูทั้งสองคนเดินออกไป ความเยือกเย็นแผ่ซ่านในใจอีกครั้ง กล้ากระตุกหนวดเสือ เขาจะทำให้คนเ่าั้ร้องหา์ ์ไม่ไยดี โอดครวญกับผืนพสุธา พสุธาก็ไม่แยแส
อีกด้านหนึ่ง ทางฟากของหลิวเต้าเซียง
หลังจากที่หลิวซานกุ้ยและจางกุ้ยฮัวกินยาแล้ว พวกเขาก็นอนหลับสบายจนถึงรุ่งเช้า
ยามที่ไก่ขันสามครั้ง ดวงอาทิตย์ดุจไข่แดงขึ้นจากขอบฟ้า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านตื่นแล้วหรือ?”
หลิวเต้าเซียงตักน้ำเข้ามา เดิมทีอยากเช็ดหน้าให้ทั้งสอง แต่ไม่คิดว่าเสียงเปิดประตูจะทำให้คนในห้องตื่น
“โอ๊ย เหตุใดจึงปวดศีรษะเช่นนี้?”
จางกุ้ยฮัวได้ยินเสียงของบุตรสาว เมื่อเห็นว่าฟ้าสางแล้ว ในใจก็พะวงเื่บ้านที่กำลังต่อเติม จึงรีบลุกจากเตียงและพบว่าตนเองไม่สบายเนื้อสบายตัวอย่างยิ่ง
หลิวเต้าเซียงถือน้ำและรีบเดินไป “ท่านแม่ รีบนอนลงเร็ว ท่านหมอบอกว่า หลายวันนี้ต้องพักฟื้นให้ดี”
อาหารเป็พิษของหลิวซานกุ้ยนั้นเบากว่าของจางกุ้ยฮัว เขารับรู้เหตุการณ์เมื่อวานที่เกิดขึ้นกว่าครึ่ง ต่อมากินยาแล้วจึงผล็อยหลับไป
“กุ้ยฮัว เรากินอาหารไม่ดีเข้าไป จึงถูกนำตัวมาส่งที่โรงหมอ”
หลิวซานกุ้ยยากที่จะพูดออกมา เขารู้มาโดยตลอดว่ามารดาของตนไม่ชอบจางกุ้ยฮัว แต่ไม่เคยคาดคิดว่านางจะลงมือได้อย่างเหี้ยมโหด ไม่รู้ว่านางโกรธเกลียดอะไรครอบครัวเขานัก ถึงขั้นก่อเื่ฆ่าคนเช่นนี้
“ท่านพ่อ ท่านยังจะคิดปิดบังท่านแม่อยู่อีกหรือ?”
หลิวเต้าเซียงโกรธและวางกะละมังไม้ไว้บนตู้เตี้ยๆ ข้างเตียง น้ำในกะละมังก็กระเด็นไปทั่ว “ทั้งที่ท่านย่าเป็คนทำ ท่านพ่อ ท่านอย่าลืมนะ ท่านย่านั้นมาจากจวนตระกูลหวงที่สูงศักดิ์ ข้าถามท่านหมอแล้ว เขาบอกว่า มีเพียงตระกูลใหญ่โตเ่าั้จึงจะรู้เื่ราวเช่นนี้”
สำหรับความโกรธของบุตรสาวของเขา หลิวซานกุ้ยรู้สึกละอายใจยิ่งนัก
“ซานกุ้ย ที่ลูกเราพูดมาคือความจริงหรือไม่?”
จางกุ้ยฮัวอดทนต่ออาการปวดศีรษะ แล้วถลึงตามองหลิวซานกุ้ยที่อยู่อีกเตียงหนึ่ง ก่อนจะด่าอย่างดุเดือด “จนถึงตอนนี้แล้ว เ้ายังคิดจะปิดบังอยู่อีก เ้ายังเห็นไม่ชัดอีกหรือ? แม่เ้าคิดร้ายต่อเราสองคน เ้าเคยคิดหรือไม่ว่าต่อไปลูกสาวทั้งสามคนจะเป็เช่นไร?”
“กุ้ยฮัว ข้าก็โกรธมากเช่นกัน แต่ข้าจะทำอะไรได้ นางคือแม่แท้ๆ ของข้า ใต้หล้าไม่มีใครมองว่าบิดามารดาเป็ผู้ผิด ยิ่งไปกว่านั้น เื่การกินอาหารที่ชงกันก็ไม่อาจนำไปฟ้องร้องที่ศาลในอำเภอได้ ข้าคิดว่าถึงอย่างไรเราก็จะย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว ต่อไปก็ไปมาหาสู่ให้น้อยลงก็พอ”
หัวใจของหลิวซานกุ้ยใช่ว่าจะไม่เกลียดชัง แต่ความเกลียดชังของเขาไม่สามารถระบายออกได้จริงๆ
เพียงเพราะหลิวฉีซื่อเป็มารดาของเขา
เขาจะล้างแค้นด้วยมือของเขาเองได้หรือ?
ไม่ได้!
เขาไม่สามารถทำสิ่งที่ฆ่าแม่ตนเองได้
นอกจากความโกรธแค้นที่มีต่อหลิวฉีซื่อ เขาจะทำอะไรได้อีก?
ไม่ได้เลย!
เพราะแนวทางปฏิบัติของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์โจวคือ ความกตัญญูกตเวทีอยู่เหนือสิ่งอื่นใด!
เขาไม่อาจผลักลูกเมียลงไปในกองไฟเพียงเพราะความโกรธแค้นชิงชังในใจ
บุตรสาวของเขายังเด็กและ้าการปกป้องจากเขา
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงอดทนเท่านั้น จนถึงวันที่ตนเองสามารถปกป้องภรรยาและลูกๆ ได้
เขาไม่เคยมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าขนาดนี้มาก่อน
ความปรารถนาที่จะข้ามสะพานแห่งความเด็ดเดี่ยว และสามารถพิชิตเข้าไปอยู่ในราชสำนักที่ผู้คนเลื่อมใส
บางครั้งการเปลี่ยนแปลงของคนเราก็เกิดจากการถูกบีบบังคับ
ก่อนหน้านั้น หลิวซานกุ้ยไม่เคยคิดว่าตนเองจะสามารถสอบผ่านการเป็จิ้นซื่อ เขาหวังเพียงแค่ซิ่วไฉหรือจวี่เหรินเท่านั้น เมื่อมียศชั้นนี้ บุตรสาวก็จะได้หมั้นหมายกับคู่ครองที่ดีได้
แต่ในขณะนี้ความปรารถนาของเขาในการสอบชิงเหรียญทองนั้นแรงกล้าอย่างมาก
หลิวเต้าเซียงวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจน แผนชั่วของหลิวฉีซื่อคือ การให้ครอบครัวของนางได้กินอาหารอย่างเปิดเผย ขณะที่คนในตระกูลหลิวคนอื่นๆ ก็กินกันหมด
เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเต้าหู้ มันเทศและลูกพลับ เมื่อกินพร้อมกันจะกลายเป็พิษ
เช่นเดียวกับจางกุ้ยฮัวที่อาเจียนเป็เื หมอจ้าวที่ซูจื่อเยี่ยพามาก็บอกแล้วว่า ของสามอย่างนี้หากกินผสมกันอาจจะคร่าชีวิตได้เลย
เฮอะๆ หลิวฉีซื่อนั้นอำมหิตเพียงใดถึง้าให้บิดามารดาของนางไปตาย
“ท่านแม่ ท่านพ่อพูดถูก ตอนนี้ท่านทำใจพักฟื้นให้ดี อีกอย่าง ต่อไปเราจะย้ายออกไปอยู่ตรงข้ามริมแม่น้ำ หากท่านแม่ไม่ชอบ เราก็ไปบ้านท่านย่าให้น้อย”
มันเป็ไปไม่ได้ที่จะทำลายความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง
คนที่ไม่มีตระกูลไม่อาจเป็ขุนนางในราชสำนักได้ เพราะว่าคนจะรู้สึกว่าคนประเภทนี้ขาดคุณธรรม ไม่ทำใจกว้างพอสำหรับคนในตระกูล
จางกุ้ยฮัวมองไปที่หลิวเต้าเซียงและทอดถอนใจอย่างต่อเนื่อง บุตรสาวของนางเพิ่งจะแปดขวบ แต่ต้องมาประสบกับเื่ราวเช่นนี้ นางรู้สึกว่าตนเองที่เป็มารดากลับปกป้องบุตรสาวไม่ได้
“ลูกเราพูดถูก ต่อไปครอบครัวของเราจะปิดประตูและไม่สนใจคนเ่าั้อีก”
หลิวเต้าเซียงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่บิดน้ำออกให้นางและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ รีบเช็ดหน้าก่อน อีกเดี๋ยวโจ๊กก็ต้มเสร็จแล้ว น่าเสียดาย ท่านหมอบอกว่าอาหารเ่าั้ทำลายอวัยวะภายใน ท่านแม่กับท่านพ่อต้องกินอาหารจืดไปก่อน รอท่านแม่หายดี ลูกจะเข้าครัวและทำอาหารที่เป็เนื้อล้วนให้ท่านพ่อกับท่านแม่”
ความโกรธในใจของจางกุ้ยฮัวสลายไป เพราะคําพูดของบุตรสาวคนรอง
หลิวเต้าเซียงเป็คนว่าง่ายจริงหรือ?
เปล่าเลย นางไม่ใช่คนดี
ดังนั้นนางจึงไม่จําเป็ต้องผูกมัดตัวเองกับศีลธรรมอันสูงส่ง
นางก้มลงมองไปที่กะละมังไม้ น้ำในกะละมังสะท้อนคนที่รูปโฉมงดงาม
แต่เมื่อเอื้อมมือออกไปกวักน้ำ นางไม่้าสวมมงกุฎแห่งคนดี นาง้าความสาแก่ใจและความสบายใจของตนเองเป็ที่ตั้ง กฎเกณฑ์บ้าบออะไรเทือกนั้นไสหัวไปให้ไกล
ชีวิตของหลิวฉีซื่อต่อจากนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่มีทางได้อยู่อย่างสงบสุข เพราะไปกระตุกหนวดเสือ ทำให้หลิวเต้าเซียงขุ่นเคือง
หลิวเต้าเซียงไม่อาจไปโวยวายต่อหน้าหลิวฉีซื่อได้ และไม่มีทางบอกกับคนในหมู่บ้านว่าหลิวฉีซื่อจงใจวางยาพิษบิดามารดาตนเอง
นางไม่มีหลักฐานเพียงพอที่พิสูจน์ได้ว่าหลิวฉีซื่อมีใจมุ่งร้ายต่อคนทั้งสอง
คนหนึ่งนั้นเป็บุตรชาย อีกคนหนึ่งเป็ลูกสะใภ้
พูดออกไปใครก็คงไม่เชื่อ หลิวเต้าเซียงจึงไม่อยากเปลืองน้ำลาย
นางต้องรวบรวมสมาธิ ลับมีดให้คม มีดเล่มที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่หลั่งเื
-----
เชิงอรรถ
[1] กว้าน 冠 คือที่รัดเกล้าศีรษะของผู้ชายในสมัยโบราณ มีหลากหลายลวดลาย แต่ของซูจื่อเยี่ยจะเป็ลวดลายัสองตัวยื้อแย่งไข่มุก ดังรูป

