เมื่อเสาหินแตกกระจาย ความมืดมิดก็เข้าปกคลุมยอดเขาิเฟิงอีกครา
ลัวเซวียนและเยี่ยอวิ่นยังคงแย่งชิงหงส์หยกแดงกันอย่างดุเดือด แต่เหตุใดพวกเขาไม่ฉวยเอาน้ำเต้าเจ็ดสีเล่า?
นั่นก็เพราะทั้งคู่รู้ว่ามีความเป็ไปได้สูงที่น้ำเต้าเจ็ดสีจะเป็อาวุธิญญาจื๋อซิว
อาวุธิญญาจื๋อซิวแบ่งออกเป็สามประเภท คือ ์ขัดเกลา ปฐีขัดเกลา และิญญาขัดเกลา
อาวุธที่ขัดเกลาจาก์และปฐีนั้นหายากอย่างยิ่ง ดังนั้น อาวุธิญญาจื๋อซิวที่นิยมส่วนมากจึงเป็ประเภทิญญาขัดเกลา ซึ่งเป็สมบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากิญญาพฤกษา ิญญาอสูร และิญญาร้าย
อาวุธิญญาประเภทนี้มีบางส่วนที่หยวนซิวและซิงซิวสามารถใช้งานได้ อีกส่วนหนึ่งจะมีคุณสมบัติเฉพาะและมีเพียงจื๋อซิวเท่านั้นที่ใช้ได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ลัวเซวียนและเยี่ยอวิ่นจึงยอมตัดใจจากน้ำเต้าเจ็ดสี
หนิงเทียนทำจางเหว่ยาเ็สาหัส ทั้งยังสร้างความสัมพันธ์พิเศษกับน้ำเต้าเจ็ดสี ทว่าเขากลับก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครา
พลังของกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตนั้นยากจะคาดเดา แผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณแรกแปรเปลี่ยน แสงแห่งพลังิญญาของบงกชสีมรกตรวมตัวกัน แล้วบานสะพรั่งอยู่ด้านหลังของเขา
น้ำเต้าเจ็ดสีหมุนตัวอย่างงดงามแล้วหยุดลงบนดอกบัว เสี้ยววินาทีที่สองสิ่งนี้ัักัน ทั้งยอดเขาิเฟิงก็สั่นะเือีกครา เสียงคำรามประหลาดดังสนั่นไปทั่วอาณาบริเวณ
บงกชสีมรกตหยั่งรากลงดินและพลิ้วไหวไปมา ใบบัวทุกใบเต็มไปด้วยแสงแห่งจิติญญา ก่อนจะมากับน้ำเต้าเจ็ดสีที่อยู่บนเกสรดอกบัว
ค่ำคืนนั้น ทั่วทั้งิเฟิงสว่างไสวด้วยแสงนับพันดวง บ้างมาจากใต้ดิน บ้างก็ลอยอยู่กลางอากาศ แต่แสงทั้งหมดนี้ล้วนรวมตัวและมุ่งหน้าสู่ยอดเขา
ลวดลายลึกลับปรากฏบนพื้นผิวของน้ำเต้าเจ็ดสี ทั้งยังมีลำแสงหลากสีพุ่งออกมาจากปากน้ำเต้า ซึ่งเป็ที่สะดุดตาอย่างมากท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
เสียงสั่นะเืดังขึ้น รากบ่มเพาะจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ารายล้อมบงกชสีมรกต ก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและก่อเกิดเป็เสาแสงหลากสี
หากมองดูใกล้ๆ ก็จะเห็นถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ทั้งบรรดาอสูรไม่ว่าจะเป็นก สัตว์ แมลง หรือปลา นอกจากนั้นยังมีหมู่มวลพฤกษาจำพวกดอกไม้ ต้นหญ้า ต้นไม้ และเถาวัลย์อีกด้วย
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต่างเคลื่อนไหวอยู่ในเสาหลากสีพร้อมแสดงนิมิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ต้นไม้ตระหง่านเทียมฟ้า ดอกไม้โอหังแห่งโลกหล้า ปลาบินคลุมนภา หรือเสือคำรามแห่งยุทธภพ
รากบ่มเพาะทั้งหมดนี้ล้วนคาดเดาไม่ได้ นิมิต์บังเกิดเหนือูเาเฮยเสวียน และดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือทั่วใต้หล้า
ลัวเซวียนและเยี่ยอวิ่นต่างตกตะลึง ทั้งยังเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าน้ำเต้าเจ็ดสีเป็อาวุธิญญาจื๋อซิว
หนิงเทียนเองก็ใมากเช่นกัน ฉากนี้ช่างเหนือจินตนาการและเขาก็ยังไม่เข้าใจสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างกลับกระตือรือร้นอย่างมาก และแผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณแรกก็สอดคล้องกับนิมิตของเสาแสงหลากสี
เมื่อข้อมูลนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่หัวใจ เขาก็รู้จำนวนรากบ่มเพาะอย่างแม่นยำในทันที
รากอสูรห้าร้อยสิบสองชิ้นและรากพฤกษาอีกห้าร้อยสิบสองชิ้น มีทั้งรากที่หยุดนิ่งและรากที่เคลื่อนไหวราวภาพมายาหยินหยางรวมตัวกัน และสุดท้ายมวลรวมทั้งหมดก็กลายเป็แผนภาพหยินหยางขนาดใหญ่
ภาพนี้ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงทุกกระบวนท่า ซึ่งช่วยเติมเต็มแผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณแรก ก่อนจะพัฒนาเป็พลังสูงสุด
จิตใจของหนิงเทียนถูกนิมิตในเสาแสงหลากสีดึงดูดอย่างสมบูรณ์ รากบ่มเพาะเ่าั้เปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาดราวกับกำลังพัฒนากลอุบายแสนล้ำเลิศจนเขารู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับภาพตรงหน้า แต่สุดท้ายก็ถูกกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตจับทางได้
นิมิตนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งใต้หล้า เหล่ายอดฝีมือน่าหวั่นเกรงต่างก็ก้าวข้ามมิติเวลาและมุ่งหน้าตรงมาที่นี่
“เ้าพวกนอกรีต! อาจหาญแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง!” เสียงยิ่งใหญ่ดังก้องระหว่างฟ้าดิน สั่นะเืทั้งภูผา ธารา และนภากว้างไกล
“โทษปะา!” เสียงเยือกเย็นเสมือนเ้าแห่งฟ้าดิน ประกาศชะตาของยอดเขาิเฟิงเพื่อลบล้างนิมิตดังกล่าว ไม่ยอมให้พวกมันถูกเปิดเผย
ฝ่ามือใหญ่ล้อมด้วยพลังอัสนีร่วงลงมาจากฟากฟ้า มันทรงพลังจนสามารถกำราบฟ้าดินได้ ทั้งยังกำลังพยายามทำลายยอดเขาิเฟิง
“แย่แล้ว รีบหนีเร็ว!”
เมื่อรู้สึกถึงภัยพิบัติกำลังจะเกิดขึ้น ทุกคนบนยอดเขาิเฟิงจึงแตกตื่นอย่างมาก
มือั์คู่นั้นน่าหวาดเกรงยิ่งนัก ฝ่ามือมีพละกำลังมากพอจะพังทลายได้ทั้งใต้หล้า หากตกกระทบลงมาแล้วคงไม่ต้องกล่าวถึงการสูญสลายของยอดเขา เพราะทุกชีวิตในที่แห่งนี้ย่อมต้องกลายเป็เศษธุลีทั้งสิ้น
ลัวเซวียนและเยี่ยอวิ่นหน้าถอดสีด้วยความใก่อนจะร้องคำรามอย่างสิ้นหวัง
“ทั้งหมดเป็ความผิดของเ้า! เ้าเด็กบ้า”
ทั้งสองคนต่างคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะหนิงเทียน ไม่ใช่เพราะน้ำเต้าเจ็ดสี ภัยพิบัติร้ายแรงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ใน่วิกฤตของชีวิตเช่นนี้ ทั้งคู่เลือกที่จะเผ่นหนีโดยไม่สนใจการแย่งชิงหงส์หยกแดงอีกต่อไป
หนิงเทียนเองก็รับรู้ถึงคลื่นแห่งความตาย แต่เขาไม่สามารถหลบหนีได้
บงกชสีมรกตหยั่งรากลึก น้ำเต้าเจ็ดสีเผยนิมิต์ แล้วเขาจะหนีทันได้อย่างไร?
“เ้าบ้าสมควรตายที่ไหนกันนี่? ใครไปยั่วยุเ้า? ว่างจนต้องมาทำเื่บ้าๆ เช่นนี้เลยหรือ?” หนิงเทียนบ่นอย่างฉุนเฉียว ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ข้าเพิ่งได้เป็ผู้บำเพ็ญและกำลังจะตายอยู่ที่นี่หรือ? ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
ขณะที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา น้ำเสียงเ็าแสนคุ้นเคยก็ดังก้องไปทั่วฟ้ายามราตรี
“ดรรชนีเดียวขวางฟ้า[1] ท่วงท่ายิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! ลองลงมือปะาให้ข้าดูสักหน่อยเถิด”
พลันความมืดเข้าครอบงำโดยรอบ สุริยัน จันทรา และหมู่ดาราก็จมหายไป อสนีบาตสูญสลายสิ้น
“ในสายตาหยวนซิวเช่นเ้า นิมิตของจื๋อซิวก็เป็เพียงสิ่งนอกรีต ข้าอยากเห็นนักว่าเ้ามีความสามารถใดจึงกล้าเย่อหยิ่งได้ถึงเพียงนี้!”
ทันใดนั้นอัสนีแห่งยมโลกก็ฟาดสนั่น เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องในความเวิ้งว้าง ร่างดำมืดยกมือสาดแรงใส่ฟ้าดินจนห้วงนภาพังทลาย ก่อนจะถล่มใส่เ้าของหัตถ์มหึมา
เวหายามราตรีสั่นไหว เสียงคำรามราวสัตว์ร้ายเจ็บหนักดังลั่นไปทั่วสารทิศ จนทุกชีวิตในใต้หล้าต่างตื่นตระหนก
“เสียงโหยหวนช่างน่าสังเวชเหลือเกิน ข้าเกือบคิดว่าเป็เสียงสุนัขเสียแล้ว” เยี่ยหลิงหลานผู้แฝงอยู่ในความมืดเผยตัวออกมา
ฟ้าดินสั่นะเืทันทีที่นางยกมือขึ้น บรรยากาศว่างเปล่าพังทลายลง รอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนในมิติเวลาส่องแสงประหลาด ก่อนจะสะท้อนร่างที่พร่างพราวด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์
เ้าของร่างนั้นคือยอดฝีมือหยวนซิวผู้สูงกว่าหมื่นจั้ง ทั้งยังมีอำนาจทะลุทะลวงฟ้าดิน ูเาและแม่น้ำทลายลงด้วยเสียงคำรามเพียงคราเดียว และเมื่อส่งเสียงคำรามอีกหนก็เกิดการสั่นะเืไปทั้งปฐี ดวงตาของเขาสามารถมองทะลุความมืดได้ราวกับดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็การปรากฏกายแสนยิ่งใหญ่ดุจเทพเซียน
แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนในร่างของชายผู้นี้ แรงกดดันอันมหาศาลทำใหู้เาแตกร้าว ูเาสูงตระหง่านลอยขึ้นจากพื้นดิน ก่อนจะลุกเป็ไฟและะเิกลางอากาศ พร้อมปล่อยคลื่นแสงทำลายล้างออกมา
“โอ้์! เทพเซียนจากที่ใดกัน? ช่างน่ากลัวเหลือเกิน”
ผู้คนในจักรวรรดิเชียนซานจำนวนนับไม่ถ้วนต่างให้ความสนใจกับศึกครั้งนี้ พวกเขาตัวสั่นเทาด้วยความกลัวและตื่นตระหนก
“ท่านผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ทว่าอีกท่านกลับน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่า”
จันทราดารากรบริเวณูเาเฮยเสวียนถูกความมืดประหลาดเข้าปกคลุม พลังน่าสะพรึงกลัวที่แห่งนี้ราวกับาาแห่งรัตติกาล ทั้งยังต่อสู้กับพลังอันยิ่งใหญ่ของหยวนซิว
ภายใต้ค่ำคืนที่แปรปรวน เสียงคำรามสนั่นแผดไกลไปทุกทิศ พลังอันยิ่งใหญ่ของหยวนซิวเปรียบเสมือนเตาหลอมลุกไหม้ที่พุ่งหาเยี่ยหลิงหลานครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่านางกลับต้านรับไว้ได้ทุกครา และในตอนท้ายของการต่อสู้ เขาก็สูญเสียแขนขาไปจนหมด ร่างสว่างไสวสูงตระหง่านจรดฟ้าทรุดเข่าลงตรงตีนเขาเฮยเสวียนอย่างอัปยศ
ฉากนี้ทำให้ทั้งแผ่นดินตกตะลึง เสียงฮือฮาดังไปทั่วหล้า
นั่นคือผู้ทรงพลังอันดับต้นๆ ของดินแดนหยวนซิง ทว่ายามนี้กลับขายหน้าจนหมดสิ้น ทั้งยังนำความอับอายมาสู่พรรคพวกอีกด้วย
“จะชดเชยด้วยสมบัติศักดิ์สิทธิ์สิบชิ้นหรือจะฆ่าตัวตาย เ้าเลือกมา” เยี่ยหลิงหลานแผดเสียงดังทั่วจักรวรรดิเชียนซาน นี่คือการหยามเกียรติอย่างโจ่งแจ้ง
“เยี่ยซิงหาน เ้าอย่ากลั่นแกล้งกันจนเกินไป”
ทันใดนั้นเสียงสนั่นลั่นฟ้าดินก็ดังขึ้น ยอดฝีมือจากกลุ่มหยวนซิวอีกคนปรากฏกาย
“ไม่ให้หรือ? ดี เช่นนั้นเ้าก็รอเก็บศพได้เลย!”
กระแสน้ำวนสีดำน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของชายผู้ทรงพลัง มันกลืนกินแสงแห่งฟ้าดินแล้วค่อยๆ ร่วงหล่นราวเขาไท่ซาน[2]
ผู้ทรงพลังยังคงคุกเข่าขู่คำรามพร้อมต้านพลังอัคคีที่ลุกท่วมร่างอย่างสุดความสามารถ เพียงชั่วพริบตาเดียวเปลวเพลิงนั้นก็ดับลง
เสียงคำรามน่าเกรงขามกลายเป็เสียงกรีดร้องแห่งความสิ้นหวัง บ่งบอกถึงหายนะอันไม่มีที่สิ้นสุด
“คนแซ่เยี่ย จงยั้งมือ!” เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้น
“หากเ้าพูดอีกคำเดียว ข้าจะเผาเ้าอีกคน ไปให้พ้น!”
ความมืดมิดพลุ่งพล่านไปทั่ว ทั้งฟ้าดินล้วนปั่นป่วน ร่างของยอดฝีมือหยวนซิวผู้ทรงพลังซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพลันสลายเป็เถ้าถ่าน พร้อมเสียงคำรามะเืฟ้า ผู้ทรงพลังอีกคนโห่ร้องแล้วหนีไป
ทั่วทั้งพสุธาเงียบสนิท ซิงซิว หยวนซิว และจื๋อซิวล้วนนิ่งสงบ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเหตุการณ์จะจบลงเช่นนี้
หนิงเทียนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่รู้มาก่อนว่าท่านอาจารย์จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ นี่เป็ผลกำไรอันมหาศาล!
บรรดาหยวนซิวล้วนไม่พอใจ พวกเขาถือว่าจื๋อซิวเป็พวกนอกรีตมาโดยตลอด เหตุการณ์ในคืนนี้จึงสร้างความอับอายให้พวกเขาเป็อย่างมาก
ส่วนกลุ่มซิงซิวก็เฝ้ามองเื่สนุก หลังจากนี้คงต้องประเมินความแข็งแกร่งของเยี่ยซิงหานใหม่เสียแล้ว
เหนือยอดเขาิเฟิง ลำแสงหลากสีแปรเปลี่ยนไปอย่างลึกลับ รากบ่มเพาะที่อยู่ภายในนั้นก็ค่อยๆ ลดลง ผู้บำเพ็ญบนูเาที่กำลังหลบหนีต่างหยุดนิ่งแล้วมองกลับไป
ลัวเซวียนและเยี่ยอวิ่นสาปแช่งด้วยความแค้นเคือง พวกเขากลับขึ้นไปบนยอดเขา แต่หงส์หยกแดงกลับสยายปีกบินหนีไปในอากาศ ทั้งยังถูกความมืดมิดอันแปลกประหลาดครอบงำ
หนิงเทียนรวบรวมสติ บงกชสีมรกตที่หยั่งรากลงดินเผยให้เห็นวิถีแห่งเต๋า แผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณชี้นำกระบวนท่าของรากบ่มเพาะในเสาแสงหลากสี ราวกับกำลังพัฒนาบางทักษะให้สมบูรณ์แบบ
รากบ่มเพาะทั้งหมดรวมกันเป็คู่ หลังจากเปลี่ยนแปลงครบเก้าครั้งก็เหลือเพียงกระบวนท่าเดียว ลำแสงหลากสีะเิออก และนิมิต์ก็สลายไปทันที
อักษรโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในใจของหนิงเทียนผ่านการชี้นำของกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิต ก่อนจะกลายเป็วิชาทะลวงพันชั้นซึ่งเป็วิชาขั้นสุดยอด
วิชาทะลวงพันชั้นนี้ซับซ้อนยิ่งนัก มันประกอบขึ้นจากรากบ่มเพาะหนึ่งพันยี่สิบสี่ชิ้นที่รวมเป็คู่แล้วซ้อนทับกันอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงผสานเข้าด้วยกันจนเหลือเพียงกระบวนท่าเดียว
ยามนี้หนิงเทียนยังไม่สามารถฝึกวิชานี้ได้ แต่เขาก็สามารถแยกทักษะ แล้วค่อยหาทางรวมเป็หนึ่งกระบวนท่าในภายหลัง
บงกชสีมรกตแกว่งไกวและปล่อยแสงลึกลับอยู่บนยอดเขา ก่อนจะห่อหุ้มน้ำเต้าเจ็ดสีแล้วสลายตัวไปพร้อมกับเสียงดังหวือ
“หายไปไหนแล้ว?” หนิงเทียนะโลั่น
เมื่อเขาลองสำรวจพลังในร่างกายก็พบว่า แท้ที่จริงน้ำเต้าเจ็ดสีก็เข้ามาอยู่ในเส้นลมปราณแรกของตนแล้ว
“ฮ่าๆ วิเศษมาก! มหัศจรรย์ยิ่งนัก!”
หนิงเทียนมีความสุขอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงียบลงและหันมองไปรอบทิศอย่างระแวดระวัง
“ข้าไม่อาจแจ้งให้ท่านอาจารย์ทราบเื่สมบัติชิ้นนี้ได้ ไม่เช่นนั้นนางต้องขโมยมันไปแน่ แต่ข้าจะซ่อนมันจากนางได้อย่างไร?”
จิตใจของหนิงเทียนเริ่มปั่นป่วน เมื่อไม่สามารถหาทางออกที่ดีได้ เขาจึงตัดสินใจวิ่งลงจากยอดเขามาอย่างเงียบๆ
“หนิงเทียน! เป็เ้าจริงๆ ข้าคิดว่าเ้า...” มีร่างหนึ่งะโออกมาจากไหล่เขา คนผู้นั้นคือหลินเสี่ยวซิน
หนิงเทียนแปลกใจเล็กน้อย ขณะที่คนอื่นหนีกันไปหมดแล้ว ทว่าหญิงผู้นี้กลับยังคงรอเขาอยู่ที่เดิม ในใจของหนิงเทียนพลันเกิดความอบอุ่นขึ้นมา
“ข้าโชคดีจึงไม่เป็อะไร ไปกันเถอะ” หนิงเทียนพาหลินเสี่ยวซินลงมาจากเขาโดยเท้าไม่เปื้อนฝุ่นเลย ความรวดเร็วนั้นราวกับปลิวไปตามสายลม
“เ้าเข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกแล้วหรือ?” หลินเสี่ยวซินตกตะลึง ชายผู้นี้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน
หนิงเทียนค่อนข้างภาคภูมิใจ และไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงตีนเขา
“ข้าต้องไปแล้ว หวังว่าในวันหน้าเราจะได้พบกันอีก ส่วนของเหล่านี้ข้าให้เ้า” เขามอบถุงมิติให้หลินเสี่ยวซิน ตบไหล่นางเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม แล้วโบกมือจากไป
“ในวันหน้า? ใครเล่าจะรู้ได้?”
หลินเสี่ยวซินพึมพำกับตนเองและมองหนิงเทียนจากไป จากนั้นก็เปิดถุงมิติ ซึ่งภายในมีหินิญญามากกว่ายี่สิบก้อน
“คนผู้นี้เขาปล้นไปกี่คนแล้ว?”
แม้หลินเสี่ยวซินจะรู้สึกจนใจ ทว่ากลับมีรอยยิ้มแจ่มใสประดับที่มุมปาก
---------------------------------------
[1] ดรรชนีเดียวขวางฟ้า (只手遮天) หมายถึง อาศัยอำนาจหรือเล่นเล่ห์เพื่อหลอกลวง ปกปิดความจริง และทำให้ผู้คนหลงกล
[2] เขาไท่ซาน (泰山) เป็ูเาที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยใช้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้