การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้หลายคนเกิดความสงสัย
เหตุใดจึงมีหมอกลอยมารับหลัวเลี่ยขึ้นไปฝึกฝนในอากาศ
ณ ที่แห่งนี้มีคนที่แข็งแกร่งจริงๆ อยู่ไม่น้อยและพวกเขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการฝึกฝนในหมอกนั้นได้ผลลัพธ์ดีกว่าการฝึกฝนในสภาพแวดล้อมปกติมาก แน่นอนว่าการฝึกฝนเช่นนี้ย่อมเป็ตัวช่วยให้หลัวเลี่ยพัฒนามากขึ้น
บางคนก็สงสัยว่าสิ่งที่ไก้อู๋ซวงทำอยู่นี้คือการมอบโอกาสให้แก่หลัวเลี่ยเพื่อความยุติธรรมในการต่อสู้หรือไม่
กล่าวคือผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หลัวเลี่ยไม่สนใจทุกคนอีกต่อไป เขาเข้าฌานไปฝึกฝนอย่างรวดเร็ว แม้ว่ากลุ่มเต่าสุพรรณจะ้าหาโอกาสทำให้หลัวเลี่ยอับอาย แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถทำได้อีกแล้ว เพราะหากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นอีก พวกเขาคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่
นี่เป็เหตุผลที่ทำให้กลุ่มเต่าสุพรรณส่งเสียงโห่ร้องออกมา พวกเขาค่อยๆ ปลดปล่อยไอพลังออกมาทีละคน จากนั้นร่างของพวกเขาก็เปล่งแสงเรืองรองจนผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างไม่อาจจ้องมองได้
ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยหลัวเลี่ย
ความจริงแล้วแม้แต่หลัวเลี่ยเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็เช่นนี้ไปได้
เขาแค่ตามหาระฆังจักรพรรดิประจิมและทำตามความรู้สึกแปลกๆ ที่เกี่ยวกับจักรพรรดิประจิมไท่อีซึ่งทำให้เขารู้ได้ด้วยตนเองว่าหมอกนี้จะช่วยพัฒนาการฝึกฝนพลังของเขามากขึ้น และไม่เพียงจะช่วยพัฒนาความแข็งแกร่ง มันยังช่วยให้หลัวเลี่ยเข้าใจระฆังจักรพรรดิประจิมมากขึ้นอีกด้วย กล่าวได้ว่าทำให้เขาพัฒนาทักษะรอบด้าน นอกจากนี้เขายังฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมอยู่ การฝึกฝนในหมอกเช่นนี้จึงยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาพลังอย่างแน่นอน
สิ่งนี้ทำให้เขาไม่ได้สนใจคนอื่น
ผู้คนที่อยู่ในจัตุรัสเหยียนหลงมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่ออยู่สักพักหนึ่ง
ยังเหลือเวลาอีกแปดถึงเก้าวันก่อนที่ไก้อู๋ซวงจะถือกำเนิดขึ้นเป็ครั้งที่สอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเสียเวลาที่นี่ได้อีกแล้ว
“หลัวเลี่ย ไม่ใช่ว่าข้าจะอยากรบกวนเ้านะ แต่เ้าคิดจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าไก้อู๋ซวงกลัวเ้าหรือ” ชางจื่อเฟิงมองไปยังขุนพลแห่งตระกูลโม่ทั้งสี่คน จากนั้นเขาก็กระตุกยิ้มเย็นออกมา “ก็แค่เหล่าพี่น้องไร้นามของเ้าไม่กี่คนที่พอมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่มีทางที่พวกเ้าจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าเ้าแข็งแกร่งได้หรอก”
เหลยเจิ้นจื่อและคนอื่นๆ ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินประโยคนี้
ชางจื่อเฟิงกำลังรบกวนการฝึกฝนพลังของหลัวเลี่ยชัดๆ
หากขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ถูกเพ่งเล็ง ถูกทำให้อัปยศอดสู หรือแม้กระทั่งถูกสังหารก็อาจเป็ตัวกระตุ้นให้หลัวเลี่ยคลั่งได้ กลอุบายนี้ไม่เพียงร้ายกาจแต่ยังต่ำช้ามาก
“ฐานะขององค์ชายสูงส่ง ดังนั้นพวกไม่รู้ความทั้งสี่คนนี้ก็ปล่อยให้เป็หน้าที่ของกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” โหยวเช่าหลงที่เคยโจมตีหลัวเลี่ยก่อนหน้านี้ก้าวเท้าออกมาแสดงตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแสดงถึงการประจบประแจง
“อ่า เป็เ้าก็ไม่เลว ไปเถิด สั่งสอนพวกมันเสียหน่อย เ้าเข้าใจหรือไม่” ชางจื่อเฟิงตบเข้าที่ไหล่ของโหยวเช่าหลง
“องค์ชายโปรดวางใจ กระหม่อมสัญญาว่าจะทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
โหยวเช่าหลงหันกลับมาเผชิญหน้ากับขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ด้วยท่าทางน่ารังเกียจ
เหลยเจิ้นจื่ออยากจะห้ามโหยวเช่าหลงแต่เขาก็ถูกผู้าุโจากอาณาจักรโจวห้ามเอาไว้ก่อน
แม้แต่คนจากสำนักอูอวิ๋นเซียก็ไม่ห้ามเขา ดังนั้นหากคนอื่นออกหน้าห้ามในตอนนี้ก็เท่ากับว่าคนคนนั้นอยู่ฝั่งเดียวกับหลัวเลี่ย
คนในกลุ่มเต่าสุพรรณปฏิบัติก็ต่อพวกเขาอย่างเ็าเช่นกัน
คนที่มุงอยู่พากันถอยหลังอย่างรวดเร็วทันทีเพื่อทำให้เกิดพื้นที่ว่างกว้างขึ้น
เมื่อเห็นว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่จึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน
“พวกเราทั้งสี่จะร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน” โม่หลี่ชิงะโขึ้นมา
“ฮ่าๆ การจัดการสั่งสอนคนอ่อนแอจากแคว้นเล็กๆ เช่นพวกเ้านับว่าน่าสนใจทีเดียว” โหยวเช่าหลงเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
แม้ว่าแคว้นจินหลานจะเจริญรุ่งเรืองกว่าแคว้นเป่ยสุ่ยหลายเท่า แต่ในเมื่อนำแคว้นจินหลานมาเทียบกับแคว้นเหยียนหลงที่แข็งแกร่งเป็อันดับต้นๆ แล้ว ถือได้ว่าแคว้นจินหลานเทียบแคว้นเหยียนหลงไม่ติดเลยสักนิด ดังนั้นอัจฉริยะจากแคว้นจินหลานจึงมักจะดูถูกอัจฉริยะที่มาจากแคว้นอ่อนแอกว่าเสมอ
ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ชำเลืองมองหน้ากัน พวกเขาต่างรับรู้ถึงช่องว่างของความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขาและโหยวเช่าหลง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เป็ฝ่ายลงมือก่อน
ตอนที่ขุนพลทั้งสี่ได้พบกับหลัวเลี่ยเป็ครั้งแรก พวกเขาต่างมีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับที่เจ็ดของระดับผู้ฝึกตน ต่อมาเมื่อพวกเขาได้เข้าไปฝึกฝนที่ถ้ำลับในแคว้นจินหลาน พลังของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นมาก จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็เป็เวลาครึ่งปีแล้ว แน่นอนว่าพลังของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาต่างมีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับที่สิบของระดับผู้ฝึกตนแล้ว
แต่โหยวเช่าหลงมีพลังวรยุทธ์อยู่ในขั้นต้นของระดับหยินหยาง
พลังของพวกเขายังห่างชั้นกันมาก เพราะมันไม่ใช่การห่างชั้นในระดับพลังเล็กๆ แต่มันเป็การห่างชั้นทางขั้นระดับพลังวรยุทธ์
“ช้าเกินไปแล้ว”
โหยวเช่าหลงมองไปยังขุนพลทั้งสี่อย่างดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นเขาก็ยกมือตัวเองขึ้นมาโบกอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างลูกธนูทั้งสี่ลูกยิงตรงไปยังขุนพลทั้งสี่
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลูกธนูทั้งสี่ดอกพุ่งตรงมาหยุดอยู่ด้านหน้าขุนพลทั้งสี่ซึ่งเตรียมพร้อมรับมือมาเวลานานแล้ว พวกเขาโต้กลับอย่างรวดเร็ว
โม่หลี่ไห่และโม่หลี่โชวร่ายคาถาคุ้มกันออกมาพร้อมกัน
หลังที่ทั้งสองร่ายคาถาแล้ว บริเวณด้านหน้าของขุนพลทั้งสี่ก็มีกำแพงแสงโปร่งใสปรากฏขึ้นเพื่อปกป้องพวกเขา
จากนั้นโม่หลี่ชิงและโม่หลี่หงก็ออกแรงโจมตีกลับในทันที
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงะเิดังขึ้นสี่ครั้ง
กำแพงป้องกันโปร่งแสงทั้งสี่แตกออกเป็เสี่ยงๆ
แต่ลูกธนูทั้งสี่ดอกกลับไม่ได้สลายหรือถูกทำลายลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวลูกธนูนี้มีความแข็งแกร่งมาก
ตึง! ตึง!
โม่หลี่ชิงและโมหลี่หงออกแรงปะทะไปอย่างรุนแรง พลังของพวกเขาทำให้ลูกธนูที่อยู่ตรงหน้าตนเองอ่อนแรงลง
พรึ่บ! พรึ่บ!
แต่ทางโม่หลี่ไห่และโม่หลี่โชวกลับหลบหลีกเคลื่อนไหวตัวได้ช้ากว่ามาก แม้ว่าคาถาของพวกเขาจะถูกร่ายออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในระดับหยินหยางแล้ว ก็นับว่าพวกเขายังช้ากว่าอยู่ดี จึงทำให้พวกเขาหลบหลีกลูกธนูทั้งสองดอกที่พุ่งมาทางพวกเขาไม่ได้จนโดนมันถากเข้าที่ไหล่ซ้ายและมีเืซึมออกมาจากาแ มันสร้างความเ็ปให้พวกเขาอย่างมาก แต่ทั้งสองก็กัดฟันอดทนไม่แม้แต่จะคร่ำครวญออกมา
“แข็งแกร่งมาก”
“เพื่อไม่เป็การรบกวนหลัวเลี่ย ต่อให้าเ็แค่ไหนก็อย่าได้ส่งเสียงออกมา”
“ดี ข้าจะรอดูว่าพวกเ้าจะทนได้สักกี่น้ำ”
โหยวเช่าหลงแย้มรอยยิ้มน่ากลัว เขายกคันธนูที่อยู่ในมือซ้ายของตนเองขึ้นมา จากนั้นมือขวาของเขาก็คว้าลูกธนูที่ปลายมีลักษณะแหลมทรงแปดเหลี่ยมออกมา เขาน้าวสายธนูเพื่อจะยิงไปที่ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่
ซู่ๆ...
ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกมาส่งเสียงหวีดหวิวตรงเข้ามาหาขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่
ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่รีบเตรียมรับมือกับลูกธนูที่กำลังจะพุ่งเข้ามาหา
โหยวเช่าหลงแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ธรรมดา เขาคว้าลูกธนูปลายแหลมแปดเหลี่ยมออกมาอีกครั้งแล้วยิงออกไป มันเป็ลูกธนูแหลมคมที่สามารถเจาะทะลุกระดูกหนาๆ ได้
ปังๆ...
ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ร่วมมือกันตั้งรับลูกธนูปลายแปดเหลี่ยม และไม่นานลูกธนูก็มาถึงตัวพวกเขา
ไม่มีประโยชน์ที่จะต้านทาน อันที่จริงลูกธนูปลายแปดเหลี่ยมนั้นเกือบทำให้อาวุธของพวกเขากระเด็นหลุดออกจากมือด้วยซ้ำ ช่องว่างในความแข็งแกร่งทางพลังของพวกเขาใหญ่มาก และนี่ก็คือความแตกต่างทางพลังวรยุทธ์เมื่อมีพลังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ
ปัง ปัง ปัง...
ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ไม่สามารถหลบได้ พวกเขาต่างถูกลูกธนูพุ่งเข้ามาโจมตี
ลูกธนูนี้เรียกว่าธนูเขี้ยวหมาป่า มันเป็ลูกธนูที่สามารถทะลวงไปจนถึงกระดูกได้
ลูกธนูปักไปที่บริเวณชายโครงทางด้านซ้ายและขาข้างขวาของโม่หลี่ชิง แขนทั้งสองข้างของโม่หลี่ไห่ ไหล่ด้านขวาและมือด้านซ้ายของโม่หลี่หง และไหล่ด้านขวารวมถึงต้นขาข้างซ้ายของโม่หลี่โชวก็ถูกลูกธนูพุ่งเข้าไปปักทะลุกระดูกจนเนื้อด้านหลังเปิดออก
ขุนพลแห่งตระกูลโม่ทั้งสี่คนลอยกระเด็นออกไปไกลกว่าสามจั้งด้วยพลังอันแข็งแกร่งของลูกธนู ทุกคน ร่วงลงพื้นอย่างแรง มันเ็ปมาก
แต่ขุนพลแห่งตระกูลโม่ทั้งสี่คนก็ไม่แม้แต่จะหลุดอุทานออกมา พวกเขาทำเพียงกัดฟันและยืนหยัดต่อไปและรักษาาแด้วยความเ็ป
“ข้าประทับใจในความภักดีของพวกเ้าจริงๆ”
“แต่ช่างน่าเสียดาย ใครใช้ให้พวกเ้ายอมตายเพื่อหลัวเลี่ยกันเล่า”
“ข้าจึงทำได้เพียงเล่นสนุกกับพวกเ้าต่อไป”
โหยวเช่าหลงหยิบลูกธนูเขี้ยวหมาป่าออกมาอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ง้างคันศรออกและเล็งไปที่ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่
ชางจื่อเฟิงโบกมือและพูดอย่างเ็าว่า “ข้าจะให้โอกาสพวกเ้าอีกครั้ง ขอเพียงพวกเ้าพูดว่าหลัวเลี่ยคือไอ้ชั่วที่สมควรตาย แล้วข้าจะปล่อยพวกเ้าไป แต่หากพวกเ้าไม่พูด ข้าก็จะปล่อยให้ลูกธนูกัดกินจิตใจของพวกเ้าไปเรื่อยๆ แทน”
ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ต่างตัวสั่นและเหงื่อซึมไปทั่วทั้งตัว พวกเขาหันมามองหน้ากันและยิ้มด้วยความเ็ป
“พวกข้าทั้งสี่รู้อยู่แล้วว่าต่อให้พวกข้ามาก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก แต่พวกข้าก็มายืนอยู่ตรงจุดนี้แล้ว” โม่หลี่ชิงกล่าว “นิสัยของคุณชายหลัวทำให้พวกเราประทับใจมาก และแน่นอนว่า พวกเ้าคงไม่เข้าใจเื่นี้”
ชางจื่อเฟิงโกรธมาก “ยิงธนูใส่พวกมันเดี๋ยวนี้ ข้าจะคอยดูว่าพวกมันจะทนไปได้อีกสักเท่าไร”
โหยวเช่าหลงน้าวสายธนูทันที
โม่หลี่ชิง โม่หลี่ไห่ และโม่หลี่หงที่ล้มลงด้วยความเ็ปต่างยกมือขึ้น
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทันใดนั้นลำแสงสีขาวสามลำก็ยิงไปที่โหยวเช่าหลงด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการ
“ยังกล้าที่จะต่อต้านอยู่อีกหรือ”
โหยวเช่าหลงเยาะเย้ย เขาเอียงลำตัวเบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่ออยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะยิงธนู แต่ในตอนที่เขากำลังจะปล่อยลูกธนูออกจากคันธนูนั้น เขากลับรู้สึกเจ็บคอ ดวงตามืดลง เรี่ยวแรงทั้งร่างของเขาหายไป พลังชีวิตของเขาหมดลงทันที เขาเห็นเพียงหมาจิ้งจอกสีม่วงทองตัวหนึ่งที่กำลังกัดคอของเขาเท่านั้น
ตุบ!
โหยวเช่าหลงล้มลงบนพื้นและเสียชีวิตลงในทันที
จิ้งจอกทองหูเตียวจื่อจินกลับไปอยู่ในมือของโม่หลี่โชวอีกครั้ง
ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่มองหน้ากันแล้วแย้มรอยยิ้มออกมา
“ถึงตายก็ยังลากเ้านั่นไปด้วยได้ พวกเราทำสำเร็จแล้ว”
ชางจื่อเฟิงโกรธมาก “สับร่างของพวกมันแล้วเอาไปให้หมากิน ข้าอยากให้มันร้องดังๆ ให้ดังจนหลัวเลี่ยได้ยิน!”