จ้าวเยี่ยนเอ่ยปากทำลายความเงียบระหว่างคนสองคนบนรถม้า
เหนียนยวี่ใเล็กน้อย สบสายตาอ่อนโยนที่แฝงรอยยิ้มงดงามคู่นั้น
เข้าใจผิดงั้นหรือ?
“หลีอ๋องเตี้ยนเซี่ยกล่าวล้อเลียนแล้ว เหนียนยวี่จะมีเื่อะไรให้เข้าใจท่านผิดหรือเพคะ?” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเหนียนยวี่อย่างสุภาพเหมาะสม
ระหว่างเราจะมีเื่เข้าใจผิดอะไรได้ที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็ความเคียดแค้นฝังลึกต่างหาก! ความเคียดแค้นฝังลึกมิสั่นคลอน!
ไม่มีเื่เข้าใจผิดหรือ?
จ้าวเยี่ยนมองสตรีร่างผอมบางผู้นี้ เมื่อครู่นางเห็นสายตาประหลาดของเขา กล่าวไม่ชัดเจนพูดไม่เข้าใจ
“เ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าหลีอ๋องเตี้ยนเซี่ย เรียกข้าว่าจ้าวเยี่ยนก็พอ ตำแหน่งอ๋องเป็เพียงชื่อเสียงจอมปลอมก็เท่านั้น” เสียงกล่าวของจ้าวเยี่ยนราวกับวายุพัดพาในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น น้ำเสียงที่ไม่แยแสของเขา คู่กับรูปลักษณ์อันสง่างาม ราวกับเทพเซียนลงมาจุติบนโลกมนุษย์
ชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนั้นหรือ?
ตำแหน่งอ๋องสำหรับเขาแล้ว คงเป็เพียงชื่อเสียงจอมปลอม หลีอ๋องเตี้ยนเซี่ยผู้นี้เฝ้าใฝ่ฝันถึงพระราชบัลลังก์เท่านั้นมิใช่หรือ?
เหนียนยวี่ทำเพียงยิ้มแย้มเบาบาง ไม่กล่าวอะไร ในมุมมองของจ้าวเยี่ยนยิ่งรู้สึกว่านางเข้าใจยาก อดไม่ได้ที่จะพินิจสำรวจคุณหนูสองสกุลเหนียนผู้นี้
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง และรถม้าก็หยุดลง เหนียนยวี่คิดว่าถึงตำหนักขององค์หญิงใหญ่แล้ว ทว่าเมื่อลงจากรถม้า ภาพตรงหน้ากลับเป็ศาลาหยกหลังหนึ่ง
“หลีอ๋องเตี้ยนเซี่ย นี่คือ?” เหนียนยวี่ฉงนสงสัย มิใช่ว่าต้องไปตำหนักองค์หญิงใหญ่หรือ?
จ้าวเยี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน สบตาเหนียนยวี่ “เ้าคิดว่าองค์หญิงใหญ่้าเจอเ้าจริงงั้นหรือ?”
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว เข้าใจความหมายของเขาในทันที “เช่นนั้น ที่หลีอ๋องเตี้ยนเซี่ยกล่าวว่าองค์หญิงใหญ่ชิงเหอรีบร้อนอยากพบข้า เป็เื่โกหกงั้นหรือเพคะ?”
“หากข้าไม่พูดเช่นนั้น พวกเขาจะปล่อยเ้าไปหรือ?” จ้าวเยี่ยนพูดพลางเยาะเย้ยตนเอง “ข้าเป็ท่านอ๋องผู้เอื่อยเฉื่อยไร้แก่นสาร คงไม่มีความสามารถที่จะพาเ้าออกมาด้วยนามของตนเอง”
เหนียนยวี่เข้าใจดี ทว่า...
“เหตุใดต้องช่วยข้าด้วยเพคะ?” เหนียนยวี่สบตาจ้าวเยี่ยน นางไม่เชื่อว่าเขาจะมีความเห็นอกเห็นใจล้นเหลือต่อเพื่อนมนุษย์
ชายผู้นี้ตลอดมาถ้าไร้ประโยชน์ก็จะไม่ลงมือทำ ถ้าไม่วางแผนมาก่อน เขาจะใจดีกับนางได้เยี่ยงไร?
ชาติก่อน เขาเห็นศักยภาพทางการทหารของนาง และคอยเฝ้ามองนางไต่เต้าระดับในค่ายทหารทีละขั้นๆ เขา้าครองบัลลังก์ จำต้องมีกำลังทหารเป็ธรรมดา ทว่าชาตินี้ นางเป็เพียงแค่ธิดาอนุธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง ไร้อำนาจไร้พลัง คาดไม่ถึงว่าจะไปสะกิดความคิดของหลีอ๋องได้เช่นไร?
"เหตุใดถึงช่วยเ้างั้นหรือ?"จ้าวเยี่ยนขมวดคิ้วราวกับใช้ความคิด ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งเขาก็คลายปมคิ้ว "เจอพอดี ก็เลยยื่นมือเข้าช่วย"
ยื่นมือเข้าช่วยงั้นหรือ? จ้าวเยี่ยนเขามีอารมณ์ปล่อยวาง ง่ายๆ สบายๆ เช่นนี้ั้แ่เมื่อใด?
คนอื่นเชื่อ ทว่านางไม่เชื่อ
ในเมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้ เช่นนั้นนางจะลองฟังเขาดูก่อน เพียงแต่คำพูดที่เขาพูดต่อมา กลับทำให้นางประหลาดใจ
"ทว่าตอนนี้...เ้าดูเหมือนจะติดหนี้น้ำใจข้าผู้นี้อยู่นะ" จ้าวเยี่ยนสบตาเหนียนยวี่ ดูราวกับแหย่นางเล่น ทว่าเหนียนยวี่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
น้ำใจหรือ?
ฉับพลันในใจเหนียนยวี่ก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาอย่างแจ่มแจ้ง
ที่แท้ที่เขาช่วยนาง ก็เพื่อน้ำใจ ทว่าน้ำใจนี้มิใช่ของเหนียนยวี่ แต่เป็น้ำใจขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ!
"หนี้น้ำใจครั้งนี้ เหนียนยวี่จะตอบแทนคืนให้ท่านในวันหนึ่งเพคะ" แม้ในใจเหนียนยวี่จะรู้สึกเย้ยหยันประชดประชัน ทั้งหมดที่เขาทำให้นาง นางจะคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาแน่นอน!
รอยยิ้มในดวงตาจ้าวเยี่ยนอ่อนโยนยิ่งขึ้น เขามองไปทาง ''ศาลาฉางยวี่''[1] กล่าวกับเหนียนยวี่ว่า "ดูเหมือนจะไม่มีที่ให้ไปแล้ว สู้ไม่เข้าไปนั่งพักสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือ?"
ศาลาฉางยวี่หรือ?
เหนียนยวี่หันไปยิ้มแย้มให้จ้าวเยี่ยน ไม่ปฏิเสธที่จะเข้าไป
ไม่ว่าใครล้วนรู้ดีว่าหลีอ๋องเตี้ยนเซี่ยเชี่ยวชาญกู่ฉิน หมากล้อม เขียนอักษร วาดพู่กัน และโปรดปรานหยก หลีอ๋องในวันพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่วันนั้น ฮ่องเต้หยวนเต๋อทรงพระราชทานศาลาหยกให้เขาด้วยตัวพระองค์เอง ศาลาฉางยวี่ยามนี้เป็ศาลาหยกที่ใหญ่โตที่สุดในรัฐชุ่นเทียน มีช่างแกะสลักที่โดดเด่นที่สุดคอยรับคำสั่ง ว่ากันว่า หลีอ๋องเตี้ยนเซี่ยทรงสนใจและจะออกแบบลายสลักเองเป็ครั้งคราว
"ศาลาฉางยวี่..." เหนียนยวี่ใคร่ครวญสามคำนี้ เดินตามจ้าวเยี่ยนเข้าไปในศาลาหยกฉาง
ศาลาฉางยวี่หลังนี้ นางคุ้นเคยเป็อย่างมาก
ชาติก่อน เขายกศาลาฉางยวี่ให้นาง เพียงเพราะชื่อของนางมีคำว่า''ยวี่'' เช่นเดียวกับศาลานี้
เขากล่าวกับนางว่า ระหว่างนางและเขาเป็เพราะสรวง์ลิขิตชะตา เขาชื่นชอบหยก และนางก็เป็หยกที่งดงามที่สุดของเขา
เขายังกล่าวอีกว่า ในวันหนึ่งเขาจะซ่อนนางไว้ใต้ปีก[2] ทว่ากลับกลายเป็ว่า...
เหนียนยวี่เดินวนรอบๆ ศาลาฉางยวี่ เกือบทุกแห่งมีความทรงของพวกเขา ทว่าความทรงจำเ่าั้กลับกลายเป็เื่น่าขันเมื่อต้องเผชิญกับผลลัพธ์ในตอนท้าย
บุรุษผู้นี้...
เหนียนยวี่มองไปที่จ้าวเยี่ยน หลีอ๋องนั่งอยู่ด้านหน้าของหน้าต่างหยกแกะสลัก ทำให้นางเผลอสบสายตายินดีของเขาโดยไม่ทันคาดคิด เหนียนยวี่แย้มยิ้มเบาบาง เลื่อนสายตาออกอย่างสงบเงียบ ทว่าในใจของจ้าวเยี่ยน กลับยิ่งสงสัยสตรีผู้นี้มากขึ้นไปอีก
คนสองคนอยู่ร่วมกัน ท่าทีที่นางแสดงออกต่อเขากลับเฉยเมยมิแยแสอยู่ตลอดเวลา ท่าทีเฉยชานั้น ราวกับเป็กำแพงที่มองไม่เห็นกั้นนางกับเขาเอาไว้
จนกระทั่งบ่าย คนทั้งสองก็ยังไม่มีผู้ใดพูดจา บางครั้งที่สายตาเผลอสอดประสานกัน ก็รีบเบนสายตาออกมาทันที
จ้าวเยี่ยนกำลังแกะสลักหยก ทว่ากลับมักจะแอบเบนสายตาเฝ้าดูเหนียนยวี่อยู่ตลอด จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานพอสมควร คนสองคนจึงค่อยออกมาจากศาลาฉางยวี่
จ้าวเยี่ยนเดิมที้าจะไปส่งเหนียนยวี่กลับจวน ทว่าเหนียนยวี่ยิ้มพลางปฏิเสธ "มิกล้ารบกวนหลีอ๋องเตี้ยนเซี่ย เหนียนยวี่ติดหนี้น้ำใจแล้วหนหนึ่ง จำต้องคืนให้ผู้นั้นแน่ แม้เหนียนยวี่เดิมพันชีวิต เกรงว่าคงไร้หนทางชดใช้"
จ้าวเยี่ยนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่ยืนกรานจะไปส่งนาง
เหนียนยวี่โค้งคำนับจ้าวเยี่ยนด้วยท่าฝูเชิน หันหลังกำลังเดินจากไป ทว่าถูกชายหนุ่มที่อยู่เื้ัเรียกรั้งไว้
เหนียนยวี่ชะงักฝีเท้า จ้าวเยี่ยนก้าวเท้าก้าวใหญ่ไปข้างหน้าเหนียนยวี่ และหยิบปิ่นหยกอันหนึ่งออกมาจากอก ปิ่นสีขาวราวหิมะ ใสแวววาว ปิ่นที่จ้าวเยี่ยนเพิ่งแกะสลักเสร็จอันนั้น
เขา้าจะทำอะไร?
ตอนที่เหนียนยวี่กำลังสงสัย จ้าวเยี่ยนยกมือขึ้น หยิบปิ่นหยกอันนั้นปักเบาๆลงบนผมของเหนียนยวี่
เหนียนยวี่มึนงงเล็กน้อย ปิ่นหยกอันนี้้ามอบให้นางหรือ?
นางเป็เพียงธิดาอนุตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง คาดไม่ถึงเลยว่าหลีอ๋องเตี้ยนเซี่ยเขาจะพยายามเต็มที่ถึงขนาดนี้ ดูแล้วหน้าตายศศักดิ์ขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอจะยิ่งใหญ่จริงๆ
ตอนที่เหนียนยวี่กำลังจะดึงปิ่นหยกนั้นคืนให้จ้าวเยี่ยน นางกลับรู้สึกถึงแววตาสายหนึ่งที่จ้องมองมาที่นาง มองไปตามสายตานั้น ก็สบตาเข้ากับดวงตาล้ำลึกคู่หนึ่งที่ลึกราวกับบึงน้ำไร้ก้น
หน้ากากสีเงินเป็ประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงแดดยามเย็น ยังคงสวมชุดดำสนิท ยิ่งเขานั่งอยู่บนหลังม้าพันธุ์งาม ยิ่งขับให้ดูองอาจผ่าเผยสง่างาม
ฉู่ชิงหรือ?
"จำไว้ ข้าจับตาดูเ้าอยู่ตลอดเวลา"
สายตานั้นทำให้เหนียนยวี่นึกถึงคำพูดของฉู่ชิงที่พูดขึ้นในคืนนั้นโดยไม่รู้ตัว คำพูดของเขายังคงชัดเจนอยู่ในโสตประสาทของนางทุกคำ
ในใจเหนียนยวี่สะอึกและชะงักอย่างน่าประหลาด ฉู่ชิงขี่ม้าผ่านหน้าคนสองคนอย่างช้าๆ ั้แ่ต้นจนจบสายตานั้นจับจ้องมาที่นาง แฝงนัยไม่ชัดเจน ทว่ากลับทำให้ในใจเหนียนยวี่กดดันอย่างไม่มีเหตุผล
"ปิ่นหยกอันนี้ช่างเหมาะกับเ้าอย่างที่คิดไว้จริงๆ สูงส่งเ็าราวดอกเหมย"
เสียงของจ้าวเยี่ยนปลุกสติของเหนียนยวี่ในทันที และเพิ่งจะค้นพบว่าเงาร่างของฉู่ชิงค่อยๆ หายลับไปจากสายตาแล้ว
ทว่าสายตานั้นยังคงติดตรึงอยู่ในหัวของนาง จนลืมแม้แต่เื่ที่นาง้าจะทำก่อนหน้านี้
จนกระทั่งจ้าวเยี่ยนขึ้นรถม้าไปแล้ว เหนียนยวี่ถึงจะดึงปิ่นหยกออกจากศีรษะ วิ่งตามเขาไป ทว่าก็ตามไม่ทันแล้ว
"เฮ้อ..." เหนียนยวี่มองปิ่นหยกในมือ ดอกเหมยสีขาวที่แกะสลักบนปิ่น งดงามสดใสราวของจริง สูงส่งเ็าราวดอกเหมยเช่นนั้นหรือ?
เหนียนยวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ระงับสายตาประชดเย้ยหยัน หยิบปิ่นหยกเก็บไว้ในอก ความคิดล่องลอยไปหาบุรุษที่เพิ่งผ่านมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
สายตานั้นของเขา...แฝงความหมายอะไรเอาไว้กันแน่?
เหนียนยวี่กลับจวนเหนียน ทุกอย่างดูสงบเรียบร้อยราวกับคลื่นสงัดลมสงบ
เพียงสองวันก่อนงานสมรสอันยิ่งใหญ่ของเหนียนเฉิง แม้หนานกงเยวี่ยจะเป็ห่วงเหนียนเฉิง ทว่าพิธีสมรสครั้งนี้ อย่างไรเสียก็เป็การเกี่ยวดองกันระหว่างราชวงศ์และตระกูลเหนียน จะดีหรือเลวเช่นไรจวนเหนียนก็มิกล้าดูแคลน
ทางจวนจิ้นอ๋อง กลับไม่มีกลิ่นอายความปีติยินดีเลยแม้แต่น้อย
ณ ลานจวนหลิ่วซี ผ้าพันแผลบนใบหน้าของจ้าวอิ้งเสวี่ยถูกถอดออกแล้ว ั้แ่ไหนแต่ไรมานางมิกล้าดูใบหน้าที่มีแผลเป็จากเพลิงไหม้ของตัวเอง นางสวมผ้าคลุมตลอดทั้งวัน ั้แ่วันนั้นหลังจากที่นางบอกจิ้นอ๋องและจิ้นหวังเฟยว่านางยอมแต่งให้เหนียนเฉิง นางก็ไม่เคยเอ่ยปากถึงคำนั้นอีก
จิ้นหวังเฟยเป็กังวลและสงสารบุตรสาวของตนเองมาก ยิ่งกว่านั้นยังกลัวว่านางจะคิดไม่ตกจนคิดสั้น ดังนั้นจึงคอยอยู่เคียงข้างนางด้วยตัวเองทุกวัน
ตกดึก จ้าวอิ้งเสวี่ยนอนไม่หลับ จิ้นหวังเฟยก็ไม่กล้าหลับ
"งานสมรส...วันมะรืนนี้แล้วหรือ?"จ้าวอิ้งเสวี่ยจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางแหบแห้งไม่น่าฟัง
จิ้นหวังเฟยหัวใจสั่นะเื นึกถึงเื่สมรสกับจวนเหนียน ใบหน้านางพลันเคร่งขรึมจริงจัง"ใช่ วันมะรืนนี้ อิ้งเสวี่ย...ทั้งหมดล้วนเป็เพราะบิดามารดาไร้ความสามารถ สู้ตระกูลหนานกงเยวี่ยไม่ไหว จัดการเหนียนเฉิงไม่ได้ แทนที่จะให้เ้า..."
จิ้นหวังเฟยรู้สึกเ็ปและโทษตัวเอง ยิ่งกว่านั้นนางพูดต่อไปไม่ไหว น้ำตาไหลรินพรั่งพรูออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
"ท่านแม่...ข้ามีคำขอข้อหนึ่ง" สายตาอันว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาของจ้าวอิ้งเสวี่ยลืมมองภายใต้ผ้าคลุมหน้า เมื่อนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ ดวงตาของนางฉายความลังเลชั่วขณะ และเปลี่ยนเป็สายตาแน่วแน่ในท้ายที่สุด
เชิงอรรถ
[1] ศาลาฉางยวี่ ฉางยวี่ในที่นี้ หมายถึง ศาลาหยกทิเบต ฉาง แปลว่า ทิเบต ยวี่ หมายถึง หยก
[2] ซ่อนไว้ใต้ปีก อุปมาหมายถึง การดูแล ปกป้องบางอย่างไว้