เ่ิูพอจะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศในสำนักแปลกไปจากเดิม บรรยากาศตลบด้วยกลิ่นอายตึงเครียด นักเรียนแต่ละคนก็ทำท่าเหมือนใกล้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
เขามาถึงหอพัก อาบน้ำอาบท่าแล้วเปลี่ยนอาภรณ์เสียใหม่
แผนเดิมคือจะไปหาเวินหว่าน ขอคำชี้แนะปัญหาการฝึก ทว่าตอนนี้เวินหว่านกลับออกจากสำนักไปแล้ว ขณะนี้เด็กหนุ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปทำอะไร
ฝึกวิชาหายใจไร้ชื่ออยู่ครึ่งค่อนวัน จวบจนเข้าเวลามื้อเที่ยง
เ่ิูครุ่นคิด เขาต้องหอบเอาทุกอย่างที่ได้มาจากการทดสอบสู้ศึกจริงคราแรกไปแลกเป็คะแนนเสีย หลังจากนั้นค่อยหาอาวุธิญญา หลังผ่านเข้าอาณาน้ำพุิญญาแล้วจำเป็ต้องมีอาวุธประจำชีพหล่อหลอมเข้ากับจุดตันเถียน เข้าสู่การฝึกฝนที่สอดคล้องกันระหว่างคนกับศาสตรา ถึงจะเป็หนทางฝึกฝนวรยุทธ์อักขระพลังอย่างแท้จริง
แน่นอนว่ายังมีเื่เลื่อนชั้นให้คิด
เ่ิูเขียนสิ่งที่ต้องทำบนกระดาษเป็บรรทัดๆ จัดแิให้เป็ระเบียบ
ยามเที่ยงวัน อากาศไม่ได้ร้อนอะไร
เ่ิูกินข้าวในโรงอาหารเสร็จแล้วก็ไปเดินในย่านค้าขายของเขตปีหนึ่ง ในร้านค้าอาวุธนั้นก็มีอาวุธิญญาอยู่บ้าง เสียแต่ราคาแพงเกินไป และส่วนมากก็เป็ของระดับต่ำ ไม่อาจตอบสนองความ้าของเขาได้เลย
ศาสตราวุธิญญา สำหรับนักยุทธ์อาณาน้ำพุิญญาแล้ว สำคัญเป็ยิ่งยวด เ่ิูไม่อาจเลือกแบบสุกเอาเผากินได้
เขาเองก็อยากลองประทับอักขระไว้บนหอกไน่เหอ เปลี่ยนมันให้เป็อาวุธิญญา ทว่าเมื่อถามไถ่ช่างอักขระหลายคนในย่านแล้วก็ได้ทราบว่าทำไม่ได้
อย่างแรกคือวัตถุที่ใช้ทำหอกไน่เหอนั้นมีค่าเกินกว่าคำว่าสูงส่ง ไม่เหมาะกับการประทับอักขระั้แ่เริ่ม อีกอย่างคือศาสตราวุธนี้ขนาดใหญ่เกินไป แม้จะเป็ปรมาจารย์ด้านอักขระก็ยังต้องผลาญพลังกายพลังใจ รวมไปถึงทรัพยากรมากมายถึงจะแกะอักขระสำเร็จ ได้ไม่คุ้มเสีย
หลังเดินเตร็ดเตร่ในย่านการค้าแล้ว เ่ิูก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำให้หอกไน่เหอกลายเป็อาวุธิญญา
นี่ก็ทำให้เขาเข้าใจเช่นกัน ว่าหอกไน่เหอแม้จะพลังทำลายล้างสูง แต่ก็ไม่อาจเป็อาวุธคู่กายเขาได้ยืนยาว ตามพลังของเขาที่เติบโตขึ้นทุกวัน หอกไน่เหอไม่มีทางรับความ้าของเขาได้อีกแล้ว
ในใจเขาครุ่นคิดพลางเดินไป ไม่รู้ว่ายามใดที่ได้เดินออกมาจากย่าน
เงาไม้ทาบทับ เอนเอียงไปทางทิศตะวันออก
เวลาเคลื่อนคล้อยมาถึงยามบ่าย
เ่ิูไปห้องการศึกษา นำของทั้งหมดที่เขาได้มาจากการทดสอบสู้ศึกจริงแลกเป็คะแนน รวมทั้งหมดยี่สิบคะแนนเต็ม หลังจากนั้นก็มุ่งตรงไปยังหอสมุดใหญ่ที่สุดของเขตปีหนึ่ง
หลายวันที่เขาฝึกอยู่ในหอพิจารณ์นั้น ได้เผชิญกับปัญหาเล็กๆ อยู่มากพอดู เขาหวังจะหาคำตอบให้ได้ในหอสมุด
ทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้า ก็พบว่าบรรยากาศไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก
นักเรียนปีหนึ่งยี่สิบสามสิบคนยืนฮึดฮัดอยู่หน้าบันได มีคนะโถามเสียงดัง และบนบันไดนั้นมีร่างเด็กหนุ่มหนุ่มสวมอาภรณ์สีน้ำเงินงามยืนคุมเชิงอยู่ ดูจากเครื่องแบบแล้ว มิใช่ศิษย์สำนักกวางขาวเป็แน่
“นี่มันหอสมุดของสำนักกวางขาวพวกเรา ทำไมพวกเราจะเข้าไม่ได้หา?”
“ใช่ สำนักหงส์ฟ้าจะไร้เหตุผลเกินไปแล้วนะ!”
“กล้ามายืนขวางไม่ให้พวกเราเข้า ไม่รู้ประสาคนหรือไงฮะ?”
บรรดาศิษย์สำนักกวางขาวเคืองแค้นต่อความไม่เป็ธรรม แต่ละคนล้วนคอแข็งและหน้าแดง พวกเขาโกรธไม่น้อย และยังมีบางคนที่จมูกช้ำหน้าบวมเป่ง เืกบมุมปาก น่าจะลงไม้ลงมือแล้วแต่กลับพ่ายแพ้
บนบันไดมีศิษย์สำนักหงส์ฟ้าสี่คนยืนหยิ่งยโสอยู่ ปรายตามองคนเบื้องล่างอย่างดูถูกและเหยียดหยาม
“ศิษย์พี่สวี่เกอมาสืบค้นตำรับตำราที่นี่ก็นับว่าบุญหัวสำนักพวกเ้ามากแล้ว อย่ามาไม่รู้ที่ต่ำที่สูง พวกขยะมาพ่นพร่ำกันเซ็งแซ่ ไม่มีพลังก็รีบไสหัวไปได้แล้วโว้ย!” ศิษย์หงส์ฟ้าตาเล็กคนหนึ่งหัวเราะเย็น สายตาดูเหยียด
“พวกเ้าโอหังนัก นี่มันเขตแดนของสำนักกวางขาวเรานะ” นักเรียนเ้าถิ่นที่ตาบวมเหมือนลูกท้อเน่าโมโหจัด
“แล้วอย่างไรวะ? พวกข้ามาใช้หอสมุดที่นี่ได้ เพราะเ้าสำนักพวกเ้าอนุญาตนะ” เขายืดอกผึ่งผาย
“เ้าสำนักแค่อนุญาตให้พวกเ้าสืบค้นตำรับตำราเท่านั้น ไม่ได้ให้มาขวางประตูไม่ให้ศิษย์สำนักกวางขาวเข้า...” นักเรียนอีกคนเถียงอย่างโกรธขึ้ง
“เฮอะๆ ศิษย์พี่สวี่เกอท่านระดับไหนแล้ว ท่าน้าอ่านอย่างสงบ ห้ามใครรบกวน ไม่ให้พวกแมงหวี่แมงวันอย่างพวกเ้าเข้าไปปากพล่อยหรอก...” ศิษย์ตาเล็กคนนั้นว่าด้วยเย่อหยิ่ง
“พวกเ้า...ฟังเหตุผลบ้างไหมเนี่ย?” อีกคนโมโหไม่แพ้กัน
“เหตุผล? ฮ่าๆ ฟังเหตุผล?” นักเรียนหงส์ฟ้าทุกคนเสมือนฟังเื่ตลกที่สุดเข้าให้ ทั้งหมดหัวเราะดูแคลนออกมาดังๆ
ศิษย์ตาตี่คนเดิมส่ายหน้า แววตาเวทนาชำเลืองมองนักเรียนกวางขาวทุกคน แล้วเอ่ยเยาะเย้ย “พวกสวะข้างถนน โง่ไม่พอยังซื่อบื้ออีก ช่างน่าสงสาร ไม่รู้จริงๆ ว่าสำนักกวางขาวสอนอะไรพวกเ้าไว้...จำไว้ให้ดี มีเพียงแค่คนที่พลังเท่ากันเท่านั้นถึงจะคุยด้วยเหตุผลได้ พวกเ้ายังอ่อนแอนัก เคยเห็นเทพัคุยกับมดหรือไงวะ?”
ศิษย์สำนักกวางขาวโกรธจนตัวสั่น ทั้งยังไม่รู้ว่าควรโต้ตอบอะไร
สำนักหงส์ฟ้านั้นอยู่ตรงกลางของมหานครอาณาจักรเสวี่ยที่สุด พลังพูนพร้อม เส้นสนกลในลึกล้ำ ในบรรดาสิบสำนักของอาณาจักรเสวี่ย อันดับอยู่ห่างชั้นจากกวางขาวมากนัก นักเรียนหงส์ฟ้าส่วนมากล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือ พลังกล้าแกร่ง ค่าพลังเฉลี่ยมากกว่าสำนักกวางขาว นี่คือเื่จริง
เดิมทีแล้วนักเรียนสำนักกวางขาวก็อิจฉาและอยากเป็ให้ได้อย่างสำนักหงส์ฟ้า เมื่อได้ยินว่าสำนักหงส์ฟ้าจะมาเยี่ยมเยียน ก็ยังอยากจะติดต่อ สร้างสัมพันธ์อันดี ตลอดจนแลกเปลี่ยนความรู้กันกับเหล่าอัจฉริยะจากใจกลางนครอันรุ่งโรจน์ พิสูจน์ซึ่งกันและกันอยู่เลย
ใครจะรู้เล่าว่านักเรียนหงส์ฟ้าผู้อยู่สูงกว่าหลายขุม มิได้เห็นนักเรียนกวางขาวอยู่ในสายตา แววตาพวกเขาเสมือนราชันมองขอทานสกปรกข้างถนน เกลียดจนไม่เห็นอยู่ในสายตา ทั้งตัวมีแต่ความเย่อหยิ่งที่ฝังลึกเข้ากระดูก อย่าพูดถึงการฝึกฝนหรือมิตรไมตรีเลย แค่จะคุยสักประโยคกับนักเรียนกวางขาว ก็ยังรู้สึกเหมือนเป็ความอับอายอย่างที่สุด
ท่าทีหยิ่งยโสนี้ทิ่มต่ำลึกเข้าไปในหัวใจศิษย์กวางขาว
สองสามวันมานี้ สองสำนักก็กระทบกระทั่งกันเล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่ก็ด้วยอาจารย์ของทั้งสองสำนักคอยควบคุม บังคับมิให้ใช้ความรุนแรงจู่โจมกัน ทว่าความเกลียดขี้หน้าและความเป็ศัตรู มีแต่จะเพิ่มขึ้นไม่หยุดเท่านั้น
วันนี้ที่ปิดห้องสมุดส่วนรวม ก็เป็หนึ่งในะเิลูกเล็กๆ ที่พวกคนจากหงส์ฟ้านี้ก่อหวอดขึ้นด้วย
ตอนประลองยุทธ์ก่อนหน้า สำนักกวางขาวตกเป็เบี้ยล่าง
ต่างฝ่ายต่างก็ยืนประจันหน้า เ้าถิ่นมีแต่จะโกรธเกรี้ยวนัก แต่ฝีมือไม่เท่า จึงไม่อาจทำอะไรได้
ยามนั้นเองที่นักเรียนกวางขาวคนหนึ่งเหล่มองด้านหลัง พลันดวงตาวับวาว ดีใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาดึงเพื่อนซี้ที่ข้างกาย ก่อนชี้นิ้วไปด้านหลัง
“ดึงข้าทำไมเนี่ย เ้า...เอ๊ะ? นั่นมัน...าามารเ่ิูนี่?” เพื่อนเกลอที่คราวแรกรำคาญ พอหันไปเห็นก็เข้าใจ เขาพลอยตื่นเต้นตามไปด้วย
“เ่ิูมาแล้ว”
“เขามาหอสมุดใช่ไหมน่ะ?”
“คงจะอย่างนั้น ไม่รู้หรือว่าาามารเย่ขึ้นชื่อเื่ชอบขลุกอยู่หอสมุดตัวยงเลยน่ะ”
“อย่าบอกนะว่า...เฮ้ยๆ าามารเย่ลงมือไม่ไว้หน้านี่นา...พวกศิษย์หงส์ฟ้ากลุ่มนี้โชคร้ายหล่นทับเข้าแล้วว่ะ!”
ศิษย์สำนักกวางขาวมองเ่ิูที่เดินดุ่มเข้ามาแล้วตื่นเต้นยินดี พวกเขากระซิบกระซาบกันยกใหญ่ แววตาเฝ้ารอราวกับต้นข้าวเห็นผู้พิทักษ์ก็ไม่ปาน
มีบางคนอยากทักทายเ่ิู แต่ก็ทำเพียงยกมือเท่านั้นไม่ได้พูดอะไร ข้อแรกเพราะเขาไม่สนิทกับเ่ิู ข้อสองคือใจยังกลัวอยู่
เ่ิูเห็นทุกอย่างแล้ว
เขาผงกหัวให้นักเรียนสำนักเดียวกัน ไม่เอื้อนเอ่ยอะไร เพียงเดินตรงไปยังประตูใหญ่ของหอสมุดเท่านั้น
แต่แค่พยักหน้ารับเท่านั้น กลับทำให้เด็กหนุ่มที่ยกมือคนนั้นรู้สึกเหมือนได้รับมิตรจนอึ้งไป พริบตานี้เองที่เขารู้สึกว่า าามารเย่อำมหิตไร้หัวใจที่เล่าลือกันมานั้น อาจมิใช่คนที่ไร้ความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ก็ได้นะ
ก้าวแล้วก้าวเล่า
เ่ิูเหยียบบันไดขึ้นไปทีละขั้นๆ
สีหน้านักเรียนหงส์ฟ้าเปลี่ยนเข้าแล้ว
ศิษย์กวางขาวท่าทีเงียบๆ ผู้นี้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความไม่สบายใจและกดดันเรื่อยๆ คนตรงกลางมองเพื่อนใกล้ๆ กันแล้วพยักหน้า สหายคนนั้นก้าวออกมาฉับพลันแล้ววาดหมัดเข้าใส่
วายุฮึกเหิม!
“ไม่ให้เข้าโว้ย!” เขาตวาดลั่น หมัดดั่งค้อนั์ แผดเสียงดั่งอากาศะเิ ตะลุยใส่อกของเ่ิูซึ่งคือจุดตายที่เขา้าโจมตี
เ่ิูไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
แม้แต่หลบก็ยังไม่หลบ
หน้าอกถูกหมัดน่าหวาดกลัวดั่งแบกสายฟ้าและลมกรรโชกมาด้วย พุ่งเข้าพิฆาตพร้อมกันอย่างไม่มีลีลาใด
กรุ๊บ!
เสียงกระดูกแหลกลอยมาแต่ไกล
ศิษย์กวางขาวอุทานลั่น หน้าซีดไร้สี
ทว่าพริบตาต่อมา พอเ่ิูย่างสามขุมเข้าหาก้าวหนึ่ง นักเรียนสำนักหงส์ฟ้าคนนั้นกลับร้องครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์เสียเอง ร่างสั่นเทิ้มลอยละลิ่วออกไป แขนขวาบิดเบี้ยวผิดรูปอย่างน่าสะพรึง
สภาพแบบนั้น เหมือนเอาหอกยาวแทงกำแพงเหล็ก แล้วถูกแรงกระแทกมหาศาลจนหักเป็สี่ห้าท่อน...
ที่แท้แล้ว สิ่งที่หักไม่ใช่กระดูกหน้าอกของเ่ิู
แต่เป็แขนของนักเรียนสำนักหงส์ฟ้า
“โอหัง...” ศิษย์ตาเล็กที่ไม่เคยปริปากตวาดลั่น “กล้าใช้กำลังทำร้ายคน ไม่รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร...”
พูดยังไม่ทันจบประโยคดี
เ่ิูยกมือวาดหมัดไปทีหนึ่ง
เปรี้ยง!
อากาศธาตุเหมือนถูกอัสนีบาตแล่นตัด
หมัดก่อนหน้าของนักเรียนหงส์ฟ้า ทีท่าแข็งแกร่งเป็ที่สุด มากจนลมเหิมสาดซัด เสียงอากาศะเิดังไม่ขาดตอน ทำคนตะลึงลาน
ทว่าเมื่อเ่ิูสำแดงหมัดของเขาออกมา ในใจหมู่ชนพลันผุดความคิดที่ไม่อาจยับยั้งขึ้นมาข้อหนึ่ง : นี่สิถึงจะเป็หมัดที่แท้จริง หมัดที่ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าใช้ไปก่อนหน้า มันไม่ต่างกับเด็กเล่นซุกซนเลยสักนิด
ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าสามคน รวมทั้งเด็กหนุ่มตาตี่คนนั้นด้วย พออยู่ต่อหน้าหมัดวายุนี้แล้ว ราวกับตนหดเล็กสิ้นหวังเป็เมล็ดพืชในพายุเฮอริเคน ต่างก็ร้องสั่งให้ถอย ไม่กล้ารับหมัดเช่นนี้เลยสักคน
เ่ิูหัวเราะ เขาเก็บกำปั้นตัวเองกลับที่
หมัดวาโยอันตรธานในพริบตา
“สำนักหงส์ฟ้า มันก็แค่นี้เอง”
เขาทิ้งทวน แล้วก้าวเข้าหอสมุดไปไม่ช้าไม่เร็ว
ตลอดระยะที่มองเ่ิูจนแผ่นหลังนั้นจากไป ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าสี่ชีวิตถึงรู้ว่าความกดดันน่าหวาดหวั่นเสมือนหุบเขาาบดขยี้ให้บี้แบนนั้นหายไปแล้ว เหงื่อเย็นๆ หลั่งไหลบนแผ่นหลัง...
หากศิษย์สำนักกวางขาวคนนั้นไม่ละมือแล้วล่ะก็ พวกเขาต้องเจ็บสาหัสแน่