หนิงมู่ฉือเดินกลับมาที่ห้องครัวอย่างหงอยเหงา แม้ได้เจอผักสดใหม่ที่วางกองอยู่ ใจคอนางก็ยังห่อเหี่ยว
จ้าวซีเหอเดินตามเข้ามา เห็นท่าทางเศร้าสร้อยของหนิงมู่ฉือก็ขมวดคิ้ว จึงจงใจกระแอมเสียงดังออกมา “เ้าเป็แม่ครัวไม่ใช่หรือ เหตุใดยังไม่ทำอาหารอีก ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!”
หนิงมู่ฉือเห็นแล้วให้รู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก สีหน้าเปลี่ยนเป็โมโห หยิบหัวหอมที่ปอกเปลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วมาเขวี้ยงใส่ชายหนุ่ม
จ้าวซีเหอยืนนิ่งปล่อยให้หญิงสาวขวางหัวหอมใส่ได้ตามสบาย ทั้งๆ ที่เขาจะหลบก็ได้ หัวหอมถูกเขวี้ยงมาโดนตัว ก่อนจะตกลงพื้นแหลกละเอียด กลิ่นฉุนกึกเสียดแทงจมูกลอยอวลไปทั่วทั้งห้องครัว แม้แต่เสื้อผ้าสีขาวนวลของเขาก็มีกลิ่นหัวหอมติดมา
เขาขมวดคิ้วกับกลิ่นหัวหอม ก่อนจะะโใส่หน้าหนิงมู่ฉือเสียงดัง “หนิงมู่ฉือ เ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
หนิงมู่ฉือแค่นเสียงฮึ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ยกมือปิดหูอย่างไม่อยากฟังที่จ้าวซีเหอพูด
เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาว ดึงมือที่ปิดหูออก แล้วจับตัวนางให้ลุกขึ้นยืน
หนิงมู่ฉือดิ้นอย่างแรงราวกับไก่ที่กำลังจะถูกนำไปฆ่าทิ้ง พร้อมทั้งะโออกมาว่า “จ้าวซีเหอ ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!
เขาพลันปล่อยมือ หญิงสาวจึงล้มลงก้นกระแทกพื้น ร้องอย่างเ็ปออกมา
หนิงมู่ฉือปัดเศษดินเศษฝุ่นที่ติดอยู่ตามตัว ก่อนจะลุกขึ้นยืนตัวตรง จากนั้นเข้าไปเอาเื่จ้าวซีเหอทันที “ท่านทำอะไรของท่าน เห็นข้าล้มแล้วมีความสุขมากนักหรืออย่างไร!”
เห็นหญิงสาวโกรธตัวเองจริงๆ จ้าวซีเหอยิ้มพร้อมกับเชยคางนางขึ้น “ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น คิดเป็จริงเป็จังไปได้!”
“จ้าวซีเหอ ที่ท่านไปรับข้ากลับมาจากเยี่ยนฉือก็เพื่อให้ข้ามาเป็แม่ครัวที่ยุ่งวุ่นวายทำงานงกๆ อยู่ในห้องครัวเช่นนี้หรือ” หนิงมู่ฉือกล่าวเสียงดังอย่างไม่พอใจ ขณะที่ในใจคิดถึงท่านตาที่อยู่ที่เยี่ยนฉือ ทว่าอีกใจก็คิดถึงแผนในการแก้แค้นให้บิดา ในใจนางตอนนี้กำลังต่อสู้ขัดแย้งกันไม่หยุด
สีหน้าจ้าวซีเหอราบเรียบ ที่แท้นางก็ไม่ยินยอมที่จะอยู่ข้างกายเขา
“ข้าขอถามเ้า เหตุใดเ้าต้องเข้าวังด้วย เ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นเ้าได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไรบ้าง!” ทั้งแววตาและใบหน้าของจ้าวซีเหอแดงก่ำด้วยความโกรธ
นางน้ำตาไหลด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ใช่ ข้าอยากเข้าวัง มีปัญหาหรือไม่!”
จ้าวซีเหอกระตุกยิ้มมุมปาก ถอยหลังสองก้าว ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าล้ำลึก “เ้าอยากจะเข้าวังไปหาพระสนมเต๋อเฟยสินะ ข้ารู้ว่าเ้าอยากเอาฐานะบ่าวที่มีความผิดติดตัวออกจากตัวเอง”
“ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้ว พวกเรายังมีเื่ใดต้องพูดกันอีก” นางผลักจ้าวซีเหอออก เพื่อจะออกจากห้องครัว คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะจับชายแขนเสื้อนางเอาไว้
“ฉือเอ๋อร์ รับปากข้าว่าเ้าจะอยู่เคียงข้างข้าแล้วข้าจะช่วยเ้าเอาฐานะนี้ออกจากตัวให้” แววตาจ้าวซีเหอเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ น้ำเสียงตอนที่เอ่ยประโยคนี้สั่นเครือ สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงจังและอ่อนโยน
ทว่าสำหรับหนิงมู่ฉือแล้ว มันคือการดูถูก การที่นางจะเอาฐานะนี้ออกจากตัว มีแต่ต้องใช้ตัวของนางไปแลกมาเท่านั้นหรือ...ไม่มีทาง
นางแค่นเสียงหัวเราะอย่างเ็า “ซื่อจื่อช่างใจกว้างนัก แม้ข้าจะเป็บ่าวที่มีความผิดติดตัว แต่ข้าไม่ยอมรับการแลกเปลี่ยนเยี่ยงนี้เด็ดขาด ขอซื่อจื่อได้โปรดให้เกียรติข้าด้วย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะเ้าคะ” นางพยายามสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุมของจ้าวซีเหอ ทว่ากลับถูกชายหนุ่มดึงเข้าไปกอดเอาไว้แน่น
“ท่าน้าตัวข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ดวงตาจ้าวซีเหอแดงก่ำด้วยความโมโห ซึ่งครั้งนี้เขาโมโหจริงๆ น้ำเสียงสั่นเทาด้วยความโกรธจัด “เ้าช่างเก่งกาจนัก ข้านับถือเ้าจริงๆ เ้าเป็คนแรกที่ทำให้ข้าโมโหได้ถึงเพียงนี้!”
หนิงมู่ฉือไม่คาดคิดว่าจ้าวซีเหอจะโมโหถึงเพียงนี้ นางตาโตด้วยความใ
“ช่างเถิด ในเมื่อเ้าคิดเช่นนี้ ข้าจะไม่ช่วยเ้าแล้ว” เดิมทีจ้าวซีเหอคิดว่าต่อให้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะช่วยนางให้หลุดพ้นจากฐานะบ่าวที่มีความผิดติดตัว แต่เขาไม่คิดเลยว่าในใจของนาง เขาจะเป็บุรุษเช่นนั้น
เขาปล่อยตัวนาง ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
หนิงมู่ฉือรู้ตัวว่าตัวเองทำร้ายความรู้สึกจ้าวซีเหอเข้าให้แล้ว นางยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างทำอะไรไม่ถูก นายเอ่ยปากเรียกชายหนุ่มขณะกำลังจะเดินออกไป “ซื่อจื่อ”
จ้าวซีเหอหยุดเดิน “มีธุระอันใด”
“ข้าขอโทษเ้าค่ะ” นางก้มหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ใบหน้าที่แข็งกร้าวของจ้าวซีเหออ่อนลงไม่น้อย ทว่าก็ยังคงไม่หันกลับไป “อย่าคิดว่าเอ่ยเช่นนี้แล้วข้าจะช่วยเ้า!”
แม้ปากจะพูดออกไปเช่นนั้น ทว่าในใจกลับดีใจเป็อย่างยิ่ง เขายิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี แม้แต่ก้อนหินที่ตั้งอยู่ข้างทางเขาก็เห็นว่ามันน่ารัก
หนิงมู่ฉือยกมือลูบอกตัวเองอย่างปลอบโยน ทั้งบอกให้ตัวเองเลิกคิดมากได้แล้ว ในเมื่อนางไม่อาจเข้าวังได้ เช่นนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับจ้าวซีเหอแล้วว่าจะช่วยนางหรือไม่ นางขบคิดพร้อมกับตัดสินใจว่าจะทำอาหารมื้อใหญ่ให้ชายหนุ่มสักมื้อเพื่อติดสินบนเขา
ถึงแม้จ้าวซีเหอจะบอกกับนางว่าจะไม่ช่วย แต่นางเชื่อว่าอย่างไรเขาก็ต้องช่วยนางแน่
นางทำอาหารขณะขบคิดเื่นี้ในใจ
จ้าวซีเหอปิดประตูห้องตัวเองให้แน่นสนิท ก่อนจะเรียกฉีอันให้มาหาด้วยเสียงเบาๆ “ฉีอัน เ้านำจดหมายนี้ไปส่งให้ใต้เท้าเมิ่งเคอที่ศาลต้าหลี่ บอกว่าให้ไปเจอกันในห้องส่วนตัวในหอจุ้ยหง”
ฉีอันพยักหน้า รับจดหมายมาเก็บไว้อย่างดี ก่อนจะออกจากตำหนักอ๋องตรงไปที่ศาลต้าหลี่
เมิ่งเคอกำลังฝึกเขียนพู่กันจีนอย่างตั้งอกตั้งใจ ครั้นแลเห็นฉีอันกำลังวิ่งมาทางนี้ เขายิ้มก่อนจะรีบเขียนตัวอู่ของหลงเฟยเฟิ่งอู่[1] ให้เสร็จ จากนั้นหันไปพูดอวดกับฉีอันว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าตัวหนังสืออู่เป็ตัวหนังสือที่เขียนได้ยากมาก แต่ข้ากลับเขียนเสร็จภายในเวลาไม่นาน”
ฉีอันเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามหน้าผาก เอ่ยชมด้วยสีหน้าไม่ใคร่จะใส่ใจนัก “ใต้เท้าเมิ่งเขียนได้ยอดเยี่ยมมากขอรับ”
เมิ่งเคอยิ้มอย่างดีใจขณะเดินไปหาฉีอัน เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ซื่อจื่อส่งเ้ามาใช่หรือไม่ มีธุระใดหรือ”
ฉีอันหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้เมิ่งเคอพลางกล่าวว่า “เย็นวันนี้ซื่อจื่อ้าให้ท่านไปพบที่หอจุ้ยหงขอรับ”
เมิ่งเคอยกยิ้มมุมปากก่อนจะหัวเราะออกมา “ซื่อจื่อไปรับนางกลับมาจากเยี่ยนฉือแล้วใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดถึงยังไปที่หอจุ้ยหงอีกเล่า หรืออยากเปลี่ยนบรรยากาศ”
ใบหน้าฉีอันขึ้นสีแดงเข้มขณะพยักหน้า “ใต้เท้าเมิ่ง ข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ”
[1] หลงเฟยเฟิ่งอู่ แปลว่า มีชีวิตชีวาและมีพลัง