Chapter 13
เอเดนไม่ได้แค่จูบกับคนอื่น
แต่เขาโอบกอดร่างแบบบางของเธอไว้ในอ้อมแขนแน่น เลื่อนมือต่ำลงจนวางอยู่บนสะโพกของเธอขณะที่ริมฝีปากยังคงแนบชิดติดกัน โจไซอาจ้องมองนิ่งอยู่นานด้วยใบหน้าเรียบนิ่งราวไร้ความรู้สึก เห็นแม้กระทั่งเรียวลิ้นของเอเดนที่สอดเข้าไปในโพรงปากของหญิงสาว เมื่อผละจูบแล้วแต่ทั้งคู่ยังไม่แยกจากกัน มือของเอเดนโอบเธอไว้เช่นเดิม และกดจมูกซุกไซ้ซอกคอของเธอ
โจไซอาถูกผู้คนในคลับที่กำลังสนุกสนานกับเสียงเพลงชนที่ไหล่ ร่างกายโอนอ่อนเพราะไม่ได้ตั้งตัวปลิวตามแรงกระแทก ดวงตาสีน้ำตาลจึงหลุดจากภาพที่เห็นตรงหน้า และตัดสินใจเดินออกจากคลับ แล้วขับรถกลับมาที่บ้าน
โจไซอาไม่ร้องไห้ ไม่ยิ้ม ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ไม่แม้แต่หายใจ เขานั่งพิงพนักโซฟาในห้องนั่งเล่น ท่ามกลางความมืดที่มีแสงไฟจากสระว่ายน้ำและสนามหญ้าเล็ดลอดเข้ามาผ่านหน้าต่าง อุณหภูมิเริ่มลดต่ำเพราะฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงทำให้ภายในบ้านเย็นเฉียบบาดลึกถึงหัวใจ
แต่โจไซอายังคงนั่งรอเอเดนอยู่ตรงนั้น กระทั่งเสียงรถดังขึ้น และขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
เอเดนลงจากรถจักรยานยนต์คู่ใจคันใหม่ของตนเอง ถอดหมวกกันน็อกอย่างลวก ๆ และวางพลาดทำมันตก แต่ไม่มีแรงจะก้มเก็บมันขึ้นมา เอเดนเพียงแค่ปล่อยมันไว้ที่พื้น แล้วพาร่างโงนเงนของตนเองเดินเข้าบ้าน ผลักบานประตูสุดแรงสร้างเสียงดังโครมคราม และคลำหาสวิตช์ไฟ ทำให้ห้องนี้สว่าง
“ไปไหนมา” เสียงเรียบนิ่งจากโจไซอาดังขึ้นทันที
“ผมไปกับเพื่อนน่ะ” เสียงเอเดนยานคาง เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ยอมหันมาสบตาโจไซอาที่ลุกขึ้นยืน มุ่งแต่จะเดินไปที่ห้องนอนเพียงอย่างเดียว
“เธอได้มีอะไรกับคนคนนั้นก่อนจะกลับมาหรือเปล่า” ประโยคนี้ทำให้เอเดนหยุดชะงักนิ่ง
“ฉันเห็น…”
ตอนนี้เสียงที่เรียบนิ่งของโจไซอาเริ่มสั่น เอเดนกำลังหันมองมาช้า ๆ แสงไฟตกกระทบใบหน้าจนเห็นริ้วสีแดงพาดผ่านแก้มสองข้าง กับดวงตาปรือล่องลอย ดวงตาสีเฮเซลพยายามมองโจไซอา เอเดนจ้องค้างอยู่นานโดยไม่พูดอะไร
และแสยะยิ้ม พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอแ่เบา ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น
“เอเดน!”
โจไซอาโมโหเมื่อได้รับสายตาเช่นนั้นจากอีกฝ่าย เขาหายตัวแล้วปรากฏกายตรงหน้าร่างสูง คว้าคอเสื้อยืดกระชากให้เอเดนขยับเข้าใกล้ แต่ร่างกายของเอเดนอ่อนปวกเปียกแม้จะสูงใหญ่กำยำ พร้อมกับกลิ่นเหล้า กลิ่นควันบุหรี่ฉุนจมูก
“เธอขับรถกลับมาในสภาพแบบนี้เหรอ”
เขาเขย่าคอเสื้อด้วยแรงที่ควบคุมไม่ได้จนได้ยินเสียงฉีกขาดของเนื้อผ้า แต่เอเดนไม่สามารถโต้ตอบโจไซอาได้อีก ดวงตาปรือปรอยล่องลอยปิดลง ล้มตัวทิ้งน้ำหนักทั้งหมดใส่โจไซอา
“ให้ตายเถอะ”
โจไซอาพาเอเดนมานอนบนเตียง ทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ชุดนอน ทั้งเช็ดตัวให้อย่างใจเย็นขณะครุ่นคิดวนเวียนอยู่กับภาพที่ได้เห็นกับตา ถ้าเขาไม่ได้เห็นเองคงไม่มีทางเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง แม้แต่ตอนนี้โจไซอายังหวังอยู่ลึก ๆ ว่าสิ่งที่เห็นเป็เพียงภาพลวงตาเท่านั้น
โจไซอานั่งพิงหัวเตียงจ้องมองคนข้างกายที่หลับสนิท แผ่นอกขยับขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ เขาวางมือที่อกเพื่อััการเต้นของหัวใจบ่งบอกถึงสัญญาณชีพที่ปกติของมนุษย์ ร่างเพรียวบางอยู่ข้างเอเดนไม่ห่าง วางมือบนแผ่นอกอย่างที่ชอบทำ เพราะเขาชอบความอุ่น และจังหวะชีพจรมนุษย์
เขาขยับตัวลงนอน ทิ้งศีรษะที่หมอนฝั่งตนเอง นอนตะแคงมองใบหน้าด้านข้างของชายผู้เป็ที่รัก ทุก ๆ อย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมสีดำสนิท คิ้วเข้ม ขนตายาว จมูกโด่งปลายทู่มน และริมฝีปากมุมคว่ำทั้งสองฝั่ง ความรู้สึกของโจไซอาก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ช่างน่ารำคาญที่เขายังรักเอเดนสุดหัวใจ แม้ว่าจะมองเห็นอีกฝ่ายนอกใจต่อหน้าต่อตา
ความเ็ปที่อดกลั้นมานานกำลังขยายตัว และกระจายครอบคลุมโจไซอาจนไม่อาจหนีมันพ้น เขาเ็ปที่หัวใจราวถูกกรีดด้วยมีดคม ความเ็ปแล่นไปทั่วร่างกายราวยืนในที่กลางแจ้งให้สายฟ้าฟาดใส่ ความร้อนและน้ำตาแห่งความเศร้าโศกวิ่งขึ้นมากองที่ขอบตา
โจไซอาเอื้อมแขนพาดลำตัวเอเดนหลวม ๆ วางศีรษะซบอกหนา แนบหูฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ภายใน ขณะที่หัวใจของเทพหยุดเต้นนานหลายนาที เพราะมันบีบตัวจนหดเล็กอย่างรุนแรงและไม่คลายออกจากความรู้สึกเ็ปรวดร้าวของโจไซอา เขากอดต้นเหตุของความเศร้าโศกแน่นขึ้น ััความอบอุ่นจากผิวกายเอเดน แต่กลับรู้สึกหนาวเหน็บบาดไปทั่วผิวกาย
น้ำตาที่เอ่อคลอกำลังไหลรวมกันที่หางตา โจไซอาจึงรีบลุกขึ้น ยกมือเช็ดมันออกก่อนที่ความร้อนแผดเผาของน้ำตาจะทำให้เอเดนาเ็ แต่ยิ่งอดกลั้นมันกลับยิ่งพรั่งพรู น้ำตาไหลอาบแก้มของโจไซอา และฝ่ามือเรียวไม่สามารถเช็ดมันออกทัน หยดน้ำตาอำนาจทำลายล้างหยดลงบนฟูกนอน รอยเปียกแปรเปลี่ยนเป็เปลวไฟอย่างรวดเร็ว โจไซอาใช้มือวางทับเพื่อดับมัน
ร่างเพรียวบางวิ่งไปนอกบ้าน เพราะไม่สามารถกลั้นน้ำตาแห่งความเศร้าโศกได้อีกต่อไป เขาร้องไห้ด้วยความเ็ป มันพรั่งพรูออกมาเป็หยดน้ำที่ก่อเปลวไฟ พื้นหินแข็งแรงที่ปูหน้าบ้านร้อนจัดจากน้ำตาเ่าั้ ขาเรียวยาวจึงเดินหน้าต่อไป แล้วหยุดยืนที่สระว่ายน้ำ
เขานั่งลงที่ขอบสระ ทิ้งขาสองข้างแช่อยู่ในสายน้ำเย็นเฉียบ ลมฤดูร้อนแปรเปลี่ยนเป็ลมเย็นที่พัดพาอากาศหนาวมาด้วย ต้นไม้โดยรอบที่บดบังบ้านชั้นเดียวแห่งนี้ไว้เริ่มเปลี่ยนสี น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงในสระว่ายน้ำ
โจไซอานั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น จนพระอาทิตย์ของเช้าวันใหม่โผล่มาทักทาย
‘เอเดน… เอเดน’
เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อของเขาดังก้อง เขาหมุนตัวเพื่อหาที่มาของเสียงนั้น แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ
‘เอเดน ฮ่า ๆๆ’ เสียงนั้นเรียกชื่อเขาและหัวเราะ แม้จะได้ยินแค่เสียง แต่สามารถรับรู้ถึงความสุขที่เจืออยู่ในนั้นได้
เสียงเรียกชื่อเอเดนยังดังก้องซ้ำ ๆ ด้วยเสียงหวานของคนเดิม บ้างก็ดังขึ้นตรงหน้า บ้างก็อยู่ทางขวา บ้างก็อยู่ด้านหลัง แต่ไม่ว่าเอเดนจะหันตามเสียงกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเขาก็ไม่พบใครอยู่เลย
‘ได้โปรด… ได้โปรด’
เสียงที่เคยเรียกชื่อเขาแปรเปลี่ยนไปเป็การขอร้องอ้อนวอนด้วยเสียงสั่น เสียงร้องไห้ดังก้องตามมา สะอึกสะอื้นด้วยความเ็ปอย่างน่าสงสาร เอเดนรีบหันหลังตามที่มาของเสียง และพบคนคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่พื้น ก้มหน้าจนไม่รู้ว่าเป็ใคร ไหล่บางทั้งสองข้างสั่นไหว
คนคนนั้นเงยหน้ามองเอเดน
เผยรอยเืที่ไหลเป็ทางจากขอบตาทั้งสองข้าง หยดลงบนพื้นจนทั่วทั้งบริเวณเป็สีแดงสดของเื และยังไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ เอเดนพยายามถอยหลังวิ่งหนี แต่ไม่อาจหนีเืมหาศาลที่กำลังเปลี่ยนทุกพื้นที่ให้เป็สีแดง
เอเดนลืมตาตื่นจากฝัน เขากะพริบตาหลายครั้งจนมองเห็นเพดานสีขาวภายในห้องนอน เพียงไม่กี่วินาทีที่ดวงตาสีเฮเซลมองเห็นความจริง ความฝันเมื่อครู่ก็เริ่มจางหายไปจากความทรงจำจนนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เหลือเพียงความเลือนรางเท่านั้น
เขาพลิกตัวนอนตะแคง หลับตาแน่นเพราะความเ็ปรอบกระบอกตาลามไปทั้งศีรษะ เขาพรูลมหายใจหลายครั้งพลางคิดว่าถ้าลุกขึ้นตอนนี้เขาต้องหน้ามืดล้มลงอย่างแน่นอน เอเดนจึงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ที่ว่างบนเตียงอีกฝั่งเย็นเฉียบไร้ความอบอุ่น หูของเขาได้ยินเสียงบางอย่างตกลงไปในน้ำ แต่่รอยต่อระหว่างความจริงกับความฝันทำให้เขายังนอนหลับ
และเบิกตากว้าง พร้อมลุกพรวดขึ้น โดยไม่สนอาการมึนหัวของตนเอง เขาเกาะขอบประตูและตู้ไปตลอดทาง ระหว่างเดินออกจากห้องนอนจนถึงห้องนั่งเล่น ภาพที่เห็นจากหน้าต่างทำให้เขาใกว่าเดิม รองเท้าแตะสวมในบ้านของโจไซอาวางอยู่ที่ขอบสระว่ายน้ำ ร่องรอยหยดน้ำที่กระเด็นบนพื้นหินขอบสระยังคงอยู่
เอเดนตื่นเต็มตา เขาใจหายวาบ ภายในกายวูบโหวงราวตกจากที่สูง มือหนาผลักประตูบ้าน แล้วรีบวิ่งไปที่ขอบสระ เมื่อเห็นว่าโจไซอาอยู่ในสระน้ำจริง ๆ อย่างที่คาดเดาจึงะโตามไปโดยไม่คิดถึงชีวิตตนเอง
ร่างเพรียวบางของโจไซอาใต้น้ำนิ่งงัน ปล่อยให้น้ำโอบอุ้มทั้งกาย เอเดนรู้สึกผิดสุดหัวใจที่ตนเองปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไม่รู้นานเท่าใดหลังได้ยินเสียงบางอย่างตกลงไปในน้ำ เขาคิดวนอยู่ในหัวขณะดำลงไปก้นสระ ว่าถ้าหากเขารีบตื่นให้เร็วกว่านี้ ถ้าหากเขารีบมาช่วยโจไซอาให้เร็วกว่านี้…
แขนล็อกร่างโจไซอาจากด้านหลัง ดึงขึ้นสู่ผิวน้ำ อุ้มขึ้นมาที่ขอบสระ เอเดนกอดร่างเย็นเฉียบแนบอก วางฝ่ามือข้างแก้มนวลสีซีดเผือด ตบเบา ๆ หลายครั้ง
“โจ… โจ ได้ยินผมไหม”
เปลือกตาเปิดออกเชื่องช้าจนเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อน และตาขาวที่เปลี่ยนเป็สีแดงจาง โจไซอาไม่ได้เป็อันตรายถึงชีวิตเพียงแค่ขาดอากาศหายใจ เขาไม่ได้เป็อะไรเลยนอกเสียจากความเ็ปที่ขับออกมาเป็น้ำตาอำนาจทำลายล้างจนต้องะโลงสระ แต่มนุษย์ใสซื่อกลับช่วยเขาขึ้นมา
ทั้งสองสบตากันอยู่นาน ลมหายใจอุ่นของเอเดนรินรดโจไซอา เพราะการหอบถี่จากความร้อนรน โจไซอาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเฮเซล แววตาของเอเดนในยามนี้แสดงความตื่นตระหนกและความเป็ห่วงอย่างน่าประหลาดใจ
มือเรียวเย็นเฉียบยกขึ้นวางที่แก้มอุ่นของเอเดน นิ้วโป้งปาดหยดน้ำที่ไหลตามเส้นผมสีดำลงมาถึงแก้มออก และมีหยดน้ำหยดอื่นไหลมาอีก โจไซอาจ้องมองใบหน้าของมนุษย์ชายหนุ่มด้วยความรักใคร่ น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมหัวใจที่บีบตัวแน่น
“เอเดน…”
เ้าของชื่อรับรู้ในขณะนั้น ว่าเสียงในความฝันของตนเมื่อครู่คือเสียงของโจไซอา
ไม่ช้าไม่นาน แววตาของความตื่นใและความเป็ห่วงก็หายวับไป เอเดนปล่อยร่างโจไซอาออกจากอ้อมแขน เขาลุกขึ้นและเดินเข้าบ้านด้วยความไม่แยแส เทพอายุร้อยปีจึงรีบดึงข้อมือเพื่อรั้งเอเดนไว้ ทั้งสองยืนนิ่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ปล่อยให้ร่างกายที่เปียกไปทั้งตัวทิ้งหยดน้ำลงบนพื้น
“เอเดน เดี๋ยวก่อน คุยกับฉันก่อน” ร่างสูงค่อย ๆ หันมาสบตา บัดนี้ใบหน้าเอเดนไร้อารมณ์ คาดเดาความรู้สึกไม่ได้เลย
“เราต้องคุยกันให้รู้เื่” หลังโจไซอาครุ่นคิดด้วยสมองทึบ ๆ และโง่เขลา ความโกรธที่ก่อตัวขึ้นได้หายไปแล้ว
“ผมไม่ได้—”
“ฉันขอโทษ!” โจไซอารีบเอ่ยแทรก เขาไม่อยากให้เอเดนพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว เพราะกลัวสุดหัวใจว่ามันจะเป็คำต้องห้าม
“ฉันผิดเอง ฉันทำให้เธอเหงาใช่ไหมเอเดน อยู่กับฉันคงทำให้เธอเบื่อ ฉันทั้งทิ้งเธอให้อยู่คนเดียวเป็อาทิตย์…” มันคือความโง่เขลา เพราะโจไซอารักเอเดนมากเหลือเกิน เขาดึงความผิดทั้งหมดเข้าหาตัวจนเอเดนแปลกใจ
“เธอจะมีคนอื่นก็ได้ เธอจะไปเที่ยว หรือไปนอนกับใคร ฉันให้เธอทำได้ทั้งนั้นถ้าเธอ้า แต่ฉันขอแค่อย่างเดียวนะเอเดน อยู่กับฉันที่นี่เถอะนะ และอย่าพูดว่าไม่—”
“คุณเป็บ้าไปแล้วเหรอโจไซอา!” เอเดนตะคอกเสียงดังพร้อมสะบัดมือของตัวเองออก อีกฝ่ายไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับโจไซอามาก่อน และไม่เคยมองด้วยแววตาว่างเปล่าเช่นนี้เลย
หัวใจของเทพบีบตัวแน่น โจไซอามองตามแผ่นหลังเอเดนที่เดินเข้าห้องนอน ความรู้สึกวูบโหวงและเ็ปไปทั้งกายเกิดขึ้นพร้อมกันจนขาสองข้างอ่อนแรง เขาล้มลงนั่งที่พื้นในที่สุด หอบหายใจแรงด้วยความเหนื่อย ร่างกายหนักจนไม่ยอมทำตามที่โจไซอา้า รู้สึกพะอืดพะอมมวนท้อง
โจไซอารู้ดีว่าสาเหตุของอาการเหล่านี้คืออะไร
เขารวบรวมพลังในการบังคับแขนขาตนเองให้ขยับจนสามารถลุกขึ้นยืน ราวกับโลกหมุนเหวี่ยงอย่างรุนแรงจนยากจะทรงตัว เขาคว้าจับของที่อยู่ใกล้มือ พาร่างกายตัวเองไปหาเอเดนที่อยู่ในห้องนอน
แต่ภาพที่เห็นทำให้เขายิ่งเ็ป เอเดนกำลังสวมเสื้อตัวใหม่ที่แห้งดี บนเตียงมีกระเป๋าถือและข้าวของใช้ส่วนตัวของเอเดนวางกระจัดกระจาย เมื่อสวมเสื้อเสร็จ อีกฝ่ายหันมาโกยของเ่าั้ใส่กระเป๋าอย่างลวก ๆ
“เธอจะไปไหนเหรอ” อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่เดินวนในห้องเพื่อหยิบของอย่างอื่น
“เอเดน”
โจไซอาเรียกด้วยเสียงอ่อนแรง และพาร่างตัวเองเดินมาหาเอเดนสำเร็จ เขาคว้าแขนอีกฝ่ายแน่น ทิ้งน้ำหนักเพราะไม่สามารถยืนด้วยขาของตนเองได้ มือเรียวยกขึ้นกุมสันกรามอีกฝ่ายพยายามดึงให้เอเดนโน้มใบหน้ามาหา เพื่อกดจูบแนบริมฝีปากบาง เขาดูดดึงด้วยแรงอันน้อยนิด หวังว่าพรจากจุมพิตนี้จะช่วยเอเดนและประคองความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ให้แตกหัก
แต่มือหนาที่บัดนี้แข็งแรงกว่าเขาผลักโจไซอาออก
“อย่าไปนะเอเดน อยู่กับฉันเถอะ” ดวงตาสีเฮเซลไม่เหลือประกายของความสุข ไม่เหลือความรักใคร่ขณะมองโจไซอา แต่ถึงอย่างนั้นเทพที่กลายเป็ผู้โง่เขลาก็ยังมีความหวัง
“ขอร้อง อย่าพูดว่าไม่รักฉัน”
มือเรียวบีบท่อนแขนเอเดนแน่น ขอร้องอ้อนวอนด้วยความหวาดกลัวและความเศร้าโศก อดกลั้นน้ำตาอำนาจทำลายล้างไม่ให้มันทำร้ายเอเดนผู้เป็มนุษย์
มือใหญ่วางทาบทับมือเรียวบนท่อนแขนของตน ค่อย ๆ ดึงมือนั้นออกเชื่องช้า
“แต่ผมไม่ได้รักคุณ”
และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่โจไซอาได้ััผิวกายอบอุ่นของมนุษย์นามว่าเอเดน กริฟฟิน
เอเดนหันไปรวบกระเป๋าสีดำมาไว้ในมือ แล้วออกไปจากห้องนอนที่ทั้งคู่เคยโอบกอดพลอดรักกัน ห้องที่เอเดนกับโจไซอาเคยร่วมรักหลับนอนด้วยกันหลายต่อหลายคืน กลายเป็ห้องที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นของความเ็ป ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นไหม้จากเปลวไฟที่มีน้ำตาของโจไซอาเป็เชื้อเพลิง
ความอ่อนแอเข้าโจมตีหนักหนาสาหัสกว่าเดิม โจไซอาไม่สามารถยืนได้ด้วยขาสองข้างของตนเอง เขานั่งลงที่พื้น หอบหายใจอย่างยากลำบาก พร้อมเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าและดับเปลวไฟจากน้ำตาของตนเอง เขาะโร้องเรียกชื่อชายผู้เป็ที่รักด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่ว่าจะพยายามะโมากเท่าใด เสียงที่ออกมาก็แ่เบาราวกระซิบ
เขาฝืนร่างกายแล้วลุกขึ้นยืนด้วยการคว้าเตียง ดึงร่างตนเองขึ้นสำเร็จ แล้วสาวเท้าเร็วที่สุดเท่าที่ร่างปวกเปียกอ่อนแรงของตนเองจะพาไปได้ เขาเห็นแผ่นหลังของเอเดนอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ไม่สามารถไขว้คว้ารั้งอีกฝ่ายไว้ได้เลย
“เอเดน! ถอนคำพูด ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้”
เอเดนได้ยินเสียงของโจไซอาที่ดังอยู่ด้านหลัง แต่เพิกเฉย เดินหน้าต่อไปอย่างไม่คิดจะหยุดจนรองเท้าััพื้นหญ้าในสนามหน้าบ้าน
“อย่าพูดมันออกมาอีก อย่าไปเอเดน”
เมื่อร่างสูงกำยำของเอเดนที่ไม่คิดจะหันหลังกลับ เดินออกจากเงาของตัวบ้าน จนแสงแดดจากดวงอาทิตย์ยามสายอาบทั่วตัว บุคคลปริศนาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำถึงข้อเท้า กับหน้ากากสีเงินก็ปรากฏกายตรงหน้าเพื่อขวางทางมนุษย์ผู้นี้เอาไว้ไม่ให้เดินต่อ เพียงแค่ฝ่ามือของเทพอารักษ์กฎชูขึ้นคว้าจับใบหน้าเอเดน เขาก็สลบทรุดตัวลงที่พื้นหญ้า
“ไม่… ไม่!”
โจไซอาร้องโวยวายสุดเสียง เขาล้มลงแล้วพยายามคลานมาปกป้องเอเดนสุดชีวิต เทพอารักษ์กฎเฝ้ามองโจไซอาอยู่ตลอดั้แ่หลังการพิจารณาโทษจึงรับรู้คำต้องห้ามจากปากเอเดนในทันที พวกเขามาถึงโดยที่โจไซอายังไม่ทันตั้งตัว ร่างกายที่แสนอ่อนแอน่าหงุดหงิดก็กองอยู่บนพื้นหินและหนักจนบังคับมันไม่ได้
ซาตานสองตนบริวารของเทพอารักษ์กฎเข้ามาคว้าแขนสองข้างของเอเดน ปีกสีขาวนวลของซาตานสยายออกแล้วบินขึ้นฟ้า โจไซอามองร่างที่หลับใหลของเอเดนลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ เขาชูมือขึ้นเพื่อเสกโซ่ตรวนตรึงข้อเท้าของซาตานทั้งสองตน จนร่างกำยำสีขาวนวลหยุดชะงัก และกระพือปีกแรงขึ้นเพื่อให้หลุดพ้น
“อย่าเอาเขาไป!”
แต่กลับมีโซ่เส้นใหญ่รัดข้อมือของโจไซอาทั้งสองข้างให้รวบอยู่ที่ด้านหลังด้วยฝีมือของเทพอารักษ์กฎซึ่งจ้องมองอยู่ พลังอ่อนแรงทำให้โจไซอาดิ้นเท่าใดก็ไม่สามารถสลัดโซ่ออกได้ เขาจ้องมองเอเดนที่อยู่ในมือของซาตานสองตน น้ำตาไหลอาบแก้มหยดลงที่ชายเสื้อจนเกิดเปลวไฟล้อมรอบกายโจไซอา
“ไม่… ไม่! แกกล้าดียังไง พาเขากลับมาหาเดี๋ยวนี้ ฉันสั่งให้พาเอเดนกลับมา!”
หัวใจของโจไซอาบีบรัดรุนแรง เมื่อทั้งซาตานสองตนและเอเดนหายวับไปในอากาศ เขาเลื่อนสายตามองเทพอารักษ์กฎด้วยความโกรธ โวยวายอย่างเสียสติ แต่องค์เทพในชุดคลุมสีดำกลับก้าวเท้าเข้าหาด้วยความใจเย็น มือใหญ่เชยคางของโจไซอา ปาดเช็ดน้ำตาออกจากปลายคาง และกำลังวางฝ่ามือบนใบหน้าเพื่อทำให้โจไซอาสลบ
“อย่าแตะต้องลูกชายฉัน!”
น้ำเสียงอันทรงพลังของเทพแห่งความผูกพันดังขึ้นจนเทพอารักษ์กฎชะงัก เทพสององค์ผู้เป็พ่อและแม่ของโจไซอาปรากฏตัวที่โลกมนุษย์ทันทีที่รู้ข่าว เทพแห่งความรักวิ่งตรงเข้าหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ดึงกระชากโซ่ที่รัดข้อมือออกจนมันสลายไปในอากาศ ดับไฟร้อนจากน้ำตาของโจไซอาที่ลุกไหม้รอบกาย
“แม่อยู่นี่แล้วลูกรัก”
เทพอารักษ์กฎก้าวเท้าถอยหลัง กระแอมในลำคอเล็กน้อยแล้วหยิบม้วนกระดาษสีอมเหลืองออกมากางจนสุด แล้วเริ่มอ่านคำตัดสิน
“บทลงโทษของมนุษย์ นามว่า เอเดน กริฟฟิน… ลบความทรงจำเกี่ยวกับเทพทั้งหมด” เทพอารักษ์หยุดเงียบ เหลือบตาสีดำมองโจไซอา
“และลดอายุขัย ไม่สามารถอยู่ในฐานะผู้เป็ะอีก”
“ไม่จริง! เอเดนโกหก พวกแกดูไม่ออกหรือไง ไอ้พวกเทพอวิญญู!”
เสียงแหบแห้งแผดะโด่าทอเทพอารักษ์กฎไม่หยุด แต่เทพในชุดคลุมสีดำหายตัวกลับเมืองเทพเพิกเฉยโจไซอา เขากำลังเสียสติ ดีดดิ้นในอ้อมแขนของแม่ด้วยแรงอันน้อยนิด น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาดสายจนสนามหญ้าถูกเผาไหม้เป็วงกว้าง ไฟลามอย่างรวดเร็ว สร้างควันกลิ่นฉุนลอยขึ้นฟ้า เทพแห่งความผูกพันผู้เป็พ่อดับไฟทั้งหมดจนเหลือเพียงพื้นสีดำจากการเผาไหม้ แล้วนั่งลงโอบกอดภรรยากับลูกชาย เพื่อพาทั้งคู่กลับบ้านพร้อมกัน
โจไซอาหลับไปด้วยพลังของพ่อที่เสกเขาด้วยความกลัวว่าโจไซอาจะร้องไห้อย่างเ็ปทรมาน แต่เขานอนหนุนตักของแม่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง โจไซอาก็ลุกพรวดขึ้นด้วยแววตาตื่น ความอ่อนเพลียและกายปวกเปียกดีขึ้นเพียงเล็กน้อย เขายังคงรู้สึกพะอืดพะอม และแขนขาหนักแต่ยังพอขยับบังคับมันให้ลุกขึ้นนั่งได้
“เอเดน!”
เขาร้องหาชายที่ตนรักทันทีที่ตื่น เมื่อกวาดมองโดยรอบพบว่าอยู่ในบ้านที่เมืองเทพ และเห็นแม่กำลังนั่งอยู่เคียงข้างไม่ห่าง เขาจึงหันไปอ้อนวอนกับเธอ
“ท่านแม่ ลูกต้องไปช่วยเอเดน ก่อนที่เขาจะจำลูกไม่ได้”
“โจ ได้โปรด ร่างกายลูกตอนนี้ฝ่าพวกภูตผีของเทพแห่งความทรงจำไม่ได้”
เทพแห่งความทรงจำอาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลไกลโพ้นในโลกมนุษย์ ที่มีภูตผีบริวารของเทพแห่งความทรงจำคอยป้องกันเกาะแห่งนั้นเอาไว้ให้พ้นสายตามนุษย์ หรือเทพองค์อื่นที่เข้ามาก่อกวน นอกเหนือจากภารกิจตามคำสั่งของเทพอารักษ์กฎ มนุษย์ที่รับโทษลบความทรงจำจะถูกส่งตัวไปที่นั่น
“ลูกไม่กลัวพวกภูตนั่น ลูกต้องช่วยเอเดนให้ได้”
“โจไซอา” เทพแห่งความรักพรูลมหายใจ เมื่อต้องเอ่ยความจริงย้ำเตือนลูกชาย
“เอเดนไม่ได้รักลูก เขาพูดมันออกมาแล้ว ไม่มีอะไรชัดเจนกว่าวาจา” น้ำตาเอ่อล้นจากขอบตาโจไซอาอีกครั้ง เมื่ออยู่ที่บ้านในเมืองเทพจึงไม่มีอะไรที่ถูกแผดเผา มีแต่หัวใจของโจไซอาที่บีบรัดจนแน่นไม่ยอมคลายออก และรวดร้าวไปทั้งกาย
“เอเดนโกหก ท่านแม่ก็รู้ว่าพวกมนุษย์ช่างพูดโป้ปดยิ่งกว่าอะไร”
พลังอันแก่กล้าที่สุดของมนุษย์คือการโกหก พวกเทพไม่สามารถหยั่งรู้ความคิดอันซับซ้อนของมนุษย์ได้ จึงไม่สามารถหยั่งรู้ความจริงเื้ัคำพูดของมนุษย์ได้เช่นกัน หากมนุษย์ผู้นั้นคิดจะโกหกเพียงคนเดียว ไม่ได้เปล่งความจริงออกมากับใคร ก็จะสามารถโกหกเทพได้อย่างแเี ซึ่งโจไซอาคิดเข้าข้างตัวเองอย่างหนักว่าเอเดนโกหก
“แต่ลูกก็เห็นเขามีคนอื่นที่ไม่ใช่ลูก…”
ภาพสาเหตุความเ็ปฉายซ้ำอีกครั้งเมื่อแม่ช่วยย้ำเตือน โจไซอานิ่งงันอย่างเถียงไม่ออก เขาก้มหน้าร้องไห้ บีบมือของแม่เสียแน่นแต่แรงของเขากลับน้อยนิดจนเหมือนแค่แตะัั เรี่ยวแรงของเขาลดน้อยลงรวดเร็วอย่างน่าใจหายเพราะโรครักระทม มีแต่น้ำตาที่ไหลออกมามากขึ้นราวไม่มีจุดสิ้นสุด
“ท่านแม่ทำให้เอเดนรักลูกได้ไหม” โจไซอาร้องขอด้วยความเ็ปกับเทพแห่งความรักผู้เป็แม่ เธอวาดแขนโอบกอดลูกชายแนบอก ลูบเส้นผมสีทองหม่นที่เหมือนกันกับเธอ
“ความรักคือความรู้สึกที่ควบคุมยากที่สุดลูกรัก… เพราะอย่างนั้น แม่จึงไม่มีพลังอำนาจกำหนดความรักของใครต่อใครได้เลย แม่อยู่อย่างไร้ประโยชน์มาตลอด”
ความลับของเทพทุกองค์ คือข้อจำกัดเื่พลังอำนาจของตนเอง เทพแห่งความรักปกปิดความรู้สึกไร้ประโยชน์เพราะไม่มีอำนาจวิเศษไว้กับตัวมาตลอดชีวิตนับพันปี แม้แต่ตอนนี้เธอยังไม่สามารถช่วยเหลือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนเองได้เลย เธอรู้สึกไร้ค่า และเ็ปเพราะเห็นโจไซอาทุกข์ระทม
“แม่ขอโทษลูกรัก แม่ขอโทษ”
เสียงร้องไห้ดังก้องบ้านหลังใหญ่ในเมืองเทพ โจไซอาหวีดร้องสะอื้นไห้ หวังว่ามันจะบรรเทาการบีบแน่นของหัวใจ แต่กลับทำให้เขารวดร้าวยิ่งกว่าเดิม เขาร้องไห้มาตลอดทั้งวันจนในที่สุดน้ำตาของโจไซอาก็มาถึงจุดสิ้นสุด
แต่มันเปลี่ยนเป็เืสีแดงสด ไหลออกจากขอบตาเป็สาย
tbc.
#เฮเซลอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้