จ้าวเยี่ยนขมวดคิ้ว ภายใต้สายตาของฉางไทเฮา เขาก้มศีรษะงุด “ลูกมิกล้า”
เมื่อครู่นี้เขาคิดถึงเหนียนยวี่จนเหม่อลอยไปจริงๆ
ฉางไทเฮาถอนสายตากลับ และบรรจงคัดคัมภีร์ต่อ “แน่นอนว่าต้องกลับชิงโหยวกว่าน ในเมื่อฮองเฮาอวี่เหวินเตรียมงานเลี้ยงส่งให้ข้าเรียบร้อยแล้ว จะปล่อยให้นางทำไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้”
งานเลี้ยงส่งหรือ? หึ ฮองเฮาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางกลับไป ทว่าเป็เช่นนั้นแล้วอย่างไร หากนางมิ้ากลับ ผู้ใดจะบังคับขับไล่นางออกไปได้
ช่างประจวบพอดี นางจะฉวยโอกาสในงานเลี้ยงส่ง ทำให้โอรสของนางได้ครองตำแหน่งแม่ทัพหลวง!
“เสด็จแม่...มิได้วางแผนว่าจะกลับไป” จ้าวเยี่ยนที่กลับมาได้สติ เขานึกถึงคำพูดทั้งหมดของฉางไทเฮา กว่าเสด็จแม่จะได้กลับวังหลวงมิใช่เื่ง่าย แล้วเหตุใดถึงยินยอมกลับไป?
ทว่าการอยู่ต่อ จำเป็ต้องมีเหตุผลที่จะอยู่
จ้าวเยี่ยนจ้องมองพระมารดาของตนเองอย่างไม่ละสายตา คนฉลาดเช่นเขา เพียงครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เข้าใจเื่ราวได้ในทันที
“เหตุผลที่เสด็จแม่หวังว่าจะได้อยู่ต่อ คือลูกได้ครองตำแหน่งแม่ทัพหลวงแทนฉู่ชิงงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” จ้าวเยี่ยนเอ่ยถาม พลางโบกสะบัดไล่ความคิดเกี่ยวกับเหนียนยวี่ในหัวตัวเอง ฉับพลันนั้น ในดวงตาคู่งามมิแอบซ่อนประกายแสงแห่งความทะเยอทะยานได้อีกต่อไป
ฉางไทเฮาปรายตามองจ้าวเยี่ยน เมื่อเทียบกับเมื่อชั่วยามที่ผ่านมา ยามนี้นางรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก
นี่แหละคือคนที่ควรจะเป็โอรสของข้า!
“หากเ้าได้ครองตำแหน่งแม่ทัพหลวง ิญญาของเสด็จพ่อของเ้าบนสรวง์ จะต้องมีความสุขมากอย่างแน่นอน” ฉางไทเฮาเลิกคิ้ว คล้ายนึกคิดอะไรบางอย่าง ั์ตาพลันมืดมนขึ้นมาไม่น้อย
“เสด็จพ่อ...” จ้าวเยี่ยนพึมพำ ั้แ่จำความได้ ในความทรงจำของเขาไม่เคยมีภาพของพระบิดาเลย ยามที่เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ เขาอายุเพียงสี่ขวบ เขาที่เป็เด็กน้อยอายุสี่ขวบ ความทรงจำเกี่ยวกับเสด็จพ่อ มีเพียงภาพหลังจากที่เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ในปีนั้น ผ้าไหมผืนสีขาวถูกจัดแต่งทั่ววังหลวง ทั่วทุกสารทิศไร้ขอบเขต ในตอนสุดท้ายเสด็จพ่อถูกหามออกไปนอกวัง ย้ายร่างไปยังสุสาน
"เสด็จพ่อ เขาเป็คนอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
เื่ราวของเสด็จพ่อ เขาเคยได้ยินข่าวลือมามากมาย ทว่าข่าวลือเ่าั้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขารู้จักเสด็จพ่อของตนผู้นี้
พู่กันในพระหัตถ์ของฉางไทเฮาสั่นไหวเล็กน้อย ในดวงตาพาดผ่านอารมณ์บางอย่าง วางมือลงและเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “เสด็จพ่อของเ้าทรงขยันหมั่นเพียร และห่วงใยประชาชนของตนเองมาก หากไม่ใช่เพราะเขาเจ็บป่วย ยามนี้เขาคงยังมีชีวิตอยู่ เขาที่มีชีวิตอยู่ พวกเราแม่ลูกคงมิต้องตกอยู่ในจุดนี้ ยามนั้นตอนที่ข้าให้กำเนิดเ้า เสด็จพ่อของเ้าทรงมีความสุขและดีใจเป็อย่างยิ่ง เขากล่าวว่าจะต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดในโลกแก่เ้า รวมถึง...ราชบัลลังก์ ทว่าผู้ใดจะคิด...”
ยามที่ฉางไทเฮากล่าว ความอ่อนโยนในดวงตานางพลันค่อยๆ จางสลาย และแปรเปลี่ยนเป็ความหนาวเหน็บ “มิมีผู้ใดคิดว่า เสด็จพ่อของเ้าจะสิ้นพระชนม์เร็วเช่นนี้ และราชบัลลังก์ก็ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น ทุกสิ่งที่ควรจะเป็ของเรากลับกลายเป็ของผู้อื่น เป็พวกเขาที่แย่งบัลลังก์ไปจากพวกเรา เพียงแต่...เยี่ยนเอ๋อร์ ของพวกนั้นที่เป็ของพวกเรา เ้าจะต้องชิงมันคืนมาให้ได้”
"พ่ะย่ะค่ะ แน่นอนว่าลูกจะเอามันคืนมาให้ได้" จ้าวเยี่ยนสบตาฉางไทเฮาอย่างแน่วแน่ ตำแหน่งแม่ทัพหลวงจะเป็ก้าวแรก
ในห้องพระ สองคนแม่ลูกต่างเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ทว่ามิอาจปิดบังซ่อนเร้นความทะเยอทะยานในดวงตาได้อีกต่อไป
ณ จวนหนานกง
พวกเขาคอยติดตามความเคลื่อนไหวในเมืองชุ่นเทียนอย่างใกล้ชิดและเงียบเชียบ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ยามที่พวกเขาเห็นแสงของเปลวเพลิงที่ลุกโชนสาดส่องทั่วท้องฟ้า เกือบทุกคนในจวนดวงตาวาวเป็ประกายอย่างตื่นเต้น
หลังจากผ่านพ้นความรู้สึกตื่นเต้นนั้น แผนการร้ายที่กำลังลงมือจึงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ที่ไหนสักแห่งในโรงเตี๊ยม สตรีชุดสีแดงชาดเงยหน้ามองแสงสว่างของเปลวเพลิง มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย
เหนียนยวี่เอ๋ยเหนียนยวี่ วันนั้นเ้าทำลายโอกาสดีๆ ของข้า นี่ช่างดียิ่งนัก ข้าคงจะไม่ต้องมอบขวดเคลือบลายครามนั่นให้ผู้ใดอีก และภัยคุกคามของข้าก็จะลดลงไปอีกมาก
อีกฟากหนึ่ง ฉางหลิงเกอยืนมือไพล่หลัง แหงนมองเปลวไฟสีแดงเพลิงลุกโชนปกคลุมทั่วท้องฟ้า มิมีผู้ใดดูออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใดในยามนี้
เปลวเพลิงในค่ายเสินเช่อยังคงลุกโชนโหมกระหน่ำถึงเช้าวันรุ่งขึ้น มิมอดดับลงเลย หลังจากกองเพลิงเริ่มทุเลาลง ฉู่เพ่ยจึงนำกำลังคนเข้าไปในค่าย ในค่ายที่ผ่านราตรีแห่งเปลวเพลิง มิมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่โครงกระดูก ทุกสิ่งอย่างมอดไหม้เป็เถ้าถ่านธุลีดิน
ฉู่เพ่ยจ้องมองไปยังเศษซากของกำแพงที่พังทลาย ใบหน้าพลันเคร่งขรึม มิใช่เพียงแค่ฉู่ชิง ทว่ายังมีจ้าวอี้อีก
ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ ยามนี้สูญหายไปในเปลวเพลิงกองใหญ่ เขาจะทูลรายงานต่อฝ่าาอย่างไร จะทูลรายงานต่อฮองเฮาอวี่เหวินว่าอย่างไร!
ฉู่เพ่ยสูดหายใจลึก เขารู้ดีว่า มีบางสิ่งที่เขาจำต้องไปเผชิญ
ยามที่ฉู่เพ่ยนำข่าวนี้กลับไปทูลรายงานในวังหลวง ฮ่องเต้หยวนเต๋ออยู่ในตำหนักชีอู๋
หลังตกตะกอนความคิดมาราตรีหนึ่ง ฮ่องเต้หยวนเต๋อตัดสินใจเบื้องต้นได้แล้วว่าจะทำอย่างไร “เจิ้นวางแผนว่าจะยกตำแหน่งแม่ทัพหลวงของฉู่ชิงให้อี้เอ๋อร์ขึ้นมารับ่ต่อ ควบคุมดูแลกองทัพทหาร บัญชาการทหารส่วนพระองค์”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อตรัสตรงประเด็น ฮองเฮาอวี่เหวินดีใจมาก นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าฮ่องเต้หยวนเต๋อจะทรงตัดสินใจเช่นนี้
“แม้นิสัยของอี้เอ๋อร์จะเป็คนรักอิสระไปสักหน่อย ทว่าหากเขาได้รับหน้าที่อันสำคัญเช่นนี้จะต้องควบคุมตนเองได้อย่างแน่นอน นี่คงจะเป็การดีกับตัวอี้เอ๋อร์ที่ไม่ต้องทำตัวแบบนั้นอีก” ฮองเฮาอวี่เหวินตรัสอย่างอ่อนโยน มิเผยสีหน้าดีใจหรือโกรธเคืองแต่อย่างใด
ด้วยการสนับสนุนของฝ่าา และจิ้นอ๋อง... ครั้นนึกถึงจดหมายที่จวนจิ้นอ๋องส่งมาให้เมื่อเช้า ใบหน้าองฮองเฮาอวี่เหวินจึงค่อยๆ เบ่งบานไปด้วยรอยยิ้มในที่สุด ในใจนางรู้สึกมั่นคงขึ้นอย่างมาก
ทว่าอี้เอ๋อร์ออกไปนอกเมือง...
ไม่ ยามนี้สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือการที่อี้เอ๋อร์กลับมา!
ทันทีที่ฮองเฮาอวี่เหวินกำลังครุ่นคิด ฉับพลันนั้นมีเสียงของกงกงดังขึ้นที่หน้าประตู
"ทูลฝ่าา ท่านแม่ทัพฉู่เพ่ยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เพ่ยหรือ?
“ว่ามา” เพียงคำสองคำนี้ ทำให้สีหน้าของฮ่องเต้หยวนเต๋อและฮองเฮาอวี่เหวินชะงักงัน เมื่อวานนี้ฉู่เพ่ยนำกำลังพลไปเผาค่ายเสินเช่อ การที่เขาเข้าวังมาตอนนี้ ย่อมต้องเป็การรายงานสถานการณ์เื่นี้อย่างแน่นอน
แม้จะรู้ผลลัพธ์ของเื่นี้ั้แ่เมื่อคืน ทว่าสถานการณ์จริงเป็อย่างไรนั้น พวกเขาเองยังคงอยากถามออกไปให้ชัดเจน
ฉู่เพ่ยเดินตามข้าหลวงคนหนึ่งในวังเข้าไปยังตำหนัก ฮ่องเต้หยวนเต๋อโบกมือไล่ให้ทุกคนออกไป ในตำหนักยามนี้เหลือเพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และฉู่เพ่ย เพียงสามคนเท่านั้น
ฉู่เพ่ยคำนับต่อเบื้องพระพักตร์ทั้งสองด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ทูลฝ่าาและฮองเฮา ค่ายเสินเช่อมอดไหม้แล้ว กระหม่อมสั่งให้คนไปจัดการตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ นอกเหนือจากค่ายเสินเช่อที่นอกเมือง โรคระบาดมิได้ระบาดไปยังพื้นที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
"อืม เจิ้นรู้แล้ว" ฮ่องเต้หยวนเต๋อถอนหายใจ ค่ายเสินเช่อมอดไหม้ไปแล้ว โรคระบาดเองก็ควบคุมไว้ได้ ทว่าราคาที่ต้องจ่ายทั้งค่ายเสินเช่อและฉู่ชิงนั้น ช่างมากมายมหาศาลเกินไปจริงๆ
ฉู่เพ่ยเหลือบมองฮ่องเต้หยวนเต๋อ ในที่สุดเขายังกล่าวรายงานต่อไปอีกว่า “ทว่า...ไฟที่ไหม้ค่ายเสินเช่อ มิใช่กระหม่อมสั่งลงไปพ่ะย่ะค่ะ”
"ไม่ใช่เ้า?" ฮ่องเต้หยวนเต๋อตกตะลึง จ้องมองฉู่เพ่ย "ถ้าไม่ใช่เ้าแล้วจะเป็ผู้ใด?"
แม้ฮ่องเต้หยวนเต๋อจะถามออกไปเช่นนี้ ทว่าในใจคาดเดาบางสิ่งได้ทันที
เสียงสุขุมของฉู่เพ่ยเอ่ยรายงานสถานการณ์บางอย่างที่ฟังดูเกินความคาดหมายออกไปทันทีว่า “น่าจะเป็ฉู่ชิงพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่ชิง แม่ทัพหลวงฉู่ชิง!
คนทั้งสองคนชำเลืองมองกันไปมาอย่างมิอาจปิดบังความประหลาดใจไว้ได้ ฉู่ชิงเองน่าจะรู้ดีว่า เพื่อสถานการณ์โดยรวม แหล่งต้นตอโรคระบาดจะต้องถูกเผาไปเสีย จึงจะสามารถควบคุมโรคระบาดได้
ค่ายเสินเช่อเปรียบเสมือนหัวใจและโลหิตของเขา และเขาก็อยู่ในค่ายเสินเช่อนั่นเช่นกัน ทว่าฉู่ชิงในยามนี้กลับสั่งคำสั่งนี้ออกไปได้อย่างไร!
ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้หยวนเต๋อเท่านั้น ทว่าแม้แต่ฮองเฮาอวี่เหวินยังชื่นชมเคารพฉู่ชิงผู้นี้
“ช่างน่าเสียดาย...” ฮองเฮาอวี่เหวินขมวดคิ้วคู่งาม ฉู่ชิงเป็คนที่มีความสามารถถโดดเด่น ยากที่จะพบเห็นในยุคสมัยนี้ ทว่ากลับจากไปในวัยหนุ่มแน่น ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง
ฮองเฮาอวี่เหวินเหลือบมองฉู่เพ่ย “ท่านแม่ทัพฉู่โปรดระงับความโศกเศร้าเถิด ฮูหยินแม่ทัพนาง...”
การสูญเสียบุตรชาย เื่นี้จะะเืฮูหยินแม่ทัพอย่างไรบ้าง?
ฮองเฮาอวี่เหวินนึกถึงจ้าวอี้ เมื่อครู่ได้ยินฉู่เพ่ยกล่าวว่า นอกเหนือจากค่ายเสินเช่อแล้ว โรคระบาดมิได้ลุกลามไปยังพื้นที่อื่นแต่อย่างใด จึงเกิดนึกถึงอี้เอ๋อร์ขึ้นมาว่าเขาเองก็คงไม่เป็อะไร ฮองเฮาอวี่เหวินพลันรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที “ท่านแม่ทัพ ได้ยินว่ามู่อ๋องเองก็ติดตามท่านออกไปนอกเมือง เขาอยู่ที่ใดเล่า?”