หลินกู๋หยู่รีบลุกขึ้นจากพื้นและเดินไปหาโต้ซาอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ฉือหางเข้ามาปกป้องนางเอาไว้ข้างหลัง เขายืนพิงโต๊ะข้างๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ท่านแม่ ท่านจะทำอะไร?"
หลินกู๋หยู่มองแผ่นหลังของฉือหาง นางอุ้มโต้ซาเงียบๆ เกลี้ยกล่อมโต้ซาในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน เช็ดใบหน้าของเด็กน้อยอย่างระมัดระวัง
"ตอนกลางวันแสกๆ พวกเ้าปิดประตูทำไม?" จ้าวซื่อเดิมทีอยากจะพูดอะไรที่น่าอาย แต่มีคนมากมายที่อยู่ข้างหลังนาง ดังนั้นจ้าวซื่อจึงไม่อาจพูด
สายตาของโจวซื่อมองไปที่หลินกู๋หยู่ซึ่งอยู่ด้านหลังฉือหาง เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางแดงก่ำ เสื้อผ้าของนางก็ไม่เรียบร้อย สองคนนี้ต้องทำอะไรที่ไม่สามารถให้ผู้คนมองเห็นได้แน่นอน
สุขภาพของเ้าสามยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่สองคนนี้จะทำเื่นั้นในตอนนี้ ถ้าเกิดร่างกายของเ้าสามเกิดเป็อะไรขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร?
"ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย และไม่อยากให้คนนอกเข้ามารบกวน" ฉือหางนึกถึงฉากที่หลินกู๋หยู่ถอดเสื้อผ้าก่อนงีบหลับ ใบหน้าของเขาแดงก่ำอย่างควบคุมไม่ได้ "ข้าจึงให้กู๋หยู่ปิดประตู”
“เ้าห้า อาการป่วยของเ้าดีขึ้นหรือไม่?” ฉือเป่าเดินกระเสาะกระแสะไปที่ด้านข้างของโจวซื่อ มือผอมราวกับเนื้อติดกระดูกของเขาพิงไม้เท้า
"ท่านปู่ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรหรือ?" ฉือหางรีบหลีกทาง เตรียมช่วยประคองท่านปู่ฉือนั่งลง
โจวซื่อยกมือขึ้นตบมือของฉือหางออก ช่วยประคองท่านปู่ฉือนั่งลงด้วยตัวเอง นางเลิกคิ้วมองไปที่ฉือหางอย่างไม่พอใจ "ถ้าท่านปู่ของเ้าไม่มาอีก บางทีเ้าอาจจะถูกนางจิ้งจอกทำให้หลงใหลจนลืมญาติของเ้าไปแล้วก็ได้”
หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นและจ้องมองที่โจวซื่อ จากนั้นลดศีรษะลง
เมื่อเห็นพวกเขามากันมากมายเช่นนี้ หลินกู๋หยู่ก็เข้าใจในทันที
ในตอนเช้า นางซึ่งเป็แม่สามีที่กินอิ่มเกินไป ไม่มีเื่ให้ทำ แต่ก็อยากให้มีเื่จึงมาที่นี่เพื่อบอกว่าจะรวมครอบครัวแต่กลับถูกปฏิเสธ ตอนนี้นางก็เริ่มเข้าทางผู้าุโแล้ว
"หลานสะใภ้ไหว้ท่านปู่" หลินกู๋หยู่ไม่รอให้ฉือหางพูด นางแสดงความเคารพท่านปู่ฉือด้วยความเคารพนอบน้อม จากนั้นยืนอุ้มโต้ซาข้างๆ อย่างนิ่งเงียบ
"ดีๆ!" ท่านปู่ฉือมองหลินกู๋หยู่ด้วยใบหน้าใจดีมีเมตตา หรี่ตายิ้มปรี่และพูดอย่างมีความสุข
“ท่านพ่อ!” โจวซื่อเปล่งเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจ
การแสดงออกบนใบหน้าของท่านปู่ฉือหยุดชะงักชั่วคราว จากนั้นเขาก็เม้มปาก จับจ้องไปที่ฉือหาง วางไม้ค้ำในมือไว้ข้างๆ และจับมือของฉือหางด้วยมือทั้งสองข้าง "เ้าห้า ข้าได้ยินจากที่แม่ของเ้าว่าเ้าไม่อยากรวมครอบครัวหรือ?”
ฉือหางดึงมือข้างหนึ่งออกมาเพื่อรองรับเอวของเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลินกู๋หยู่รีบวางโต้ซาซึ่งยังคงร้องสะอื้นอยู่บนเตียงเล็ก ช่วยประคองให้ฉือหางนอนลง อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า "ข้าบอกเ้าแล้วว่าอย่าลุกจากเตียง แต่เ้าก็ไม่ฟัง"
เมื่อท่านปู่ฉือเห็นสีหน้าของฉือหาง เขาก็ขมวดคิ้วมองไปที่โจวซื่อ
"ท่านปู่" ฉือหางที่นอนบนเตียงเอียงศีรษะมองท่านปู่ฉือ เสียงของเขาแห้งผาก "ข้าอาจจะต้องอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต ข้าไม่อยากทำให้ท่านแม่ของข้าต้องลำบากแล้ว"
ใบหน้าของโจวซื่อแข็งเกร็ง
ท่านปู่ฉือเงยหน้าขึ้นมองไปที่โจวซื่อปราดหนึ่ง ก่อนหน้านี้โจวซื่อบอกเขาว่า้าแยกครอบครัว นางร้องห่มร้องไห้ในบ้านนานร่วมชั่วยาม โดยบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็จะแยกครอบครัวให้ได้
เดิมทีเขาไม่้าที่จะมีส่วนร่วมในเื่นี้ แต่หนานเอ๋อตายไปแล้ว ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่โจวซื่อจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเองคนเดียว ถ้าเขาไม่อยู่ช่วย ครอบครัวของพวกเขาจะอยู่อย่างไร?
ฉือหนาน บิดาของฉือหางเสียชีวิตไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว
ใจของโจวซื่อลังเลเล็กน้อย ไม่อาจตัดสินใจได้
ถ้าวันข้างหน้าร่างกายของฉือหางดีขึ้นจนเป็ปกติ เช่นนั้นจะดีมาก ถึงเวลานั้นครอบครัวจะต้องมีเงินแน่นอน แต่ถ้าฉือหางเดินแทบไม่ได้ในอนาคต เช่นนั้น...
โจวซื่อเริ่มลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะรวมครอบครัวอีกครั้งดีหรือไม่
ฉือตงเดินเข้ามาใกล้ เห็นว่าสีหน้าของฉือหางน่าเกลียดมาก จากนั้นเขาก็มองไปที่โจวซื่อที่อยู่ข้างๆ เขา "น้องสะใภ้ ก่อนหน้านี้เ้าบอกว่าจะแยกครอบครัว แล้วก็แยกครอบครัวกันจริง แล้วทำไมตอนนี้เ้าถึงคิดจะรวมครอบครัวกันอีกครั้งเล่า?"
ท่านปู่ฉือมีบุตรชายสามคน คนหนึ่งชื่อฉือตง คนหนึ่งชื่อฉือหนาน ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว และอีกคนชื่อฉือเป่ย
“เดิมทีข้าคิดว่า แต่งลูกสะใภ้เข้ามานางจะดูแลเ้าสามอย่างดี แต่ใครจะคิดว่านางไม่ทำอะไรเลย วันๆ เอาแต่ออกไปวิ่งเล่น แล้วข้าจะวางใจได้อย่างไร?"
โจวซื่อพูดอย่างหน้าด้านต่อว่า "ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะเป็การดีกว่าที่จะไม่แยกครอบครัว เพื่อที่ข้าจะได้ดูแลเ้าสาม"
"ท่านป้าโจวพูดได้น่าฟัง" หวังเสี่ยวเชี่ยนหรี่ตายิ้มขณะเดินเข้ามาจากด้านนอก
ตอนเที่ยงวันนี้ โจวซื่อร้องไห้เสียงดังโวยวายด้านนอก ไม่เช่นนั้นนางจะเชิญท่านปู่ฉือมาได้อย่างไร
ในเวลาเดียวกัน เพื่อนบ้านก็มาพร้อมกับโจวซื่อด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากห้องเล็กเกินไป หลายคนจึงยืนฟังอยู่ข้างนอก
สีหน้าของโจวซื่อเปลี่ยนไป เสียงของนางแ่ลง "ใครให้เ้าเข้ามา?"
"ท่านปู่ฉือ" หวังเสี่ยวเชี่ยนเดินไปจับแขนของหลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้ม "ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้สามดูแลพี่สามมาโดยตลอด พี่สามจะฟื้นตัวได้เร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?"
เมื่อคนข้างนอกได้ยินเสียงของหวังเสี่ยวเชี่ยน พวกเขาต่างก็ชื่นชมหลินกู๋หยู่
เมื่อฉือหางแต่งงานในตอนนั้น ใบหน้าของเขาย่ำแย่มากอีกทั้งไม่สามารถยืนขึ้นได้ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยตุ่มแดงขนาดใหญ่ ดูน่าสังเวชอย่างมาก
แต่ตอนนี้ฉือหางสามารถลุกขึ้นและเดินได้ด้วยตัวเองแล้ว ตุ่มแดงที่แขนและมือของเขาก็ดูเหมือนจะหายไปแล้ว
ทุกคนสามารถมองเห็นสิ่งภายนอกได้อย่างชัดเจน พวกเขาโน้มตัวเข้าใกล้กันแล้วพูดซุบซิบพึมพำ
แม้ว่าคนเ่าั้จะลดเสียงลงแล้ว แต่โชคร้ายที่ห้องนี้เล็กเกินไป ทุกสิ่งที่คนเ่าั้พูดดังไปถึงหูของโจวซื่อและท่านปู่ฉือ
ท่านปู่ฉือหยิบไม้ค้ำข้างเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้งหลายส่วน
ถ้าเขายืนยันที่จะให้ฉือหางเข้าร่วมครอบครัวในเวลานี้ เชื่อว่าฉือหางย่อมต้องเห็นด้วย
เพียงแต่
ท่านปู่ฉือลังเลเล็กน้อย ทำเช่นนี้จะดีจริงๆ เหรอ?
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของท่านปู่ฉือ หัวใจของโจวซื่อก็ร้อนรนกระวนกระวาย ถ้าชายชรากลับไปแล้วจะไม่มีใครเข้าข้างนาง
ฉือเทาเป็คนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ เขาจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้ท่านปู่ฉือ “ท่านปู่ ั้แ่ท่านแม่ของข้าแยกทางกับพี่สาม ท่านแม่ก็หลั่งน้ำตาตลอดทั้งวัน พวกเราในฐานะบุตรชายเห็นแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ นี่ไม่ใช่เื่ที่จะเป็ไปไม่ได้ ข้าขอร้องท่านละ ท่านช่วยพูดกับน้องสามหน่อยเถอะ"
"แยกครอบครัว รวมครอบครัว!" ท่านปู่ฉือเคาะพื้นด้วยไม้เท้าในมือสองครั้ง น้ำเสียงของเขาค่อยๆ จริงจังมากขึ้น "พวกเ้าคิดว่านี่เป็เื่เล่นๆ หรือ?!"
"ท่านปู่" ไม่แปลกใจเลยที่ฟางซื่อและฉือเทาเป็คู่สามีภรรยากัน โดยปกติพวกเขาสองคนมักจะเอาแต่กินนอนและี้เีไปวันๆ มีก็แต่ปากเล็กๆ ที่สามารถโน้มน้าวผู้คนได้ "ในตอนแรก พวกเราแค่ไม่้ารบกวนการพักฟื้นของน้องสามก็เท่านั้น"
“พี่สะใภ้รองรู้วิธีพูดจริงๆ” หวังเสี่ยวเชี่ยนอดไม่ได้ที่จะพูด
หลินกู๋หยู่ได้ยินเสียงของหวังเสี่ยวเชี่ยน นางดึงหวังเสี่ยวเชี่ยนเบาๆ
นี่เป็เื่ของสกุลฉือ หวังเสี่ยวเชี่ยนพูดขัดจังหวะตอนนี้แล้วได้อะไร?
เพียงแต่ว่าหวังเสี่ยวเชี่ยนไม่คิดเช่นนั้น นางไม่เคยชอบคนที่พูดประจบสอพลอั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว "ในตอนแรกข้า… อื้อ…"
หลินกู๋หยู่รีบปิดปากของหวังเสี่ยวเชี่ยน แม้ว่านางจะไม่แน่ใจว่าหวังเสี่ยวเชี่ยนจะพูดอะไร แต่โอกาสนี้ก็ไม่เหมาะที่หวังเสี่ยวเชี่ยนจะพูดอย่างแน่นอน
“ท่านปู่” หลินกู๋หยู่ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย รูปร่างของนางเพรียวบางและสง่างาม ทำให้คนมองรู้สึกสบายใจจนไม่อาจละสายตาจากนางได้ “ในตอนแรก ท่านแม่แยกครอบครัวเพียงเพื่อให้พวกเราได้พักผ่อนสักระยะหนึ่งเพื่อไม่ต้องทำงาน และยังให้ของกินกับพวกเราจำนวนมาก"
สิ่งที่หลินกู๋หยู่พูดคือการทำให้คนรู้สึกว่าโจวซื่อให้เกียรติพวกนางสามีภรรยา
หวังเสี่ยวเชี่ยนขมวดคิ้ว ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อของหลินกู๋หยู่ด้วยความไม่พอใจ ทำไมพี่สะใภ้สามถึงปล่อยให้คนอื่นรังแกกันง่ายถึงเพียงนี้?
หลินกู๋หยู่ไม่ได้ใส่ใจกับการเคลื่อนไหวของหวังเสี่ยวเชี่ยน แม้ว่านางจะพูดตอนนี้เช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าโจวซื่อทอดทิ้งลูกชายของนาง เนื่องจากลูกชายของนางกำลังจะตาย
“ท่านปู่” ฉือหางนอนอยู่บนเตียงด้วยเสียงแหบแห้ง “ถ้ารวมเป็ครอบครัวเดียวกัน ยังต้องให้ท่านแม่ดูแลลูก เช่นนั้นเป็ความอกตัญญูของลูกแล้ว”
ท่านปู่ฉือลืมตาขึ้น จ้องมองใบหน้าของหลินกู๋หยู่ แล้วหันศีรษะไปมองฉือหางที่กำลังนอนอยู่บนเตียง
บางทีโจวซื่ออาจทำอะไรผิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่พูดถูก นั่นคือหลานชายของเขาเชื่อฟังหลานสะใภ้จริงๆ
ลืมมันไปเถอะ เื่นี้หลานชายเอ่ยปากพูดไปแล้วว่าไม่ ดังนั้นเขาพูดอะไรไปจะมีประโยชน์อะไร?
เมื่อสองสามวันก่อน ฉือเทาแอบได้ยินจากหมอในเมืองพูดว่าสุขภาพของพี่สามจะดีปกติเหมือนเดิมอย่างแน่นอน
ถ้าไม่รวมครอบครัว พวกเขาก็จะต้องทำงานหนัก ซึ่งเมื่อก่อนพวกเขาไม่เคยจะต้องทำ
ฉือเทาขยิบตาให้ฟางซื่อ
ฟางซื่อยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย "น้องสาม หมอในเมืองขยันมาที่นี่จริงๆ โชคดีที่หมอคนนั้นเป็หมอที่ยอดเยี่ยม สามารถรักษาคนป่วยให้กลับมาหายเป็ปกติได้"
ดวงตาของโจวซื่อหรี่ลงด้วยความไม่พอใจ นางมองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างโกรธเคือง "ความสัมพันธ์ระหว่างเ้ากับหมอในเมืองคนนั้นเป็อย่างไรหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีหมอท่านไหนมาช่วยรักษาโรคของคนอื่นทุกวันโดยไม่ต้องคิดเงินเช่นนี้"
ความหมายก็คือ พวกเ้าสองคนร่วมประเวณีกันงั้นหรือ?
ในยุคนี้คนสองคนร่วมประเวณีกันจะต้องถูกหมกตัวอยู่ในกรงหมู พวกเขาไม่ยอมรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วไปมีชู้กับชายอื่น แน่นอนว่าไม่นับแม่หม้ายในนั้นด้วย
หลินกู๋หยู่หรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาของนางเปล่งประกายเ็าดุจน้ำแข็ง
นางยอมให้ทางลงกับโจวซื่อ แต่นางไม่คาดคิดเลยว่าหญิงคนนี้จะปีนขึ้นไปด้วยวิธีที่น่าเบื่อเช่นนี้
หลินกู๋หยู่ไม่เคยคิดว่านางเป็คนดีมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะการเป็คนดีนั้นถูกกำหนดให้ถูกคนรังแก
นางไม่ได้ต่อต้านการแต่งงานกับสกุลฉือ แต่นางแค่รู้สึกว่านางยึดร่างของหลินกู๋หยู่ ดังนั้นจึงให้ค่าชดเชยกับสกุลหลิน
เหตุผลที่นางดูแลฉือหางอย่างเอาใจใส่ นั่นเพราะเขาเป็ผู้ป่วยก็เท่านั้น
ในฐานะนักศึกษาแพทย์ นางมักจะใจอ่อนเมื่อเผชิญหน้ากับคนไข้
เพียงแต่เมื่อฉือหางพูดประโยคนั้นในวันนั้น จู่ๆ หลินกู๋หยู่ก็รู้สึกว่าคนดีอย่างฉือหางควรรอดแทนที่จะตายเพราะความเจ็บป่วยนี้
ในขณะที่เขากำลังจะตาย เขายังคงคิดถึงความอิสระของนาง ไม่เต็มใจที่จะรั้งนางไว้
นางก็แค่้าจะดูแลฉือหางให้ดีแล้วจากไป แต่ใครจะคิดว่าชีวิตในหลายวันนี้จะเกิดเื่ไม่มีหยุด
“เราตกลงชำระเงินค่ารักษากันอย่างชัดเจน” หลินกู๋หยู่มองไปที่โจวซื่อด้วยใบหน้าที่เ็า กระทั่งร่างกายของนางยังแผ่กลิ่นอายความเ็า “ท่านแม่แยกครอบครัวให้เงินกับพวกเราจำนวนสิบตำลึง เงินทั้งหมดนั้นใช้จ่ายกับค่าเชิญหมอมารักษาหมดแล้ว ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ท่านแม่สามีหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่ควรเชิญหมอมารักษาหรือ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินกู๋หยู่ พลันได้ยินผู้คนที่มาร่วมฟังทอดถอนใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้