เซียนหว่านเอ๋อร์หาได้สนใจเช็ดเืที่ตนกระอักออกมา เอาแต่จับจ้องกู่ไห่ ที่ยืนอยู่บนระเบียงของหอฝั่งตรงกันข้าม ด้วยแววตาวาวโรจน์...
ตอนนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรกับดวงดาวที่ส่องประกาย ในคืนไร้แสงจันทร์ ที่รอบกายเขา มีผู้ฝึกตนมากมายเอ่ยขอบคุณและชื่นชมยินดี
จริงๆ แล้ว นางมิได้มองชายตรงหน้าเป็ศัตรูแต่อย่างใด การมาบรรเลงกู่ฉินที่นี่ เป็เพียงฉากบังหน้าเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริง คือการนำเภทภัยมาสู่หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า และประลองกู่ฉินกับท่านเ้าบ้านาุโแห่งหมู่บ้านอิ๋นเยวี่ย
ไม่เคยคิดที่จะมาประมือ กับคนที่ไร้ซึ่งความสามารถในการสื่ออารมณ์เพลงเช่นนี้ ทว่า นางกลับปราชัย... พ่ายแพ้อย่างน่าขบขัน!
“เหยื่ออธรรม? นี่กลายเป็ว่าข้าตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น[1]อย่างนั้นหรือ? เป็แค่สิ่งที่ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กู่ไห่เท่านั้น?”
เสียงโห่ร้องสรรเสริญกู่ไห่ดังขึ้นทั่วเมือง นางจึงฉวยโอกาสในยามที่ทุกคนกำลังมุ่งความสนใจไปยังกู่ไห่ ล่าถอยออกมา
“หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า? เ้าบ้าเอ๊ย! ข้าจะทำลายหอกู่ฉินของเ้าให้สิ้น!”
“นางมาร… เ้าอย่าหนีนะ!”
“จับนางมารไว้… เร็วเข้า! จับตัวนางไว้!”
หลังจากยินดีเสร็จ ก็ได้เวลาแก้แค้น!
ตูม...!
เหล่าผู้ฝึกตนต่างมุ่งตรงไปยังหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า และลงมือทุบทำลายข้าวของภายใน จนแตกละเอียดเป็ชิ้นๆ
“ไม่! เ้าพวกอันธพาล รู้หรือไม่ ว่านี่เป็กิจการของผู้ใด?” คุณชายอานถลึงตาใส่
เจียงเทียนอี้รีบปรามนายน้อยของตน ก่อนเอ่ยเสียงเศร้า “คุณชายอาน ปล่อยให้พวกเขาทำลายข้าวของไปเถอะ ตอนนี้เมืองอิ๋นเยวี่ย ไม่มีที่สำหรับพวกเรา หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า อีกแล้ว”
“ไม่! ไม่ได้! พวกเขาจะมาทุบข้าวของแบบนี้ไม่ได้ รีบแจ้งท่านอ๋องเร็ว!... ระดมกำลังทหารมาปราบปรามอันธพาลกลุ่มนี้เสีย” คุณชายอานถลึงตาใส่
“อย่าขอรับ! คุณชายอาน หากทำเช่นนั้น จะเกิดการจลาจล และท่านไม่อาจรับมือกับสถานการณ์อันเลวร้ายนั้นได้แน่!” เจียงเทียนอี้คว้าตัวคุณชายอานเอาไว้
“ว่าอย่างไรนะ? การจลาจลอะไร? มันจะเลวร้ายไปกว่าการที่ข้าต้องโดนท่านปู่เล่นงานจนตายอีกหรือ?” นายน้อยอันถลึงตาใส่
“ประการที่หนึ่ง หากผู้คนได้ทุบทำลายข้าวของ ความคับแค้นใจก็จะหายไปกับการระบายโทสะในครั้งนี้ แต่หากท่านส่งทหารมาปราบปราม ก็จะทำให้คนทั้งเมืองโกรธเคือง อย่างไรเสีย เพลงเหยื่ออธรรมเมื่อครู่ ก็พุ่งเป้าไปยังผู้คนทั้งเมือง เช่นนี้แล้ว ท่านอ๋องก็ต้องได้รับผลกระทบด้วยเป็แน่
ประการที่สอง กองทัพจะมาปราบปรามให้หรือ? เมื่อครู่ทหารเ่าั้เกือบที่จะสูญเสียประสาทััทั้งห้าไป พวกเขาย่อมต้องก่นด่าหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าด้วยเป็แน่ หากพวกเขาฝ่าฝืนคำสั่งของกองทัพ จนเกิดการจลาจลขึ้นมาจะทำอย่างไร?
หากเกิดการจลาจลในเมืองอิ๋นเยวี่ยจริง... ท่านเคยคิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่? ข่าวนี้ก็จะแพร่สะพัดไปยังราชสำนัก ถึงเวลานั้น เหล่าขุนนางก็จะสืบเสาะหาความจริง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เช่นนี้แล้ว ท่านอ๋องจะทำอย่างไร?” เจียงเทียนอี้พูดอย่างร้อนรน
“หืม?” ท่าทีของคุณชายอานค่อยๆ เปลี่ยนไป
“แล้วตอนนี้เล่า จะอย่างไรกันดี?” คุณชายอานถาม ใบหน้าถอดสี
“เราไม่อาจยับยั้งความคับข้องใจของผู้คนได้ ให้พวกเขาทำลายข้าวของเพื่อระบายโทสะเสียให้พอ จะได้สงบลง คิดเสียว่าพวกเขาคือคนของท่านอ๋อง เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว” เจียงเทียนอี้เอ่ยด้วยความขุ่นมัว
คุณชายอานพยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางหันไปมองเซียนหว่านเอ๋อร์ ที่กำลังถูกเหล่าผู้ฝึกตนกลุ้มรุม ยามนี้ เขาแทบอยากจะบีบคอนางให้ตายๆ ไปเสีย แต่อีกฝ่ายเป็ถึงแขกผู้มีเกียรติของทั้งท่านอ๋อง และท่านปู่ ทำให้ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
“อนิจจา!... คุณชายอาน ครั้งนี้พวกเราคงจะทำผิดพลาดจริงๆ ตอนนั้น ไม่น่าจับผู้ใต้บังคับบัญชาของกู่ไห่มาเลย” เจียงเทียนอี้กล่าว ด้วยความทุกข์ใจ
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ล้วนมีต้นเหตุมาจากการที่พวกเขาไปจับตัวคนใต้อาณัติของกู่ไห่
“ข้าได้ยินมาว่า ตอนแรกที่มาถึงเมืองนี้ กู่ไห่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำการค้าประเภทใด แต่เพราะความอัปยศที่พวกเรา หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า ได้มอบให้เขา กู่ไห่จึงตัดสินใจที่จะเปิดหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน เพื่อมาประชันกับเรา
ในเวลาไม่ถึงสองเดือน หอกู่ฉินของเขากลับกลายเป็กิจการขนาดใหญ่ ที่เข้ามาบดขยี้หอกู่ฉินของเรา
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นับจากวันนี้ไป ชื่อของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน จะเป็ดั่งดวงอาทิตย์บนนภา ที่ไม่มีใครมาสั่นคลอนได้อีก”
อีกฝ่ายมิใช่แค่อัจฉริยะทางการค้า? เจียงเทียนอี้รู้สึกทุกข์ใจนัก หากตนยึดมั่นในหลักการค้า และห้ามปรามคุณชายอานไว้ บางทีสถานการณ์อาจจะไม่เลวร้ายเท่านี้
คุณชายอานเหลือบมองไปยังฝั่งตรงกันข้ามอย่างเ็า
กู่ไห่เดินหายเข้าไปในหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนแล้ว
แต่โทสะในใจของคุณชายอาน กลับยังไม่เหือดหาย... กู่ไห่? ทั้งหมดนี้ เป็เพราะเ้าคนเดียว!
ดวงตาของคุณชายอานฉายแววชั่วร้าย “หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนหรือ? ดีละ! ข้าจะทำให้มันปิดตัวเร็วๆ นี้”
“หืม? คุณชายอาน โปรดอย่าก่อเื่วุ่นวายอีกเลย!”
“เป็อะไรของเ้า? ที่นี่คือผืนแผ่นดินของแคว้นอิ่งโจว เป็ดินแดนของท่านปู่ข้า มันเป็เพียงมดตัวจ้อยจากภายนอก ที่คิดจะดึงดันออกหน้า... ฮึ่ม!” คุณชายอานแค่นเสียง
ครู่ต่อมา หลังจากถูกบุกรุกทำลายหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า ผู้คนก็เริ่มที่จะสงบใจขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่พยายามตามหาเซียนหว่านเอ๋อร์
ทว่า ด้วยเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่โดยรอบ ดังนั้น แม้จะมองเห็นว่านางอยู่ตรงไหน แต่ก็ไม่อาจจับตัวนางได้ คล้ายมีค่ายกลคุ้มกันก็มิปาน เมื่อเซียนหว่านเอ๋อร์อยู่ในค่ายกล ผู้คนจึงทำได้แค่เตร่ไปมารอบเขตแดน ราวกับภูตผีเฝ้ากำแพง
“นางมาร เ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“หยุดวิ่งหานางมารกันเถอะ!”
ทุกคนต่างโกรธเกรี้ยว
เซียนหว่านเอ๋อร์ยกมือเช็ดเืที่มุมปาก ก่อนคลี่ยิ้มเย้ยหยัน นางหาได้ใส่ใจกับคำด่าทอของฝูงชน ทว่ากลับเอาแต่จับจ้องกู่ไห่ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“ก่อนจากไป อาจารย์ได้เตือนข้าไว้แล้ว ว่าอย่าดูถูกนักกู่ฉินคนไหนก็ตาม ที่สามารถประพันธ์บทเพลงได้ หรือข้าจะประเมินเ้าต่ำเกินไป?” เซียนหว่านเอ๋อร์กล่าว พลางยิ้มเยาะ ขณะครุ่นคิดบางอย่าง
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น นกกระเรียน์ก็พุ่งตรงมาจากฟากฟ้า บนหลังของมัน มีชายคนหนึ่งยืนอยู่
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านอิ๋นเยวี่ย อวิ๋นโม่? เขามาทำอะไรอีกหรือ?”
“เขาคือท่านหัวหน้าหมู่บ้านอิ๋นเยวี่ย ที่มาส่งบัตรเชิญให้กู่ไห่เมื่อคราวก่อน”
“ท่านกู่ได้รับบัตรเชิญ จากตัวแทนของท่านเ้าบ้านาุโโดยตรง”
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของผู้คน อวิ๋นโม่เดินไปอยู่ตรงหน้าของเซียนหว่านเอ๋อร์
“ท่านคือปรมาจารย์กู่ฉิน ผู้ที่ประพันธ์เพลงเหยื่ออธรรมใช่หรือไม่?” อวิ๋นโม่ถาม พลางมองเซียนหว่านเอ๋อร์นิ่ง
“ใช่แล้ว! มีเื่อันใด? ท่านเ้าบ้านจะมาเอาเื่ข้าหรืออย่างไร?” เซียนหว่านเอ๋อร์ถาม พลางหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ
“เหยื่ออธรรมของท่านนั้น เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์อันยากที่จะต้านทาน... ท่านเ้าบ้านาุโจึงให้ข้ามาส่งบัตรเชิญ เข้าร่วมงาน ‘พิธีมอบกู่ฉิน’ ให้ท่าน” อวิ๋นโม่เอ่ยปาก
“อะไรกัน? นั่นสำหรับนางมารหรอกหรือ?” ทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างเบิกตากว้าง
“หืม?” เซียนหว่านเอ๋อร์มองบัตรเชิญตรงหน้า ด้วยความแปลกใจ
“นี่เป็ความตั้งใจของท่านเ้าบ้านาุโ จะรับไว้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเ้า” อวิ๋นโม่ส่ายหน้า ก่อนพูด
“มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะไม่รับ? ฮ่าๆๆๆ!”
กล่าวจบ ก็เอื้อมมือไปรับบัตรเชิญ
ปัง!
เมฆหมอกรอบๆ ะเิออกพลัน เซียนหว่านเอ๋อร์หายไปอีกครั้งต่อหน้าต่อตาทุกคน
“แล้วนางมารเล่า? อยู่ที่ใดกัน?”
“หายไปแล้ว?”
เซียนหว่านเอ๋อร์ได้หายตัวไปอย่างน่าประหลาด ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างร้องอุทานด้วยความมึนงง
อวิ๋นโม่ขมวดคิ้วแน่น แต่ก็หาได้ใส่ใจ เดินตรงไปยังหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนอีกครั้ง เพื่อเข้าพบกู่ไห่
กู่ไห่รับบัตรเชิญอีกใบต่อหน้าผู้คน
“หืม? อีกใบหรือ?” เขาถามด้วยความกังขา
“นี่คือความประสงค์ของท่านเ้าบ้านาุโ เป็บัตรเชิญสำหรับผู้ประพันธ์บทเพลงเปย่” อวิ๋นโม่อธิบาย
ได้ยินเช่นนั้น กู่ไห่จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลงหว่านชิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน ก็ยิ้มอย่างมีความสุข
มู่เฉินเฟิงรู้สึกสับสนอีกครั้ง เขาเข้าทดสอบมาเก้ารอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้บัตรเชิญ แบบที่กู่ไห่กำลังได้รับอยู่ตรงหน้า เพราะเหตุใดความแตกต่างระหว่างผู้คน ถึงได้กว้างขนาดนี้?
“ท่านกู่ ท่านรับไว้เถอะ”
“ใช่แล้ว! ท่านกู่ ท่านสมควรได้รับมัน”
“ท่านกู่ การได้รับบัตรเชิญซ้ำเช่นนี้ ไม่ถือว่าแปลกอันใด ท่านแข็งแกร่งกว่านักกู่ฉินคนอื่นๆ ยิ่งนัก จึงเหมาะสมแล้วที่จะได้รับมัน”
ผู้คนที่อยู่รอบๆ บริเวณ ต่างร้องบอก
“เอาละ! ขอบคุณท่านเ้าบ้านาุโที่ชื่นชม” กู่ไห่ยิ้มบางๆ และพยักหน้าตอบรับ
คนอื่นไม่รู้ แต่กู่ไห่นั้นรู้ดี... ปรมาจารย์กู่ฉิน? ล้อเล่นแล้ว! เปย่? นี่เป็เพียงเื่บังเอิญเท่านั้น
อวิ๋นโม่จากไปแล้ว
กู่ไห่ หลงหว่านชิง มู่เฉินเฟิง และคนอื่นๆ กลับมายังตำหนักเสี่ยวเยว่
“ท่านถังจู่ ท่าน้าบัตรเชิญหรือไม่ ข้าไม่อยากไปจริงๆ” กู่ไห่กล่าว พลางยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่ๆ! เ้าไปเถอะ” หลงหว่านชิงปฏิเสธ
มู่เฉินเฟิงหันไปมองอย่างเหลือทน บัตรเชิญนี้เหล่า ปรมาจารย์กู่ฉินในเมืองอิ๋นเยวี่ย ต่างก็ดิ้นรนด้วยความยากลำบาก เพื่อให้ได้มันมาไว้ใน ทว่ากู่ไห่กลับไม่้าเสียอย่างนั้น? นี่เขาตั้งใจจะยกบัตรให้ทุกคนที่ตนพบเลยหรืออย่างไร?
...
ในเมืองอิ๋นเยวี่ย
หลังจากการต่อสู้สะท้านฟ้าะเืดิน อันดุเดือดและโหดร้ายจบลง ความสงบก็กลับมาเยือนอีกครั้ง
บัดนี้ หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้ปิดตัวลงแล้ว ไม่เพียงถูกทำลายทรัพย์สิน แต่ในใจของชาวเมืองอิ๋นเยวี่ยทั้งหลาย ยังคงเกลียดชังชื่อนี้ไปอีกนาน ต่อให้เปิดใหม่ หรือย้ายไปเปิดที่อื่น ก็ไม่มีใครที่คิดจะย่างกรายเข้าไปเยี่ยมชมแน่
ขณะที่หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าปิดกิจการไป แต่ในทางกลับกัน หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนกลับคึกคักยิ่งกว่าเดิม
ด้วยความชื่นชมและซาบซึ้งที่ชาวเมืองมีต่อกู่ไห่ ผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศในเมือง จึงเข้ามาเยี่ยมชมและซื้อเครื่องดนตรีกันอย่างมากมาย
การสั่งจองกางฉินล่วงหน้า เริ่มกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน ไม่เพียงแต่จะได้รับเงินทองเท่านั้น
หินิญญาที่หามาได้ในทุกวัน ส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ในช่องว่างมิติของกู่ไห่ และแบ่งปันบางส่วนไปให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งรีบซื้อช่องว่างมิติมาเก็บส่วนแบ่งของตนทันที ส่วนหินิญญาที่เหลือ จะนำไปเก็บไว้ในห้องของกู่ไห่ที่ตำหนักเสี่ยวเยว่
หินิญญาไหลมาเทมาทุกวัน
ตอนนี้ เหล่าศิษย์สังกัดไม้เริ่มที่จะรับคำสั่งจากกู่ไห่โดยตรง เพราะหัวหน้าสังกัดวารีผู้นี้ใจกว้างนัก หลังจากวุ่นวายกันมาหลายวัน ท่านหัวหน้าสังกัดวารี ก็ให้รางวัลที่ชวนตะลึงกับพวกเขา ค่าตอบแทนในหนึ่งเดือนนี้ มากกว่าที่ได้รับในสิบกว่าปีที่ผ่านมาเสียอีก เช่นนี้แล้ว ใครจะบ้าไม่ยอมทำงานอีก?
ทุกอย่างกำลังเป็ไปได้ด้วยดี แต่กู่ไห่ก็หาได้สนใจอะไรอีก เพียงหันไปตรวจสอบข้อมูลต่างๆ อยู่ที่ตำหนักเสี่ยวเยว่แทน
“หืม? ท่านถังจู่ ดูเหมือนว่าข้าจะพบเงื่อนงำบางอย่าง หลังจากที่มารดาของท่านได้สร้างตำหนักเสี่ยวเยว่ขึ้นแล้ว ก็มักจะจัดงาน ‘พิธีมอบกู่ฉิน’ ที่นี่เป็ประจำ และยังเชิญปรมาจารย์กู่ฉินมาประลองฝีมือกันด้วย แต่ข้าคิดว่ามีแขกสองคนที่ดูแปลกๆ” กู่ไห่กล่าวอย่างเคลือบแคลงใจ
“หืม?”
“คนแรกก็คือท่านอ๋องแห่งเมืองอิ๋นเยวี่ย ‘เหอซื่อคัง’ และยังมีนักกู่ฉินที่ชื่อ ‘ท่านหวงฝู่’ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้มาด้วยกันทุกครั้ง แต่ก็มักจะเข้าร่วมงานมอบกู่ฉินของท่านแม่ของท่านอยู่บ่อยครั้ง อย่างน้อย ข้าก็คิดว่าพวกเขาคงจะคุ้นเคยกันมาก
นอกจากนี้ ในพิธีมอบกู่ฉินครั้งสุดท้าย ก่อนที่ท่านแม่ของท่านจะสิ้น พวกเขาก็มาเช่นกัน แต่หลังจากที่แม่ท่านตาย นักกู่ฉินคนอื่นๆ ก็พากันมาไว้อาลัย แต่ทั้งสองคนนี้ กลับไม่เคยมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับพวกเขาเลย” กู่ไห่หรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
“หืม?” หลงหว่านชิงอึ้งไปเล็กน้อย
คนที่ไม่มาไว้อาลัยก็น่าจะมากมายอยู่ แต่คนที่มาก็มีเยอะเช่นกัน ดังนั้น จึงไม่มีใครใส่ใจเื่พวกนี้... ทว่าเมื่อได้อ่านบันทึกงานศพ กู่ไห่กลับรู้สึกว่ามันผิดปกติจริงๆ
“ท่านหวงฝู่คือใคร? ข้า้าตรวจสอบเื่นี้ แล้วท่านอ๋องเมืองอิ๋นเยวี่ย เหอซื่อคังล่ะ? เขาเป็อย่างไร?” กู่ไห่มองหลงหว่านชิงด้วยความสงสัย
หลงหว่านชิงหวนนึกถึงความทรงจำในอดีต
“แย่แล้วๆ! กู่ไห่… เกิดเื่ใหญ่แล้ว!” มู่เฉินเฟิงวิ่งมาแต่ไกล อย่างเหนื่อยหอบ
“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ไห่ถามด้วยความข้องใจ
“คุณชายอาน... คุณชายอานและท่านอ๋องเหอซื่อคัง นำกองกำลังจำนวนมากมาล้อมหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน เพื่อยึดหอกู่ฉินของพวกเรา” มู่เฉินเฟิงกล่าวอย่างร้อนรน
“ว่าอย่างไรนะ? ยึดอย่างนั้นหรือ? เพราะเหตุใดกัน?” หลงหว่านชิงถลึงตาถาม ด้วยโทสะอันเปี่ยมล้น
--------------------------------------
[1] ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น เป็สำนวนจีน แปลว่าเหน็ดเหนื่อยทำอะไรสักอย่าง โดยที่ตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์ หรือการตอบแทนใดๆ และบางที สิ่งที่ตัวเองหวังจะได้รับ กลับกลายเป็ของผู้อื่นไป