หมี่หลันเยว่เห็นท่าทีที่จริงใจของลุงหวังแล้ว จึงเริ่มพูดแผนการในใจ
"ลุงหวังคะ ่วันหยุดนี้ ลุงลองพาหนูไปเดินดูร้านค้าหน่อยได้ไหมคะ หนูจะได้ดูว่าลุงวางแผนแบ่งร้านยังไง แต่ละห้องที่จะปล่อยเช่ามีขนาดเท่าไหร่"
นี่แหละคือสิ่งที่หมี่หลันเยว่อยากรู้ที่สุด! เธอต้องรู้ขนาดพื้นที่ของแต่ละร้านที่ทางการจัดสรรให้เสียก่อน ถึงจะตัดสินใจได้ว่าเธอ้าเก็บไว้เองกี่ร้าน ถึงจะอยากได้เยอะๆ แต่ก็ไม่อยากทำอะไรเกินหน้าเกินตาจนเกินไป เดี๋ยวจะโดนจับจ้องเอาได้
นอกจากนี้ ในใจของหลันเยว่ก็กำลังคิดหาหนทาง ว่าจะทำยังไงให้คนเต็มใจยกพื้นที่ให้เธอแต่โดยดี แบบนั้น ต่อให้มีร้านเยอะแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้าว่าเธอโลภมาก แถมอาจจะมองว่าเธอช่วยทางการแก้ไขปัญหาซะอีก อย่างนี้จะได้ไม่มีใครนินทา แถมยังอาจสงสารที่เธอโดนทางการลากเข้าไปพัวพันด้วยซ้ำ
"ลุงหวังคะ พอเห็นขนาดพื้นที่แล้ว หนูจะได้ตัดสินใจว่าจะเอาร้านกี่ห้อง เท่านี้ก็ถือว่าลุงปล่อยเช่าร้านในรอบแรกไปได้แล้วนะคะ"
หมี่หลันเยว่แอบเหลือบมองสีหน้าของหวังเ้าชิ่ง ดูว่าเขายังสนใจฟังต่อไหม
"ได้สิ แก้ปัญหาไปทีละรอบไป ดูท่าทางแล้ว หลันเยว่ไม่ได้อยากได้แค่ร้านเดียวนี่นา หรือว่าจะเปิดร้านใหญ่โตขนาดนั้นเลยเหรอ?"
สมแล้วที่เป็หัวหน้าในหน่วยงานรัฐ! เหลี่ยมจัดจริงๆ แค่ยังไม่ทันพูดอะไรมาก เขาก็เริ่มระแวงแล้ว
"หนูก็แค่อยากช่วยลุงแก้ปัญหาเท่านั้นเอง ซวงเฉิงของเราเพิ่งเริ่มให้เช่าพื้นที่รัฐเป็ครั้งแรก คนทั่วไปอาจจะยังไม่ยอมรับได้เร็วขนาดนั้น ลุงก็ต้องมีคนบุกเบิกก่อนสิคะ ถึงจะทำงานได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ลุงกับพ่อก็เป็เพื่อนร่วมงานเก่าแก่กัน หนูเลยอยากช่วยลุงเต็มที่เลยค่ะ"
เอาละสิ! ทีแรกว่าจะมาขอความช่วยเหลือ แต่สาวน้อยกลับทำท่าผึ่งผาย บอกว่ามาช่วยคนอื่นซะอย่างนั้น! สมองไวขนาดนี้ ปากคมกริบขนาดนี้ ไม่ใช่แค่หวังเ้าชิ่ง ถึงแต่หมี่จิ้งเฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา มองลูกสาวตัวเอง นี่มัน...เกินไปแล้ว!
"ลุงไม่เชื่อเหรอคะ หนูอยากช่วยจริงๆ นะคะ ลุงหวังคะ ซวงเฉิงของเรามีคนที่กล้าทำธุรกิจส่วนตัวไม่น่าจะเยอะเท่าไหร่ การปล่อยเช่าพื้นที่เลยเป็เื่ยุ่งยาก ถ้าปล่อยเช่าไม่ได้ทั้งหมด มีพื้นที่ว่างเยอะๆ การเปิดห้างก็คงเลื่อนไปเรื่อยๆ"
เื่นี้หวังเ้าชิ่งก็คิดไว้แล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เช่าไปแค่ครึ่งเดียว ที่เหลือก็กั้นไว้ เปิดร้านแค่ครึ่งเดียวไปก่อน แต่ครึ่งที่เหลือก็เปลืองเปล่าๆ แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ ของใหม่ๆ ก็ต้องมีอุปสรรคบ้าง แต่หนูน้อยคนนี้พูดแบบนี้ หรือว่าเธอจะมีวิธีแก้ปัญหาที่ดี?
"เธอว่ามาสิ"
สีหน้าของหวังเ้าชิ่งเริ่มจริงจังขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่กล้าดูถูกเด็กสาวคนนี้แล้ว ทุกคำพูดของเธอ ทำให้เขารู้สึกอยากรู้แผนการต่อไปของเธอ
"หนูคิดว่า ลุงลองแบ่งพื้นที่ออกมาครึ่งหนึ่งก่อน ในนั้นก็ต้องมีร้านที่หนู้าอยู่ด้วย ถือว่าเป็ร้านที่หนูจองไว้ล่วงหน้า พอเปิดทำการหลังตรุษจีน ลุงก็ประกาศไปว่าร้านค้าปล่อยเช่าไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว อย่างนี้ถึงจะมีคนสนใจ ทำให้คนรู้สึกว่าร้านพวกนี้ขายดี"
"พอลุงปล่อยเช่าที่เหลือได้หมดแล้ว ค่อยเอาร้านที่หนูจองไว้ล่วงหน้าออกมาปล่อยเช่าต่อ เช่าได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น เพราะพื้นที่ที่จองไว้ดีกว่า ก็ต้องเช่าง่ายกว่าอยู่แล้ว ลุงเอาออกมาใช้เป็ของขวัญได้ค่ะ ใครที่รู้จักกันอยากได้ ก็บอกว่าแย่งมาจากลูกค้าอีกที ใครๆ ก็ต้องซาบซึ้ง"
วิธีการปล่อยเช่าแบบนี้นิยมมากในยุคหลังๆ โดยเฉพาะพวกบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ขายบ้าน พวกเขาจะเก็บบ้านดีๆ ไว้ก่อน บอกว่าขายหมดแล้ว คนที่อยากซื้อบ้าน พอเห็นว่าบ้านขายดีขนาดนี้ ถ้าไม่รีบซื้อ แม้แต่บ้านไม่ดีก็ขายจะหมด พอซื้อบ้านได้แล้ว ถึงได้รู้ว่า ทางบริษัทก็เอาบ้านทำเลดีๆ มาขายอีกที บ้านดีๆ ก็ต้องขายง่ายกว่าอยู่แล้ว
"ลุงหวังว่าข้อเสนอของหนูเป็ยังไง ใช้ได้ไหมคะ?"
สาวน้อยพูดจาเจื้อยแจ้ว หวังเ้าชิ่งฟังจนเพลิน อย่าว่าแต่ใช้ได้เลย มันดีเกินไปด้วยซ้ำ
"อืม ความคิดดี ต้องเอาไปวางแผนดีๆ ก่อน"
หวังเ้าชิ่งพยักหน้าตอบ แต่หมี่หลันเยว่กลับคว้าแขนเสื้อเขาไว้
"แต่ลุงหวังต้องเก็บร้านที่หนูจองไว้ก่อนนะคะ อย่าเพลินจนปล่อยเช่าออกไปหมดนะคะ"
"ไม่หรอกๆ ไม่ต้องห่วง นอกจากลุงจะรับปากเธอแล้ว เห็นแก่ที่เธอเสนอความคิดดีๆ ให้ลุง ลุงก็ไม่ทำให้เธอเสียเปรียบหรอก อย่างนี้ดีไหม วันนี้ลุงจะลองคุยกับคนอื่นๆ ดู ว่าจะให้เธอไปดูร้านค้าก่อนได้ไหม เดี๋ยว่บ่ายหรือพรุ่งนี้เช้าลุงจะให้ข่าว"
คนยุคนี้ยังหัวโบราณอยู่ เื่แค่แอบไปดูก่อน ยังต้องทำเป็เื่ใหญ่โต ถึงว่าหมี่หลันเยว่จะเสนอผลประโยชน์ให้มากมาย แต่ลุงหวังก็คงคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของรัฐ ไม่ได้คิดจะฉวยโอกาสเข้าตัวเอง แต่หมี่หลันเยว่ก็ไม่กล้าทำอะไรเกินเลยไปกว่านี้ นี่ก็เป็ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะคิดออกแล้ว
พอตกลงกันได้ หมี่จิ้งเฉิงก็จดเบอร์โทรศัพท์ติดต่อให้ เป็เบอร์ร้านเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน เวลามีคนโทรมาที่ร้าน เขาจะบอกต่อที่บ้านให้ แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่เงินไม่กี่สิบเฟิน เมื่อเทียบกับเื่ใหญ่ของลูกสาวแล้ว มันเล็กน้อยเกินไป
หมี่จิ้งเฉิงก็พาลูกๆ กลับบ้าน หมี่หลันเยว่กับคนอื่นๆ ก็ต้องมาคิดกันต่อ ว่าจะเตรียมตัวยังไงต่อไป อันดับแรกคือต้องศึกษาดูก่อน ว่าควรเลือกร้านค้ากี่ห้องดี แล้วจะใช้เองทั้งหมด หรือจะปล่อยเช่าไปด้วย แล้วร้านค้าต้องปรับปรุงยังไง เื่พวกนี้ต้องมีแผนไว้ก่อน
"จิ้งเฉิง ทำไมกลับมาเร็วจัง หาบ้านเจอแล้วเหรอ เร็วขนาดนี้เชียว?"
หวังหย่วนฉิงได้ยินเสียงเปิดประตูรั้ว กับเสียงฝีเท้าดัง จึงรีบเปิดประตูออกมาดู ก็เห็นสามีพาลูกๆ กลับบ้านจริงๆ
"พี่ พี่กลับมาแล้ว"
หมี่หลันซิงก็โผล่มาจากร้านหนังสือ วิ่งเข้ามากอดหมี่หลันเยว่
"อย่าเข้ามาๆ พี่ตัวเย็น เดี๋ยวจะหนาว"
่ตรุษจีนอากาศเย็น หมี่หลันซิงเพิ่งออกมาจากร้าน ตัวเขาไม่ค่อยอุ่น หมี่หลันเยว่กลัวว่าเขาจะหนาว
"ไม่หนาวๆ พี่ครับ ผมช่วยแม่ดูแลร้านดีมากเลยนะครับ"
มองท่าทางออดอ้อนของหมี่หลันซิง หมี่หลันเยว่ก็ยิ้มเหมือนจิ้งจอกน้อย
"ดูแลร้านดีจริงๆ เหรอ?"
หมี่หลันซิงรีบพยักหน้า เขารู้ดีที่สุด พี่สัญญาอะไรไว้ ไม่เคยผิดคำพูด
"นี่ รางวัล เอากลับไปกินที่บ้านนะ พี่จะมาดูร้านเอง"
หมี่หลันเยว่หันไปรับลูกอมเคลือบน้ำตาลสีแดงสดจากมือของหมี่หลันหยางส่งให้น้องชาย หมี่หลันซิงชอบกินมาก ตาก็ยิ้มจนหยี
"ขอบคุณครับพี่ พี่กินก่อนสิ"
หมี่หลันซิงยื่นลูกอมเคลือบน้ำตาลสีแดงสดให้พี่สาว หมี่หลันเยว่รีบบอกปัด
"พี่อยากกินก็ซื้อเองได้ เอากลับไปกินกับพ่อแม่นะ แม่คะ แม่ต้องกินด้วยนะ มันเปรี้ยวเกินไป เดี๋ยวเขาท้องเสีย"
หวังหย่วนฉิงมองลูกสาวดูแลลูกชายคนเล็กอย่างดี ก็ได้แต่ถอนหายใจ ลูกสาวคนนี้มีวิธีจริงๆ บางทีลูกชายตัวแสบคนนี้ ยังไม่ฟังแม่เลย แต่กลับเชื่อฟังพี่สาวคนนี้เสียทุกอย่าง
"อืม แม่รู้แล้ว พวกลูกจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ แม่จะกลับไปคุยกับพ่อพวกลูก"
รู้ว่าต้องมีข่าวดีแน่ๆ พวกเด็กๆ อยากคุยกันเอง หวังหย่วนฉิงก็ใจร้อน แต่ไม่อยากรบกวนลูกๆ ทำงาน เลยต้องคว้าตัวหมี่จิ้งเฉิง หวังจะคาดคั้นเอาความลับจากปากเขา หมี่หลันซิงเห็นว่าไม่มีใครสนใจตัวเอง ก็ดีใจใหญ่ ลูกอมเป็ของเขาแล้ว!
"แม่คะ แม่ต้องดูแลหลันซิงดีๆ อย่าให้เขากินลูกอมหมดทีเดียวนะ รอกินไปครึ่งหนึ่งแล้วแช่แข็งไว้ ให้เขากินอีกครึ่งหนึ่งตอนเย็น"
เห็นแม่ท่าทางจะไม่สนใจน้องชาย หมี่หลันเยว่เลยต้องกำชับอีก หมี่จิ้งเฉิงรับคำแทนภรรยา
"ไม่นึกเลยว่าเื่มันจะง่ายขนาดนี้ โครงสร้างแบบนี้เหมาะกับการขายเสื้อผ้าของเรามากเลย"
พอเข้าไปในร้านหนังสือ เห็นว่าคนในห้องไม่เยอะเท่าไหร่ พวกเด็กๆ ก็เอียงคอเข้ามาใกล้ๆ โต๊ะคิดเงิน หมี่หลันเยว่ก็เริ่มพึมพำว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าเื่ที่หายากแสนยาก กลับได้มาง่ายๆ อย่างนี้
"ห้างสรรพสินค้าที่รวมร้านค้าหลายๆ ร้านแบบนี้ เหมาะกับสินค้าของเรากว่าร้านค้าเดี่ยวๆ จริงเหรอ?"
หมี่หลันหยางกับพวกไม่เคยเจอรูปแบบการทำธุรกิจแบบนี้มาก่อน ก็เลยยังสงสัยอยู่ ในความคิดของพวกเขา ถ้าห้างใหญ่ๆ แบบนี้ขายของดี ทำไมร้านขายเสื้อผ้าของรัฐถึงเจ๊งล่ะ
"ไม่ต้องกังวลไปนะคะ การที่ร้านค้ามารวมๆ กันแบบนี้จะเป็ที่นิยมในอนาคต พวกเขาจะต้องเปลี่ยนไปแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถึงจะมีร้านของตัวเอง แต่ในห้างใหญ่ๆ ก็จะมีชั้นแสดงสินค้าให้เช่าด้วย พวกเราแค่เดินนำหน้าไปก่อนเท่านั้นเองค่ะ"
พอหมี่หลันเยว่พูดแบบนี้ สามหนุ่มก็ตื่นเต้นขึ้นมา
"จริงเหรอ? ในอนาคตจะเป็วิธีการทำธุรกิจแบบนี้จริงๆ เหรอ?"
พอคิดว่าตัวเองมีโอกาสได้เดินนำหน้ากระแสจริงๆ สามคนก็รู้สึกภูมิใจมาก
"แน่นอนสิ พวกพี่ไม่เชื่อฉันเหรอ ลองคิดดูสิคะ โลกต้องเดินไปข้างหน้า ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อันดับแรกก็ต้องพัฒนาธุรกิจส่วนตัว แต่ถ้าทุกคนเปิดร้านเล็กๆ กันเองคนละร้าน มันก็จะยากต่อการบริหารจัดการ รัฐจะต้องหาวิธีรวบรวมจัดการเป็กลุ่มอยู่แล้ว นี่ก็เป็แค่ระบบการทำธุรกิจอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง"
หมี่หลันเยว่ก็ไม่รู้ว่าอธิบายแบบนี้แล้ว สามหนุ่มจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เธอรู้เพราะมีประสบการณ์จากโลกยุคหลัง ถึงรู้ว่าอนาคตจะเป็ยังไง ส่วนที่เธอพูดไปเมื่อกี้ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกหรือผิด เพราะเธอไม่เคยทำงานในรัฐบาล เลยไม่รู้ว่าวิธีการปฏิรูปที่ถูกต้องเป็ยังไง รู้แค่ทิศทางการปฏิรูปคร่าวๆ เท่านั้นเอง
"พี่คะ พี่หย่งจิ้น พี่เผิงเฟย พวกเราเกิดมาในยุคที่ดี มันกำลังมีการปฏิวัติครั้งใหม่ ยุคนี้ให้โอกาสพวกเราแบบนี้ พวกเราต้องลุยเต็มที่ถึงจะคู่ควรกับยุคนี้"
หมี่หลันเยว่กำหมัดแน่น ขอบคุณยุคนี้ ที่กำลังจะมอบความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ให้กับเธอ
เธอทำได้แล้ว เธอค่อยๆ ปรับชีวิตตัวเองให้เดินไปในทิศทางที่สดใส และโอกาสจากยุคนี้ กำลังนำพาโอกาสในการพัฒนาใหม่ๆ มาให้เธอ บนเส้นทางข้างหน้านี้ เธอจะเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ตามที่เธอวางแผนไว้
