ณ หออี๋ชุน จวนเหนียน
เสียงจอแจดังมาจากลานข้างหออี๋ชุน เรือนหรูอี้ที่อยู่ข้างๆ ยังได้ยินเสียงนี้รางๆ
“ท่านหญิง มาแล้วเ้าค่ะ หนานกงเยวี่ยมาแล้ว” ผิงเอ๋อร์รีบวิ่งเข้าไปในห้อง และปิดประตูอย่างรวดเร็ว "ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงมาแล้วเ้าค่ะ ยังมีนายท่านสกุลเหนียนกับฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนก็มาด้วยเ้าค่ะ..."
“ฉางไทเฮาเล่า?” จิ้นหวางเฟยเอ่ยถาม
“เดิมตามมาอยู่ด้านหลังเ้าค่ะ” ผิงเอ๋อร์ตอบตามที่ตัวเองเห็น
“หึ แต่ไหนแต่ไรมา มิใช่ว่าฉางไทเฮาไม่เคยเข้ามายุ่งเื่ราวของผู้อื่นเลยหรอกหรือ ทว่าเื่ของจวนเหนียน นางกลับสนใจ” จิ้นหวางเฟยขมวดคิ้ว รู้สึกไม่เข้าใจฉางไทเฮาเล็กน้อย
ทว่าจ้าวอิ้งเสวี่ยกลับไม่คิดจะใส่ใจ “มากันหมดก็ดีแล้วมิใช่หรือเ้าคะ”
หนานกงเยวี่ยเตรียมออกโรงอย่างดีเช่นนี้ หากคนพวกนี้ไม่อยู่ นางจะเล่นงิ้วให้ดีได้อย่างไร?
คิดถึงเื่ที่ตนเองสั่งให้ลู่ซิวหรงไปจัดการ ดวงตาของจ้าวอิ้งเสวี่ยพลันหรี่ลงเล็กน้อย ฉายประกายวาววาบ นางอยากจะดูเหลือเกินว่า งิ้วครานี้หนานกงเยวี่ยจะแสดงมันออกมาอย่างไร!
ณ หออี๋ชุน ห้องของเหนียนเฉิงเกิดความโกลาหลมาั้แ่เช้า
หนานกงเยวี่ยที่มาถึงก่อน ครั้นนางเห็นยาที่ดื่มเหลือครึ่งหนึ่งบนโต๊ะ เสริมกับเหนียนเฉิงที่ยังคงกระตุกอยู่บนพื้น แม้นางจะรู้ฤทธิ์ของยาตัวนั้น ทว่าในใจนางยังคงรู้สึกเ็ป
"เฉิงเอ๋อร์...ลูกชายของข้า เ้าเป็อะไร? เร็วเข้า หมอเล่า คุณชายใหญ่เป็เช่นนี้แล้ว เหตุใดยังไม่เรียกหมอมาที่จวนอีก"
หนานกงเยวี่ยคุกเข่าลงกับพื้น กอบกุมศีรษะของเหนียนเฉิงไว้ในอ้อมแขน พลางเอ่ยกระซิบพึมพำอยู่ในปากอย่างไม่ขาดสาย “เฉิงเอ๋อร์ ลูกอย่ากลัวไปเลย แม่ไม่มีทางเลือก แม่เพียงอยากช่วยเ้า ผ่านวันนี้ไป พวกเราก็จะได้สลัดนางหญิงอัปลักษณ์เหี้ยมโหดนั่นได้แล้ว เ้าอดทนหน่อย อดทนหน่อย...”
"เฉิงเอ๋อร์..." เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงดังขึ้นหน้าประตู หนานกงเยวี่ยหยุดพูดลงในทันใด
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียน เหนียนเย่า รวมถึงฉางไทเฮาที่เดินตามมา ต่างก้าวฝีเท้าเข้าไปในห้อง ครั้นเข้ามาเห็นเหนียนเฉิงนอนหงายอยู่บนพื้น ใบหน้าของพวกเขาพลันซีดเผือด ตัวสั่นและคิ้วขมวด
"นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?" ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงร้องะโออกมาอย่างเคร่งขรึม “หมอเล่า?”
“ท่านแม่ ข้าเรียกหมอแล้ว...” หนานกงเยวี่ยสะอื้นไห้ น้ำตานองหน้า พลางกอดเหนียนเฉิงแน่น นางกำลังรอให้หมอมา นางจะต้องโยงไปถึงเื่นั้นอย่างสมเหตุสมผล
ทว่าทันใดนั้น เหนียนเฉิงในอ้อมแขนนางพลันกรีดร้อง ร่างกายของเขากระตุกรุนแรงขึ้น มือสองข้างกำเสื้อผ้าตัวเองตลอดเวลา ดวงตาเปลี่ยนเป็สีขาว ปากกับจมูกพลันบิดเบี้ยว
"เฉิงเอ๋อร์..."
สถานการณ์ยามนี้ แม้แต่หนานกงเยวี่ยยังใ
เหตุใดถึงเป็เยี่ยงนี้?
“ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย เฉิงเอ๋อร์เจ็บ...” เหนียนเฉิงกรีดร้องด้วยความเ็ป ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับกำลังทนต่อความเ็ปที่แสนทรมาน มิรู้ว่าั้แ่เมื่อใดที่มือทั้งสองข้างของเขากำเสื้อผ้าจนยับยู่ยี่ จุดสีแดงที่เริ่มโผล่ให้เห็นตามร่างกาย ทำให้ผู้คนที่เห็นตื่นใ
"ไม่ มันไม่ถูกต้อง..." หนานกงเยวี่ยพึมพำ ดวงตาของนางสั่นไหวอย่างไม่สบายใจ ปริมาณยาที่นางให้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางร้ายแรงเช่นนี้ ทว่าเหตุใดเหนียนเฉิงถึงมีอาการหนักได้ถึงเพียงนี้?
“เร็วเข้า หมอมาแล้ว ให้ท่านหมอตรวจเขา...” เหนียนเย่าครั้นเห็นหมอมาถึงแล้ว เขารีบคว้ามือหมอและลากไปข้างหน้าทันที
ทว่าเหนียนเฉิงกลับจับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายชักเกร็งอย่างต่อเนื่อง จนหมอไม่สามารถเข้าถึงตัวได้เลย แม้แต่หนานกงเยวี่ยที่เพิ่งกอดศีรษะของเหนียนเฉิงไว้ในอ้อมแขน ยังถูกเหนียนเฉิงที่ดิ้นรน ผลักออกไป สิ่งนี้ทำให้นางเหม่อลอย
"กดเขาไว้ กดเขาเร็วเข้า!" ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงะโออกมาอย่างเฉียบขาด
จากนั้นเหนียนเย่าและหนานกงจื้อพลันก้าวไปข้างหน้า ตามด้วยบ่าวใช้ในห้อง ต่างทยอยตามไปช่วยกันกดแขนขาของเหนียนเฉิงอย่างรุนแรง
ครั้นหมอเข้าไปตรวจชีพจร สีหน้าของเขาเริ่มเคร่งเครียด ทว่ากลับไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาเลย ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดหมอก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า “คุณชายใหญ่กินอะไรมา?”
ร่างกายของหนานกงเยวี่ยพลันสั่นสะท้าน ตามแผน นางควรดึงความสนใจของทุกคนมาที่ยา ทว่ายามนี้ในใจของนางกลับรู้สึกลังเล มิรู้เพราะเหตุใด สภาพของเหนียนเฉิงทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ทว่าความกังวลนั้นคงอยู่เพียงครู่หนึ่ง ไม่นานนางก็ได้ยินเสียงของสาวใช้เอ่ยว่า...
“ใช่แล้วเ้าค่ะ คุณชายใหญ่ดื่มยาไปเ้าค่ะ พอคุณชายดื่มยาลงไป ทันใดนั้นเขาก็น้ำลายฟูมปากและชักไม่หยุดเลยเ้าค่ะ”
"ยา? ยาอะไร?" ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงสีหน้ามืดมน กวาดตามองสำรวจของในห้อง พลันเห็นยาถ้วยหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ “หรือจะเป็ถ้วยนี้?”
“เ้าค่ะ คุณชายใหญ่จะต้องดื่มยาถ้วยนี้ทุกวัน ทว่ามีแค่วันนี้เท่านั้นที่เป็เช่นนี้..."
คำพูดของสาวใช้ประโยคนี้ แทบจะทำให้ทุกคนในห้องคาดเดาบางอย่างได้ทันที ยาที่ดื่มทุกวัน วันนี้กลับผิดปกติ เกรงว่ายาถ้วยนี้คงมีบางอย่างผสมอยู่ในนั้นเป็แน่
ท่านหมอรีบหยิบเข็มเงินและจุ่มมันลงไปถ้วยยา เพียงพริบตาเดียว เข็มเงินเปลี่ยนเป็สีดำ สีหน้าทุกคนที่เฝ้ามองพลันแปรเปลี่ยน
ยาถ้วยนี้มีบางสิ่งเจืออยู่อย่างแท้จริง!
“เป็จ้าวอิ้งเสวี่ย ต้องเป็นางแน่!” หนานกงเยวี่ยเอ่ยปากขึ้นทันใด ั์ตาลุกวาว น้ำเสียงหนักแน่นอย่างยิ่ง “นางผู้หญิงจิตใจโเี้นั่น นางทรมานเฉิงเอ๋อร์ของข้ามาตลอด วันนี้นางต้องโกรธเคืองเื่ที่ข้าทำให้นางอับอายขายหน้า ทำให้นางไม่พอใจ เพราะเช่นนั้น นางจึงลงมืออย่างโเี้กับลูกชายของข้าเช่นนี้ เหตุใดนางจึงใจคออำมหิตเยี่ยงนี้ นาง้าฆ่าเฉิงเอ๋อร์...นายท่านเ้าคะ ท่านแม่เ้าคะ ไทเฮาเพคะ พวกท่านจะละเลยเื่นี้ไม่ได้นะ หากเฉิงเอ๋อร์ต้องสิ้นลมคามือนางจริง ถึงตอนนั้นก็สายเกินไปแล้ว!”
ทุกคนครุ่นคิดตรึกตรองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องโถง ข้อกล่าวหานี้มิใช่ว่าไม่มีมูล
ความคับแค้นระหว่างจวนจิ้นอ๋องและตระกูลเหนียน การที่จ้าวอิ้งเสวี่ยมีเจตนาลงมือฆ่าเพื่อขจัดความขุ่นเคืองในใจ เป็เื่ที่เป็ไปได้สูงมาก
"จ้าวอิ้งเสวี่ย ข้า...ข้า้าหย่ากับนาง!" เหนียนเฉิงเอ่ยปากพูดออกมาอย่างยากลำบาก ทุกวันนี้ เขาได้รับความทรมาน ทั้งหวาดกลัวจ้าวอิ้งเสวี่ย หากหย่ากับนางได้ เขาจะไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับใบหน้าอัปลักษณ์นั่นอีก โฉมหน้าเช่นนั้น ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยงเสียจริง
ทว่าทันทีที่เขาเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไป
“ฮูหยิน คุณชาย ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยเป็ท่านหญิงในเชื้อพระวงศ์ จะหย่ากับนางได้หรือไร” อนุสองลู่ซิวหรงพึมพำ มิมีผู้ใดรู้เลยว่านางมาโผล่อยู่ในกลุ่มผู้คนั้แ่เมื่อใด
หย่าหรือ? นี่คือความปรารถนาของหนานกงเยวี่ยอย่างนั้นหรือ
ั้แ่ไหนแต่ไรมาใน แคว้นเป่ยฉีไม่เคยมีสตรีเชื้อพระวงศ์อยู่ในรายชื่อที่ถูกหย่ามาก่อน หย่าขาดท่านหญิงอิ้งเสวี่ย มิต่างจากการตบหน้าราชวงศ์หรอกหรือ?
อีกอย่าง นี่เป็สมรสพระราชทานที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้ตระกูลเหนียนกับจวนจิ้นอ๋องด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีเื่ที่เหนียนเฉิงพรากความบริสุทธิ์และทำลายรูปโฉมของท่านหญิงอีก หากมิใช่เพราะเื่สมรส เกรงว่าเหนียนเฉิงในตอนนี้จะคงยังอยู่ในคุกหลวง เขาที่ออกจากคุกหลวงมาได้เช่นนี้ กลับคิด้าจะหย่ากับผู้อื่นงั้นหรือ?
จิ้นหวางเฟยและท่านหญิงอิ้งเสวี่ย ไหนเลยจะรู้สึกพอใจ?
ไม่เพียงแค่นี้ เื่หย่าในแคว้นเป่ยฉี ไหนเลยจะเป็เื่ง่ายดายเช่นนั้น?
“หึ หย่าไม่ได้แล้วอย่างไร?” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเคาะไม้เท้าลงบนพื้นอย่างแรง “ถึงแม้จ้าวอิ้งเสวี่ยจะเป็ท่านหญิง ทว่าจะมาละเลยชีวิตคนเช่นนี้ไม่ได้ หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป ชีวิตของเฉิงเอ๋อร์ต้องดับลงเป็แน่ ถึงตอนนั้น ตระกูลเหนียนและจวนจิ้นอ๋องจะหาผู้ใดมาชดใช้ชีวิตของเฉิงเอ๋อร์?”
“ใช่ ต้องหย่า จ้าวอิ้งเสวี่ยปฏิบัติกับเฉิงเอ๋อร์อย่างเหี้ยมโหดเยี่ยงนี้ นางทำผิดหนึ่งประการในกฏเจ็ดขับ[1]มานานแล้ว แม้จะอ้างถึงฮ่องเต้และฮองเฮา ทว่าพวกเราก็ยังมีเหตุผล” หนานกงเยวี่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนี่ง นางในยามนี้ไม่สนใจค้นหาอีกต่อไปแล้ว่า เหตุใดปฏิกิริยาของเหนียนเฉิงเมื่อครู่นี้ถึงรุนแรงเกินความคาดหมายของนาง
สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือ การหย่าภรรยาที่ดุร้ายอย่างจ้าวอิ้งเสวี่ย!
หนานกงเยวี่ยหันมองไปยังฉางไทเฮา ทันใดนั้น นางก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงกับพื้น “ไทเฮาเพคะ เมื่อครู่นี้พระนางก็ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วถึงสิ่งที่จ้าวอิ้งเสวี่ยผู้นี้ปฏิบัติต่อเฉิงเอ๋อร์ หม่อมฉันทูลขอให้พระนางทรงช่วยตัดสินให้หม่อมฉันด้วยเพคะ โปรดทรงอนุญาตให้เฉิงเอ๋อร์เขียนใบหย่าด้วยเถิดเพคะ”
[1] เจ็ดขับ (七出 ชีชู) คือ หลักการเป็ภรรยาที่ดี เกิดขึ้นในสมัยจั้นกั๋ว ผู้ปกครองได้ออกกฎเกณฑ์เจ็ดความชั่วของภรรยา หากผู้เป็ภรรยากระทำความผิดเพียงประการเดียวในบรรดาเจ็ดความชั่วนี้ สามีมีสิทธิหย่าร้างได้ทันที สะท้อนให้เห็นว่าสตรีต้องเชื่อฟังสามี ปรนนิบัติและภักดีต่อสามีตราบจนชั่วชีวิต แม้ว่าสามีจะเป็ คนดีหรือไม่ ภรรยาก็ไม่มีสิทธิแต่งงานใหม่ หลักเจ็ดความชั่วของภรรยา ประกอบด้วย 1. ไม่ให้กำเนิดบุตร 2. ไม่กตัญญูต่อบิดา มารดาสามี 3. ติฉินนินทาหรือว่ากล่าวใส่ร้าย 4. ขโมยของ 5. อิจฉาริษยาอนุภรรยาคนอื่น 6. มักมากในกาม 7. เป็โรคร้าย รักษาไม่หาย