เวินโฮ่วหันกลับมาถาม “มีเื่อะไรอีก!”
หลินหยางทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางกล่าวว่า“ในเมื่อเ้าเป็ถึงนายน้อยตระกูลเวิน เื่ใหญ่อย่างการประลองยุทธ์นี่ควรทำให้มันดูเหมาะสมกว่านี้ไม่ใช่รึ ตัวข้าเป็เพียงคนธรรมดาๆคนหนึ่งแต่ต้องมาฝืนประลองกับเ้า ถ้าข้าชนะข้าก็ควรได้อะไรตอบแทนบ้าง”
“เ้า!!”เวินโฮ่วไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับพวกโลภมากอย่างนี้ขนาดเวินชิงชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังมองหลินหยางด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เ้าเด็กนี่ภายนอกก็ดูน่าจะเป็คนเรียบร้อยแต่ความจริงกลับเป็พวกละโมบโลภมาก!
“เ้า้าอะไร”เวินโฮ่วกัดฟันถาม เขารู้สึกว่าฟันของเขาใกล้จะถูกตัวเองกัดจนแตกแล้ว
หลินหยางเผยอยิ้มขึ้นรอยยิ้มนั่นดูกวนประสาทจนคนที่ดูโมโหตายได้เลยทีเดียว “ข้าน่ะเป็พวกตรงๆไม่อ้อมค้อมอยู่แล้ว ข้าขอพนันกับโอสถธาตุไฟระดับสองสักหนึ่งร้อยเม็ดก็พอ ขอเยอะไปเ้าก็หาให้ไม่ได้อยู่ดี!”
“เวรเอ๊ยทำไมเ้าไม่ไปปล้นเองเลยละ” เวินโฮ่วโมโหจนหัวแทบสุกแล้ว “โอสถระดับสองหนึ่งร้อยเม็ดอย่างนั้นหรือ ต่อให้จับตัวเ้าไปขายยังได้เงินไม่คุ้มค่าของพวกนี้เลย!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ประลองด้วยแล้วคุณหนูเวิน พวกเราเข้าไปนั่งดื่มชาด้วยกัน พูดคุยสนทนากันดีกว่า”
“เดี๋ยวก่อน! ข้าตกลง!” เวินโฮ่วรู้สึกเหมือนกับว่าหัวของตัวเองกำลังจะถูกเผาจนไหม้เกรียมด้วยไฟแห่งความพิโรธ
เขาลองกลับมาคิดดูอีกครั้งไม่ว่าเขาจะตกลงเงื่อนไขอะไรกับเ้าเด็กนี่ไปก็ไม่เป็ปัญหา ด้วยระดับพลังเขาแล้วเขาสามารถฆ่ามันทิ้งได้ง่ายๆ แน่นอน!
“อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”หลินหยางผงกหัวด้วยความพอใจ “ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะนายน้อยเวินข้าคงไม่ต้องไปส่งท่าน...คุณหนูเวิน พวกเราเข้าไปดื่มชา สนทนาด้วยกันในห้องของท่านดีกว่า”
ผุดดด!
คนรอบข้างเหมือนจะได้ยินเสียงกระอักเืของเวินโฮ่วหลังจากที่เขาออกเดินไปไม่กี่ก้าว
..................................
สวนของเวินชิงชิง ภายในเรือนไม้ที่หลินหยางเพิ่งตื่นขึ้นมาเมื่อครู่
เวินชิงชิงนั่งบนเก้าอี้ที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียวภายในห้องพร้อมด้วยสาวใช้ประจำตัวที่ยืนอยู่ข้างหลังนางส่วนเก้าอี้ที่เหลือถูกทำลายจนพังไปหมดั้แ่ตอนจัดการเก็บกวาดเจาหย่งนั่นแล้ว
เวินชิงชิงในตอนนี้กลับมามีบรรยากาศแบบคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเวินอีกครั้งคางที่ยาวสวยของนาง ใบหน้าที่ดูเยือกเย็นและหยิ่งทะนงภายในดวงตากลมโตคู่นั้นแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของนาง
นางในตอนนี้กำลังหงุดหงิด
หงุดหงิดมากๆ
ก่อนหน้านี้นางไม่พอใจเวินโฮ่วที่มันบังอาจหักหน้าของนางท่ามกลางผู้คนแต่ตอนนี้ นางกลับรู้สึกไม่พอใจในตัวคนที่ยืนอยู่ข้างหน้านางมากยิ่งกว่า
“เ้ามีชื่อว่าอะไร?” นางพยายามข่มอารมณ์ความโกรธของนางลง และถามคำถามไปข้อหนึ่ง
“หลินอี้”หลินหยางเปลี่ยนชื่อตัวเองโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“หลินอี้? เ้ากล้ารับคำท้าของเ้าเวินโฮ่วนั่นได้อย่างไร!” จากที่เห็นนั้นนิสัยของเวินชิงชิงดูเหมือนจะไม่ใช่นิสัยแบบสุภาพสตรีสักเท่าไรพูดไปได้ไม่กี่คำก็เริ่มอารมณ์ขึ้นอีกแล้ว
“เ้ารู้ไหมว่าที่ข้าพาเ้ากลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลเวินนี่ก็เพราะมีเป้าหมายที่สำคัญอยู่? แต่ดูเ้าสิใครใช้ให้เ้าไปรับคำท้าของเวินโฮ่วกัน เ้านั่นมันเป็ยอดฝีมือระดับชุ่ยถี่ขั้นกลางแล้วนะแค่จัดการเจาหย่งได้ก็คิดว่าแน่พอแล้วหรืออย่างไร พลังของเวินโฮ่วอย่างต่ำๆก็น่าจะอยู่ที่ประมาณเจ็ดร้อยกว่าจินแล้ว แม้แต่ข้ายังอาจจะไม่ใช่คู่มือของมันเ้านี่รนหาที่ตายชัดๆ ยังจะกล้าไปพนันโอสถอะไรนั่นอีก...เ้ามัน...เ้ามันน่าโมโหที่สุด!”
เวินชิงชิงระบายอารมณ์ออกมารวดเดียวหมดนางโมโหจนใบหน้าสวยใสนั้นมีสีแดงก่ำ นางเห็นหลินหยางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ตอบโต้อะไรเลย ยิ่งทำให้นางหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก “พูดสิก่อนหน้านี้เ้ายังพูดเก่งอยู่เลยมิใช่รึ?”
หลินหยางเริ่มตอบโต้บ้างแล้ว“มีอยู่เื่หนึ่งที่ข้ายังคาใจอยู่”
“เื่อะไร?”
“วันนั้นที่ข้ายังหมดสติอยู่ข้ารู้สึกเหมือนกับข้ากอดกับสตรีนางหนึ่ง นั่นคือเ้าใช่ไหม?”
เ้าบ้านี่!
เวินชิงชิงสะกดความโกรธเอาไว้ไม่อยู่แล้ว!
กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่แท้ๆเ้าเด็กนี่มันยังคิดเื่บ้าอะไรของมันอยู่!
..................................
ปัง!
ประตูห้องของหลินหยางถูกปิดลงอย่างแรงเหลือแค่เวินชิงชิงกับสาวใช้ของนางที่กำลังยืนหอบหายใจแฮ่กแฮ่กอย่างฉุนเฉียวอยู่หน้าประตู
“ข้าจะบ้าตาย!”
เวินชิงชิงยืนกระทืบเท้าอยู่ตรงนั้นในใจพลางคิดว่านางไปเก็บกุ๊ยข้างถนนแบบนี้มาได้อย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะมันอาจจะเป็บุคคลในตำนานคนนั้น ไม่แน่ว่านางอาจจะเป็คนไล่เ้าเด็กบ้านั่นออกไปเองก่อนเวินโฮ่วก็เป็ได้
“คุณหนูคะท่านใจเย็นๆ ก่อนนะคะ” สาวใช้ของนาง อวิ๋นเอ๋อร์รีบเข้ามาดับไฟร้อนในใจให้คุณหนูของนาง
หึ!
เวินชิงชิงกระแทกเสียงแรงๆดัง หึ ใส่คนที่อยู่ในเรือนไม้นั่นไปหนึ่งที หลังจากนั้นก็เดินจากไป
ตัวนางเองนั้นอายุแค่สิบห้าสิบหกเท่านั้นอีกทั้งยังเกิดในครอบครัวผู้ดีมีชาติตระกูล จึงยังมีความเอาแต่ใจอยู่บ้าง ถึงในเวลาปกติมักจะแสดงท่าทีที่นิ่งสงบและดูสูงส่งแต่จิตใจของนางยังคงเป็แบบเด็กผู้หญิงที่ยังไม่โต
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวอารมณ์ของสาวน้อยก็เริ่มเย็นลงไปเยอะแล้ว จึงหยุดเท้าลง แล้วสั่งงานไปว่า “อวิ๋นเอ๋อร์เดี๋ยวเ้าไปเอา ''ยาเพลิงเมฆา'' สักยี่สิบเม็ดตามที่เ้านั่นบอกไว้ไปให้มันหน่อยนะ”
“เอ๋คุณหนูก่อนหน้านี้ยังบอกว่าเ้านั่นเพ้อเจ้ออยู่เลยไม่ใช่หรือคะทำไมตอนนี้เปลี่ยนใจเสียแล้วเล่าคะ?” สาวใช้อวิ๋นเอ๋อร์เองก็มีหน้าตาสละสลวยงดงามเช่นกันตอนนี้กำลังแอบยิ้มเบาๆ ทำให้เวินชิงชิงเกิดลุกลี้ลุกลนขึ้นมา
“อวิ๋นเอ๋อร์นี่เ้าล้อเลียนข้ารึ ดูสิว่าข้าจะจัดการเ้าอย่างไร!” แค่คำพูดไม่กี่คำของอวิ๋นเอ๋อร์ก็ทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาได้แล้ว ทั้งคู่วิ่งไล่หยอกล้อกันออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
ภายในเรือนไม้
หลินหยางได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างสองสาวอย่างชัดเจนบนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ ให้เห็น ไม่หลงเหลือสีหน้าของคนที่ดูหื่นกามและไม่ได้ความเหมือนก่อนหน้านี้เลย
“ตระกูลเวินนี่น่าจะหมายถึงหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ ร่วมกับตระกูลโอวหยางและตระกูลเฉินแห่งเมืองอวิ๋นเฉิงนี้แน่ๆ”เขาค่อยๆ ทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ตอนที่อยู่กับตระกูลเฉินก่อนหน้านี้เฉินเฉาเกอมันเคยบอกไว้ว่าตระกูลเวินนั้นมีการสืบทอดวิทยายุทธ์และวิชาลับต่อกันมายาวนานหลายร้อยปีแล้วสำนักกังฟูที่มีชื่อเสียงกว่าครึ่งของเมืองอวิ๋นเฉิงล้วนเป็ส่วนหนึ่งของตระกูลเวินทั้งสิ้นโดยหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันคือ เวินติ่งเทียนซึ่งเป็หนึ่งในปรมาจารย์เพียงไม่กี่ท่านของเมืองชูอวิ๋นจวิ้น...เวินชิงชิงนั่นคงจะเป็บุตรีของเวินติ่งเทียนสินะ ถ้าอย่างนั้นนางจะพาเรามาที่นี่ทำไมกันเล่า?”
หลินหยางพยายามจัดระบบความคิดของตัวเองให้เข้าที่อย่างรวดเร็ว“ดูจากสถานการณ์ของข้าในตอนนี้แล้วการจะไปแก้แค้นเฉินเฉาเกอและตระกูลเฉินนั้น ในตอนนี้คงจะเป็เหมือนฝัน แต่ข้าสามารถใช้คฤหาสน์ตระกูลเวินแห่งนี้เป็จุดเริ่มต้นในการล้างแค้นได้...”
และนี่ก็คือสาเหตุที่เขาเลือกที่จะรับคำท้าประลองจากเวินโฮ่วนั่นเอง
ตระกูลเวินคือตระกูลที่ใหญ่โตพอที่จะต้านทานกับตระกูลเฉินได้สำหรับหลินหยางที่มีความทรงจำของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วอยู่แล้วการมีตระกูลใหญ่แค่ตระกูลเดียวเป็ฐานนั้นมันก็มากพอที่จะใช้ในการล้างแค้นตามแผนการของเขาแล้ว
เขาจะต้องอาศัยอยู่ในตระกูลเวินให้ได้ก่อนจากนั้นจึงค่อยๆ วางแผนอย่างรอบคอบไปทีละขั้นตอน เขาจะปักหลักอยู่กับตระกูลเวินอย่างไรเขาจะใช้งานทรัพยากรของตระกูลเวินที่มีอยู่อย่างไรเพื่อที่เขาจะสามารถก้าวเข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าเฉินเฉาเกอและฉีกหน้ากากจอมปลอมนั่นออก ซึ่งถือเป็หนทางที่ยาวไกล เต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรคจำนวนมาก
แต่สำหรับหลินหยางในตอนนี้หากเขา้าที่จะอาศัยอยู่ในตระกูลเวินต่อก็ต้องเอาชนะการประลองในอีกสามวันข้างหน้าให้ได้เสียก่อน
ดูจากลักษณะนิสัยที่โเี้อำมหิตของเวินโฮ่วแล้วการประลองในอีกสามวันให้หลัง มันจะต้องลงมือสังหารเขาให้ตายอย่างอนาถไร้ความปรานีเป็แน่แถมเวินโฮ่วยังเป็ยอดฝีมือระดับชุ่ยถี่ขั้นกลางแล้วอีกด้วยการประลองครั้งนี้มองอย่างไรหลินหยางก็ไม่น่าจะเอาชนะได้
“ชุ่ยถี่ขั้นกลางอย่างนั้นหรือ...อืมมมเวลาสามวันก็เหลือเฟือแล้ว”
หลินหยางไม่ได้พูดจาเกินกว่าเหตุแต่อย่างใดภายในร่างกายของเขาได้รับการสืบทอดความทรงจำมาจากจักรพรรดิฟ้าในอดีตอันแสนยาวนานถ้าแค่คนที่มีระดับชุ่ยถี่ขั้นกลางอย่างเ้านั่นเขายังเอาชนะไม่ได้เื่แก้แค้นก็คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว
เขาค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ เริ่มค้นหาข้อมูลจากในความทรงจำ
หลินหยางในตอนนี้ยังอยู่ในขอบเขตระดับของชุ่ยถี่อยู่เขาจึงยังไม่สามารถรับรู้ถึงพลังฟ้าดินได้ดังนั้นเขาจึงยังไม่สามารถฝึกสุดยอดวิชาของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วชุดนั้นได้แต่เขาก็สามารถค้นพบสิ่งที่เขา้าได้ในเวลาไม่นาน
เคล็ดวิชา ''พลังเทพอัคคี''!
ในขอบเขตของระดับชุ่ยถี่นั้นการต่อสู้ห้ำหั่นกันระหว่างจอมยุทธ์นั้น ล้วนใช้พละกำลังจากร่างกายเป็หลักและอาจจะมีเคล็ดวิชาต่างๆ ที่สามารถใช้ยกระดับพลังต่อสู้ให้สูงขึ้นได้
เคล็ดวิชาเกือบทั้งหมดมักจะเป็พวกกระบวนท่า เทคนิค เคล็ดลับ แผนการ หรือรูปแบบการต่อสู้เป็ต้น แต่เคล็ดวิชาที่หลินหยางค้นพบจากความทรงจำของจักรพรรดิฟ้านั้นกลับแตกต่างออกไป
มันไม่ใช่แค่เทคนิควิชาการต่อสู้เพียงอย่างเดียวแต่มันยังเป็วิชาที่เกี่ยวกับการรับรู้ถึงพลังธรรมชาติและวิธีการดึงมันมาใช้
ไม่ว่าจะเป็เคล็ดวิชารูปแบบไหนก็ตามแต่ จะสามารถแบ่งขอบเขตความสามารถออกเป็3 ระดับ คือ ระดับเริ่มต้น ระดับเชี่ยวชาญ และระดับหลอมรวม
พลังเทพอัคคีแค่ฝึกไปให้ถึงระดับเริ่มต้นก็จะสามารถะเิพลังออกมาในขณะที่กำลังต่อสู้อยู่ได้มากขึ้นถึงสองเท่าในชั่วพริบตาถึงมันจะใช้ได้แค่ไม่กี่ครั้งก็ตาม อีกทั้งยังใช้ได้ผลเฉพาะแค่กับคู่ต่อสู้ระดับชุ่ยถี่ด้วยกันเท่านั้นแต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับนี้แล้วเคล็ดวิชานี้ถือเป็ยอดวิชาที่แข็งแกร่งจนยากที่จะหาวิชาใดเปรียบเทียบได้
และถ้าหากสามารถฝึกฝนจนก้าวขึ้นไปสู่ระดับหลอมรวมแล้วมันจะยิ่งยกระดับความสามารถในการรับรู้ถึงพลังฟ้าดินให้สูงยิ่งขึ้นได้ด้วยซึ่งมันจะช่วยให้ผู้ฝึกสามารถก้าวข้ามผ่าน ''กำแพงแห่งพร์'' ซึ่งเป็จุดที่ข้ามผ่านได้ยากที่สุด เมื่อสามารถผ่านมันไปได้ก็จะกลายเป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนที่ผู้คนต่างพากันยกย่อง
เป็พลังที่ค่อนข้างโกงเลยทีเดียว
ทั้งเมืองอวิ๋นเฉิงมียอดฝีมือระดับเซียนเทียนอยู่แค่ไม่กี่พันคนแต่ละคนล้วนเป็ขุมทรัพย์อันล้ำค่าในสายตาของเหล่าชนชั้นสูงกำแพงแห่งพร์นั่นเคยกีดขวางเส้นทางของเหล่าจอมยุทธ์จนพวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ระดับเซียนเทียนมาหลายต่อหลายคนแล้วหากเคล็ดวิชาพลังเทพอัคคีรั่วไหลออกไปสู่ภายนอกได้ ยุทธภพจะต้องเกิดการแก่งแย่งปล้นชิงกันจนนองเืแน่นอน
หลินหยางในตอนนี้อยู่ในระดับชุ่ยถี่ขั้นต้นมีพลังอยู่ที่สามร้อยจินขอแค่ภายในสามวันที่เหลือเขาสามารถฝึกฝนพลังเทพอัคคีไปให้ถึงระดับเริ่มต้นได้และฝึกฝนร่างกายให้มีพลังเพิ่มขึ้นสักประมาณหนึ่งร้อยจิน เขาก็จะมีระดับพลังที่สูสีกับเวินโฮ่วแล้วยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีประสบการณ์การต่อสู้ของจักรพรรดิฟ้าที่เคยผ่านสนามรบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนอยู่อีกด้วยมันถือเป็พลังต่อสู้ที่ค่อนข้างจะไร้เทียมทาน
การที่หลินหยางกล้ารับคำท้าประลองจากเวินโฮ่วนั่นเป็เพราะเขามีสิ่งเหล่านี้เป็เครื่องยืนยันว่าเขาสามารถชนะการประลองได้แน่นอนสิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้มีแค่ศึกษาทำความเข้าใจและฝึกฝนวิชาพลังเทพอัคคีให้ไปถึงระดับเริ่มต้น ในขณะเดียวกันก็แค่รอให้ ''ยาเพลิงเมฆา''ยี่สิบเม็ดจากเวินชิงชิงมาส่งให้ก็พอ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา อวิ๋นเอ๋อร์ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางนำยาเพลิงเมฆามาส่งให้ที่ห้องของหลินหยางสิ่งนี้คือปัจจัยสำคัญที่จะใช้ในการฝึกฝนทั้งสามวันของเขา
หลังจากที่หลินหยางได้รับสืบทอดความทรงจำมาจากจักรพรรดิฟ้าแล้วหลินหยางก็ได้รู้ว่า ร่างสถิตภูตอัคคีของเขา ไม่จำเป็ต้องดูดกลืนพลังงานเพื่อยกระดับพลังจากกองเพลิงก็ได้ไม่ว่าจะเป็โอสถ สมุนไพรวิเศษ หรือแร่วิเศษขอแค่มีคุณสมบัติของธาตุไฟแฝงอยู่ก็สามารถใช้เป็แหล่งพลังงานในการฝึกฝนได้แล้ว
เขาเลือกที่จะใช้แหล่งพลังงานจากโอสถซึ่งมันจะทำให้ไม่มีใครสงสัยในแหล่งที่มาของพลังของเขา
บนโลกนี้มีโอสถอยู่ทั้งหมด7 ระดับ แค่ยาระดับสองก็มีคุณภาพไม่เลวแล้ว ยาเพลิงเมฆาหนึ่งเม็ดสามารถทำให้จอมยุทธ์ระดับชุ่ยถี่ลดระยะเวลาการฝึกฝนอย่างหนักให้น้อยลงได้ประมาณสิบวันแต่เมื่อโอสถนี้มาอยู่ในมือของหลินหยาง ผลลัพธ์ของมันจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก
เมื่อเขาได้รับยามาแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงหยิบเม็ดโอสถขึ้นมากำไว้ในฝ่ามือหนึ่งเม็ดจากนั้นนำฝ่ามือทั้งสองข้างมาประกบทับลงบนหน้าอก หลังจากนั้นจิตของหลินหยางก็เข้าสู่สภาวะนิ่งสงบอย่างรวดเร็ว
ควันสีแดงจางๆสายหนึ่งกระจายออกมาจากภายในสองมือของหลินหยาง ค่อยๆถูกหลินหยางสูดหายใจเข้าไปในร่างกาย แล้วค่อยๆ กระจายไปทั่วร่างกายของเขาย้อมให้ตัวเขาทั้งตัวค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีแดงจางทีละน้อย