ทั้งสองคุยกันเพียงแค่สองคน ส่วนคนที่อยู่รอบๆ ก็คุยกันรื่นเริงอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร งานประลองยุทธ์ที่ตระกูลจิ่งจัดขึ้นครั้งนี้นับว่าถูกใจตระกูลต่างๆ เป็อย่างยิ่ง โดยเฉพาะพวกตระกูลขนาดกลางและขนาดเล็กต่างก็รอคอยการประลองครั้งนี้ เรียกได้ว่ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อทีเดียว
แผ่นดินใหญ่นี้กว้างใหญ่มาก อย่างที่หลัวฉี่บอก โอกาสที่ได้มาอยู่รวมกันเช่นนี้มีน้อยมาก ตระกูลเล็กๆ มากมายอยากกอดขาตระกูลใหญ่ๆ การได้ทำความรู้จักกับตระกูลใหญ่ๆ สำหรับพวกเขาถือเป็เื่ยาก ส่วนใหญ่ต่อให้ไปหาเองถึงที่ พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะสนใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะให้โอกาสได้กอดขาหรือไม่
ดังนั้นเมื่อเทียบเชิญของตระกูลจิ่งถูกส่งออกไปแล้ว จึงทำให้เกิดคลื่นระลอกใหญ่ขึ้นบนแผ่นดินใหญ่ ดึงดูดให้ตระกูลมากมายพากันสงสัย ถกเถียงพูดคุยกันเป็วงกว้าง และแน่นอนว่าก็ให้ความสำคัญกับเื่นี้มากด้วยเช่นกัน จิ่งเหวินซานในฐานะที่เป็เ้าภาพย่อมต้องมีแผนการอยู่แล้ว หาได้ส่งเทียบเชิญไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือไม่ ตระกูลที่ได้รับเทียบเชิญล้วนเป็ตระกูลที่พอจะเป็ที่รู้จักบนแผ่นดินใหญ่ แน่นอนว่าเป็ที่รู้จักมากน้อยก็จะมีความแตกต่างกันไป
ไม่ว่าจะอย่างไร เื่นี้สำหรับตระกูลทั้งหลายก็ถือเป็เื่ที่ควรนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง หลังจากได้รับเทียบเชิญแล้ว หลายตระกูลถึงกับจัดรวมตัวประชุมผู้าุโในตระกูลเพื่อหารือกันว่าจะเข้าร่วมดีหรือไม่ แล้วยังอดคาดเดาไม่ได้ว่านี่จะเป็แผนร้ายอะไรหรือเปล่า แต่ชื่อเสียงของตระกูลจิ่งบนแผ่นดินใหญ่นี้ก็ถือว่าดีมาก มีกิจการร้านยาเปิดอยู่ทั่วพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่ และยังมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนไปขอคำแนะนำเื่การรักษาจากตระกูลจิ่งอีกด้วย
ดังนั้นหลังจากที่ตระกูลส่วนใหญ่ประชุมกันเป็เวลานานแล้วก็ได้บทสรุปว่าจะตกลงเข้าร่วม ข้อแรกเป็เพราะมีหลายตระกูลเช่นนี้ ตระกูลจิ่งแค่ตระกูลเดียวจะทำอะไรได้ ไม่เพียงทำอะไรไม่ได้เท่านั้น ทั้งยังต้องดูแลอาหารการกินต่างๆ ให้เป็อย่างดี ไม่กล้าละเลยแน่นอน ไม่เช่นนั้นหากไปล่วงเกินทุกคนเข้า ผู้รักษากลุ่มนี้ต่อให้จะเป็หมอที่เก่งกาจสักเพียงไร แต่ความเร็วในการรักษาคงไม่มีทางสู้ความเร็วในการตกตายของพวกเขาได้
อีกอย่าง...ที่สำคัญก็คือโอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ตระกูลจิ่งไม่มีทางเชิญมาแค่ตระกูลเล็กๆ แน่ ดังนั้นขอแค่มีตระกูลใหญ่มาร่วม พวกเขาก็มีโอกาสได้กอดขาใหญ่แล้ว เวลาติดต่อไปมาหาสู่กับพวกผู้าุโในตระกูลใหญ่บางตระกูลนั้น แน่นอนว่ายากจะทำให้เกิดความรู้สึกสนิทสนมได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่หวังสูงไปเกาะพวกเขา แต่ในรุ่นเด็กๆ นั้นไม่เหมือนกัน ต่างพูดคุยกันง่าย สนิทสนมกันเป็สหายง่าย ไม่แน่ว่าอาจจะได้กอดขาใหญ่ขาไหนเข้า ได้รับการยกระดับ มีคนหนุนหลังขึ้นมาก็เป็ไปได้
แน่นอนบรรดาตระกูลใหญ่ก็มีความคิดแบบเดียวกัน โต๊ะหลักล้วนเป็ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง ถึงแม้จะมีความคาดหวังเื่การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่ก็ไม่กล้าออกนอกหน้ามากจนเกินไป ตอนนี้ยังเป็เพียงแค่ความคาดหวัง ดังนั้นส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหลักจึงล้วนเป็เด็กหนุ่ม และส่วนใหญ่ก็ล้วนให้ความสำคัญกับการประลองยุทธ์มาก แต่เมื่อมองมายังโต๊ะสองและสาม เด็กผู้หญิงก็เริ่มเยอะขึ้นแล้ว นับรวมกันได้ประมาณยี่สิบถึงสามสิบคนเลยทีเดียว พวกเขารู้ว่าหากส่งเด็กผู้ชายมาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะได้ มิสู้ส่งเด็กผู้หญิงมา...ไม่แน่อาจชนะได้ลูกเขยกลับไปก็เป็ได้
แน่นอนว่าเื่พวกนี้อ๋าวหรานกับจิ่งจื่อย่อมไม่รู้ ถึงแม้พวกเขาจะเป็ที่ดึงดูดสายตา แต่น่าเสียดายที่ถูกไล่ให้มาอยู่ที่โต๊ะสาม อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนลองสืบเื่ของทั้งสอง คนหนึ่งเป็ดั่งิญญาเร่ร่อนที่ไม่มีอะไรเลย ส่วนอีกคนก็ไม่ใช่ลูกหลานสายตรงของตระกูลจิ่ง เด็กสาวทั้งหลายจึงตัดสินใจว่าถึงแม้รูปลักษณ์จะดูดี แต่มาคิดดูแล้วก็ช่างเถิด
ดื่มสุรากันอย่างรื่นเริง ต่างคนต่างก็มีเป้าหมายของตนเอง เมื่อกินอาหารมื้อที่แสนจะครึกครื้นนี้เสร็จ เวลา่เช้าก็ผ่านไปเกินครึ่งแล้ว ทุกคนล้วนสนุกสนานรื่นเริงกันเป็อย่างมาก แต่ก็ยังอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ อย่างไรเสียพวกคนใหญ่คนโตคนสำคัญๆ ก็ล้วนอยู่ที่โต๊ะหลัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยด้วยเลย
...
จิ่งเหวินซานเห็นคนส่วนใหญ่วางตะเกียบลง ส่วนบรรยากาศก็เริ่มสงบเงียบ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกท่านกินกันเสร็จแล้วหรือ?”
ทุกคนพากันตอบรับว่าใช่ทันที เมื่อได้รับการรับรองเช่นนี้ จิ่งเหวินซานจึงพูดว่า “เช่นนั้นก็ขอใช้เวลาตรงนี้พูดคุยกับทุกท่านเื่กฎในการประลองยุทธ์เสียหน่อยแล้วกัน”
ทุกคนเงียบเสียงลงแล้วฟังอย่างจริงจังตั้งใจ จิ่งเหวินซานจึงค่อยๆ พูดขึ้นว่า “การแข่งขันประลองยุทธ์ในครั้งนี้ ตระกูลจิ่งของข้าพยายามอย่างที่สุดเพื่อเรียนเชิญตระกูลต่างๆ มากมายบนแผ่นดินใหญ่ ถึงแม้จะมีหลายตระกูลที่ไม่อาจมาร่วมด้วยได้ แต่ทุกท่านก็เห็นแล้วว่าจำนวนคนที่มาถึงต่างมีไม่น้อย อีกอย่างยังต้องขอให้หลานทั้งหลายอภัยให้กับความเห็นแก่ตัวของข้า ตระกูลจิ่งของข้าถือว่าเป็ตระกูลที่เรียกได้ว่าหลบเร้นจากโลกภายนอกอยู่ครึ่งหนึ่งมาโดยตลอด ลูกหลานในตระกูลส่วนใหญ่น้อยมากที่จะได้ออกไปยังโลกภายนอก ต่อให้ออกไป ส่วนใหญ่ก็เพื่อตรวจโรครักษาคน วันนี้มีโอกาสได้ประมือกับคนรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยมทั้งหลายบนแผ่นดินใหญ่แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็รอคอยเป็อย่างมาก ดังนั้นการประลองยุทธ์ในครั้งนี้ ลูกหลานตระกูลจิ่งทั้งหมดของพวกเราจะเข้าร่วมด้วย ข้าจึงต้องขอแบกหน้าขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้”
ครานี้จิ่งเหวินซานจัดการได้อย่างดีเยี่ยม แน่นอนว่าต้องดึงดูดใจลูกหลานส่วนใหญ่ในตระกูลจิ่งได้อย่างแน่นอน ในกลุ่มเด็กๆ พวกนี้ แน่นอนว่ามีคนที่ไม่ใช่สายหลักรวมอยู่ด้วย และส่วนมากมักไม่ได้รับความสนใจ วันนี้มีโอกาสแล้ว ขอแค่พอมีความสามารถ ไม่แน่ว่าอาจจะได้แสดงฝีมือด้วยก็เป็ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้มีชื่อเสียงบนแผ่นดินใหญ่หรือไม่ อย่างน้อยก็พอนับได้ว่ามีชื่อเสียงในตระกูลจิ่งขึ้นมาบ้าง และได้รับส่วนแบ่งกิจการมากขึ้นเป็พอ ต่อให้ไม่สามารถโดดเด่นขึ้นมาอยู่เหนือผู้อื่นได้ แต่แค่ได้ทำความรู้จักกับลูกหลานจากตระกูลอื่น...สำหรับพวกเขาแล้วก็ถือเป็เื่ดี ยิ่งไปกว่านั้นการที่ตระกูลจิ่งหลบเร้นจากโลกภายนอกล้วนเป็ความตั้งใจของพวกผู้าุโทั้งสิ้น ส่วนเด็กรุ่นเยาว์นั้นส่วนใหญ่ก็หวังจะออกไปดูโลกภายนอก ไปเป็ส่วนหนึ่งกับผู้คนบนแผ่นดินใหญ่นี้
เื่นี้จิ่งเหวินซานไม่ได้บอกั้แ่เริ่มจัดงาน ตอนนี้จู่ๆ ก็พูดออกมา ลูกหลานส่วนใหญ่ของตระกูลจิ่งล้วนเงยหน้าปีติยินดี
จิ่งเหวินซานพูดจบ เซี่ยเหวินเอ่อก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุงจิ่ง เหตุใดถึงเกรงใจกันเช่นนี้ มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว ได้มีโอกาสมาที่ตระกูลจิ่ง ได้เปิดหูเปิดตาเื่ยาและวรยุทธ์ของตระกูลจิ่ง ก็นับเป็ความคาดหวังของพวกข้าเช่นกัน ต่อให้ท่านไม่พูด พวกเราก็ต้องร้องขอเองอยู่แล้ว”
สวีหรงฉี่เองก็พูดว่า “ใช่แล้ว ั้แ่เมื่อก่อนก็ได้ยินมาว่านายน้อยตระกูลจิ่ง 'จิ่งฝาน' ไม่เพียงมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ แม้แต่วรยุทธ์เองก็ถือเป็อันดับต้นๆ ของแผ่นดินใหญ่ด้วย ในเมื่อนายน้อยแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ คาดว่าคุณชายคนอื่นๆ ของตระกูลจิ่งเองก็คงไม่เลวเช่นกัน”
สวีหรงฉี่พูดไปก็กลับมองไปทางจิ่งเคอที่อยู่ด้านข้างจิ่งเหวินซาน ท่าทางเหมือนคาดหวังที่จะสู้กับเขาสักรอบเป็อย่างยิ่ง
อ๋าวหรานกับจิ่งจื่อมองไม่เห็นสีหน้าของคนที่โต๊ะหลัก แต่ที่พวกเขาคุยกันนั้นก็นับว่าได้ยินอยู่ ในใจของคนทั้งสองยังอดค่อนแคะไม่ได้ จิ่งฝานแข็งแกร่งกว่าลูกหลานตระกูลจิ่งคนอื่นๆ ไม่ใช่แค่ไม่กี่ขั้นหรอก อ๋าวหรานถึงกับค่อนแคะว่าจิ่งฝานเป็ถึงตัวเอกเชียวนะ ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่แข็งแกร่งไปกว่าทางเต๋อรั่ว แต่แข็งแกร่งกว่าพวกเ้านั้นไม่ใช่ปัญหาแน่นอน เพราะตัวเอกก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนจิ่งจื่อนั้นเรียกได้ว่าหลับหูหลับตาเทิดทูนเป็อย่างยิ่ง คนทั้งสองที่มองไม่เห็นสีหน้าของคนที่อยู่บนที่นั่งหลักของโต๊ะหลัก แน่นอนว่าก็ย่อมไม่เห็นบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนของโต๊ะหลักเช่นกัน
หลักจากที่สวีหรงฉี่ได้รับเทียบเชิญงานแข่งขันประลองยุทธ์ของตระกูลจิ่งจากบิดาของเขา ความสนใจทั้งหมดก็ล้วนอยู่ที่ทางเต๋อรั่ว ข้างกายเขามีเทพที่เป็เหมือนบรรพบุรุษเหนือบรรพบุรุษอยู่ สวีจงเจิ้งบอกเขาแค่ว่าคนผู้นี้ไม่อาจล่วงเกินได้ ต้องเคารพเขายิ่งกว่าที่เคารพบิดาตัวเอง ไม่ว่าเื่ใดก็ต้องวางคนผู้นี้มาเป็อันดับแรก ต่อให้ต้องพบกับอันตรายก็ต้องปกป้องคนผู้นี้ไว้ ต่อให้ตัวเองต้องาเ็ก็ห้ามให้เกิดเื่กับทางเต๋อรั่วเป็อันขาดแน่นอนว่าแค่มีทางเต๋อรั่วอยู่ ต่อให้าา์มาเองก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่ว่าจะอย่างไร โดยสรุปก็คือไม่จำเป็ต้องสนใจตระกูลจิ่ง การประลองยุทธ์ก็เป็เพียงสิ่งเลื่อนลอย ทุกอย่างขอแค่ทางเต๋อรั่วพอใจก็พอแล้ว
ยิ่งรวมกับเื่ที่เขามาช้าแล้ว จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เข้าไปพักที่เรือนตะวันออก และยังไม่เคยได้ยินผู้อื่นเรียกชื่อจิ่งเคอตรงๆ สักครั้ง
ดังนั้นสวีหรงฉี่ ั้แ่ต้นจนจบจึงเข้าใจว่าจิ่งเหวินซานเป็ผู้นำตระกูลจิ่ง ส่วนคนที่ยิ้มเฉยๆ ให้พวกเขาที่นั่งอยู่ข้างจิ่งเหวินซานก็คือจิ่งฝาน! ด้วยเหตุนี้ เมื่อคำพูดยกยอเ่าั้จบลงจึงได้หันไปมองทางจิ่งเคอ
คนที่อยู่ที่นี่ ขอแค่มีตาก็รู้แล้วว่าสวีหรงฉี่จำคนผิด บรรยากาศบนโต๊ะหลักก็เงียบขึ้นทันใด จิ่งเคอเป็คนนิ่งเงียบจริงจังเสมอมา ั้แ่เล็กจิ่งเหวินซานก็คาดหวังกับเขาอย่างเข้มงวด วรยุทธ์ต้องฝึกจนดีที่สุด วิชาแพทย์เองก็ต้องเรียนให้เก่งที่สุด นิสัยต้องหนักแน่นมีมารยาท อย่างน้อยสีหน้าก็ต้องมีมารยาท น่าเสียดายที่ความคาดหวังของจิ่งเหวินซานเข้มงวดเกินไป พานทำให้จิ่งเคอกลายเป็คนเข้มงวดจริงจังไปโดยปริยาย จนผู้อื่นรู้สึกว่าไม่น่าพูดคุยด้วยเท่าไร เพราะมีบรรยากาศหนักอึ้งราวกับคนมีอายุ จิ่งเหวินซานเองภายหลังก็นับว่าเสียใจกับเื่นี้เป็อย่างมาก หลายครั้งนึกอยากจะแก้ไข แต่ผลลัพธ์กลับไม่มากเท่าใด
ครั้งนี้จิ่งเหวินซานเองก็กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้เขายิ้มแย้มพูดคุยกับลูกหลานจากตระกูลที่มาเ่าั้ให้มากๆ รีบเข้าพวกกับพวกเขาให้เร็วที่สุด จะได้เป็สหายกัน วันนี้จิ่งเคอก็พยายามอย่างดีที่สุด กระตือรือร้นพูดคุยกับคนพวกนี้เป็อย่างยิ่ง รอยยิ้มที่พยายามอย่างหนักเพื่อแสดงออกมาเกือบจะทำให้หน้าแข็งค้างอยู่แล้ว น่าเสียดายที่ตอนนี้คำพูดของสวีหรงฉี่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเขากระอักกระอ่วนแข็งค้างไป ดูจอมปลอมอย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่จิ่งเคอเท่านั้น จิ่งเหวินซานเองก็ยังรู้สึกยิ้มไม่ค่อยออก ยังดีที่อย่างน้อยเขาก็เป็คนที่พบเจอคลื่นลมมามากมาย รีบระบายรอยยิ้มออกมาทันที “นี่คือลูกชายคนโตของข้า จิ่งเคอ”
ต่อให้สวีหรงฉี่จะหัวไม่ดีก็คงรู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด จึงรีบพูดด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “เป็ข้าที่จำผิดแล้ว สวัสดี คุณชายจิ่งเคอ”
จิ่งเคอพยายามยิ้มและหัวเราะออกมาสองที แสร้งทำเป็ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “ไม่เป็ไรๆ ข้ากับจิ่งฝานก็เป็พี่น้องตระกูลเดียวกัน”
สวีหรงฉี่รีบพูดขึ้นว่า “เป็ข้าที่สายตาไม่ดี มองพลาดเอง”
คนทั้งสองข้าร้องเ้ารับ แล้วกดบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนนี้ลงไป คนที่เหลือบนโต๊ะในใจคิดอะไรอยู่ คนอื่นก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรบนใบหน้าก็ล้วนมีรอยยิ้ม ถือว่านี่ก็เป็เพียงเื่สนุกที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เื่หนึ่ง แค่ชมดูอย่างรื่นเริงก็พอแล้ว
สวีหรงฉี่ก็นับว่าเป็คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูง ไม่ถามต่อว่าผู้ใดคือจิ่งฝาน และเขานั่งอยู่ตรงไหน
คนตรงนั้นทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนทางนี้จิ่งเซียงแทบจะะเิออกมาแล้ว “พี่! ท่านลุงใหญ่นี่จะเกินไปแล้ว เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร ทำราวกับว่าท่านไม่มีตัวตนอยู่เลย”
ไม่รอจิ่งฝานตอบ จินเฉียนเป้ยกลับยื่นศีรษะของเขาเข้ามา แล้วถามอย่างสงสัย “จิ่งฝาน จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเ้าเป็นายน้อยตระกูลจิ่ง เหตุใดไม่ไปนั่งที่นั่งหลัก? ตกลงว่าท่านลุงจิ่งผู้นี้ใช่บิดาเ้าหรือไม่?”
จิ่งเซียง “...”
เจียงซิว “...”
เกาเฉิงหยู่ “...”
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความฉลาดทางอารมณ์สูง
จิ่งเซียงกดอารมณ์โกรธไว้จนแทบจะกัดฟันพูด “แน่นอนว่าไม่ใช่ จิ่งเหวินซานเป็ลุงใหญ่ข้า ส่วนบิดาข้าคือผู้นำตระกูลจิ่ง จิ่งเหวินเหอ!”
จินเฉียนเป้ยส่งเสียงดัง “อ้อ” ออกมาทีหนึ่งแล้วพูดอย่างมีความสุข “ก็รีบบอกสิ ข้าก็งงไปหมด ข้ายังจำได้ว่าก่อนข้ามา พ่อข้าบอกว่าผู้นำตระกูลคือจิ่งเหวินเหอ เหตุใดพอมาถึงกลับไม่เป็เช่นนั้น ข้าเกือบจะคิดไปว่าพ่อข้าแก่จนเลอะเลือนแล้ว”
จิ่งเซียง “...”
เจียงซิว “...”
เกาเฉิงหยู่ “...”
สงสัยจริงๆ ดูท่าทางเ้าเช่นนี้ พ่อเ้าก็น่าจะห่างไกลจากความแก่เลอะเลือนไม่มากแล้วกระมัง?
โชคดีที่เ้าเด็กนี่ไม่ได้พูดออกมาเสียงดัง ไม่อย่างนั้นหากดังจนคนทั้งโต๊ะได้ยินก็คงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจิ่งเหวินซานจะอธิบายอย่างไร...ที่นายน้อยตระกูลจิ่งถูกเขาไล่ให้มานั่งอยู่ที่มุมอันห่างไกลของโต๊ะหลัก
แต่ด้วยความหน้าหนาของจิ่งเหวินซาน แน่นอนว่าต้องคิดหาเหตุผลออกมาได้ร้อยแปด
แต่อย่างน้อยตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็ล้วนผิดหวังในตัวจิ่งฝานแล้ว อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงั้แ่ยังอายุน้อยกลับมีสถานะตกต่ำถึงเพียงนี้ ถึงแม้จะโทษว่าเป็เพราะคนในตระกูลวางแผนแย่งชิงอำนาจกัน แต่ความสามารถเพียงแค่นี้กลับไม่มีหรืออย่างไร ดำรงตำแหน่งนายน้อยของตระกูล แต่ไม่อาจใช้อำนาจของนายน้อยให้ดีได้ ถูกคนอื่นละเลยก็ช่างเถิด เขากลับไม่แม้แต่จะออกมาแนะนำตัวกับทุกคนด้วยซ้ำ
คาดว่าจิ่งฝานต่อให้จะวรยุทธ์ดี มีวิชาแพทย์ ก็คงเป็เพียงคนขี้ขลาดที่ไร้ความสามารถแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้