ครั้งนี้เอง ที่เ่ิูไม่หลบหนีเข้าจนได้
เขายืนอยู่บนพื้นดิน ง้างกำปั้นพร้อมสวนด้วยกำลัง
พริบตาเดียว กำปั้นคู่พลันปะทะกันเต็มเปา
“ฮ่าๆๆ ปะทะกันซึ่งๆ หน้าใช่ไหม? ดีเลย ข้าเองก็มองหาจุดดีในตัวลูกชั้นสูงปัญญาเบาเยี่ยงเ้าไม่ได้เลยจริงๆ หมัดนี้จะทำให้เ้ารู้ ว่าคนไหนกันแน่ที่ระยำ!” ั์ตาเ่ิูวับวามด้วยแววอันตราย ดุร้ายเหี้ยมโหดเยี่ยงสัตว์ป่า
ใจของหลิวเล่ย พลันหดเป็ปลาซิวเอาวินาทีนั้นเอง
ชั่วขณะถัดมา
พรวด!
ผิวหมัดของเ่ิู แหวกเนื้อหนังฉีก เืสดพุ่งกระจาย
ทว่ายามเดียวกัน เสียงกระดูกแตกหักกรุ๊บกร๊อบก็ประสานตามมา ผิดคาดตรงที่เป็เสียงจากแขนของหลิวเล่ยเองนั่นแล
มองดูแขนของเขาที่สามารถมากพอจะเขย่าขวัญเสาเหล็กกล้า กลับหักงอผิดรูปประหลาด กระดูกแทงทะลุผิวเนื้อโผล่ออก โปนขาว กระแทกตาะเืจิต
“อ๊าก”
เสียงโหยหวนน่าอนาถฟังไม่ได้ศัพท์ หายไปพร้อมกับหลิวเล่ยที่ะโหนีไปไกล
แขนขวาคล้ายจะเป็ตอนที่ถูกหมัดกระแทกกระทั้น ก็ไม่อาจทนรับเรี่ยวแรงดั่งน้ำท่วมเชี่ยวกรากนั้นได้ กระดูกป่นปี้ในพริบตา รู้สึกเหมือนถูกทำลายพินาศย่อยยับสิ้นในหมัดเดียว
เป็ความรู้สึกถูกบดขยี้ ที่หลิวเล่ยไม่เคยได้รับมาก่อนเลยสักครั้ง
ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดอีก หลิวเล่ยกระอักเื ล้มลงทาบแทบพื้น หมดสติไปทันที
รอบข้างสี่ทิศทั้งหมดทั้งมวลล้วนรู้สึกเหมือนสูดดมอากาศเย็นเฉียบ
ท่ามกลางสายตาตะลึงตื่นตระหนกจับจ้องเขม็งมา เ่ิูดึงกำปั้นกลับมา มองสำรวจกำปั้นขวาน้อยๆ นั่น กระดูกที่ทะลุออกมาดูน่ากลัวไม่น้อย
เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ คราหนึ่ง หลังจากนั้นจึงลองขยับนิ้วทั้งห้าดู พบว่ากระดูกนิ้วไม่ได้หักแต่อย่างใด
าแเหล่านี้เป็สิ่งที่เขาทำนายไว้ก่อนอยู่แล้ว และยังอยู่ในขอบเขตที่เขาทนรับได้
ดูท่าแล้วคงต้องรีบทำเวลา รีบเร่งสำเร็จวรยุทธ์ฝึกร่างขั้นพิภพทั้งหกเขตใหญ่ให้ได้ จึงจักเยียวยารักษาได้
พละกำลังของเขา ไม่รู้ว่าเหตุผลใด มากมายกว่าหลิวเล่ยมหาศาล แต่เป็เพราะฝึกฝนทดสอบไม่มากเท่ากับฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจึงได้รับาเ็ในการต่อสู้ครานี้
ใจเขาเข้าใจกระจ่าง หากยามนี้เขาฝึกฝนเยียวยาจนเป็วรยุทธ์อาณาพิภพชั้นหกได้ล่ะก็...ไม่สิ ถึงจะได้แค่ระดับห้าก็ตาม หมัดนี้วาดไปก็ยังสามารถพอจะถล่มทั้งแขนขวาของหลิวเล่ย คงไม่ได้มีแค่กระดูกที่แหลกเละแน่
ทว่าศึกครั้งนี้ พลังการประยุทธ์ของเขา ก็แจ่งแจ้มเหลือเกินแล้ว
พึ่งพาพลังเหนืุ์เบ็ดเสร็จนี้ กลิ้งผ่านวรยุทธ์อาณาพิภพระดับห้าได้ แข็งใจเพื่อต่อสู้กับระดับหก แต่หากพบพานอู๋ฉินซวงที่ปรีชาญาณถึงแก่นของวรยุทธ์อาณาเนื้อฟ้า และก้าวเข้าเป็นักยุทธ์ระดับอาณาน้ำพุิญญาไปได้ครึ่งก้าวแล้วล่ะก็ คงทนรับไม่ไหวแน่
เห็นทีความลับที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเขานี้ มากกว่าที่จินตนาการไว้หลายเท่า
ขณะเดียวกันนั้นเอง
คนรอบข้างตะลึงจนงงงวยโง่งมไปเลย
“ได้ยินมาว่าเขาต่อสู้จนศิษย์คนหนึ่งปางตายไปเมื่อวานไม่ใช่หรือ? กรรมมันตามสนองไวจริงๆ!” เ่ิูมองหลิวเล่ยที่สลบไสลน่าอนาถ จิปากแล้วส่ายหน้าเสแสร้งรู้สึกผิด “สภาพสะบัดสะบอมขนาดนี้ น่ากลัวว่าจะต้องนอนบนเตียงรักษาไปสักสองเดือนเลยหรือเปล่านี่?”
“เ้า...เ้า...เ้า...” หลิวเย่เพิ่งิญญากลับร่าง ชี้หน้าเ่ิู พูดตะกุกตะกัก “เ้ากล้าทำร้ายศิษย์พี่หลิวเล่ยาเ็สาหัส เ้าบ้าไปแล้วเรอะ? เ้านี่มัน...”
เ่ิูเหลือบมอง หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ย่างสามขุมเข้ามาหา
“มองดูตัวเองหน่อยซี่ ยังพ่นวาจาพ่อแม่ไม่สั่งสอนออกมาอีก ดูท่าคราวที่แล้วข้าจะสอนหนักไม่พอสินะ!”
รอยยิ้มแบบนี้ ในสายตาหลิวเย่ มันน่ากลัวยิ่งกว่ายิ้มอำมหิตของปีศาจ
เขาโอดครวญทั้งก้าวถอยหลัง “เ้า...จะทำอะไร อย่าเข้ามานะเว้ย เ้า...”
“ข้าก็จะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเ้าไงเล่า” เ่ิูยิ้มพลางเอ่ยแม่นมั่น “พวกเ้ามาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อมาแลกเปลี่ยนความเรรู้กับข้าหรอกหรือ?”
“ข้า...ไม่...” หลิวเย่รู้แล้วว่าตนกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ กลัวลนลาน หันหลังตะลีตะลานจะโกยแน่บ
“เพิ่งมาคิดหนีตอนนี้ มันสายไปแล้ว!”
เ่ิูเลิกทำใจอ่อนมือเบา ฝีเท้าหากไม่มองให้ดีๆ เป็วิชาที่หลิวเล่ยแสดงให้ดูเมื่อครู่ พริบตาเดียวก็มาถึงด้านหลังโจทก์เก่า ฝ่ามือแปรสภาพเป็กรงเล็บ ทีเดียวก็พันธนาการไหล่หลิวเย่ไว้เหมือนโซ่เหล็ก
“อ๊าก...” หลิวเย่กรีดร้องราวหมูโดนเชือด เสมือนมีดห้ำหั่นไปแล้วครึ่งตัว สะบัดหน้ากลับจะพูดอะไรบางอย่าง...
เ่ิูยกฝ่ามือขึ้นสูง
ตบดังเปรี้ยง
มวลชนดั่งสูดอากาศเย็นะเืเข้าปอด สักขีพยานได้ยินเสียงนั้นกันถ้วนทั่ว และได้เห็นหลิวเย่ตาพร่ามองเห็นดาวสาดกระหน่ำมาสี่ทิศ เสียงในหูดังหึ่งๆๆๆๆๆ ั์ตามืดดับก็ล้มหมดสติไปอีกคน
“โอ้? เป็ลมไปแล้ว? อ่อนหัดจริงๆ...โอ้ ไม่สิข้าพูดผิด ไม่ชำนาญการแลกเปลี่ยนเรียนรู้งั้นสินะ!” เ่ิูขายขี้หน้าหลิวเย่ไปหมดคอก กวาดตามองลูกกระจ๊อกคนอื่นของหลิวเล่ย เขาคลี่ยิ้ม “โอ้ ขอโทษที ข้ามองข้ามพวกเ้าไปแล้ว ยังมีใครในพวกเ้าอยากเรียนรู้กับข้าอีกไหม?”
วัยรุ่นสี่ห้าคนมองตากันอ้ำอึ้ง
พวกเขารู้ว่าหลิวเล่ยริเหยียบเข้าไปในปราการเหล็กเสียแล้ว คิดถึงด้านโเี้ของเ่ิูเมื่อครู่ หวาดกลัวจนทั้งขาทั้งท้องชา รู้สึกดั่งลมเย็นเฉียบซึมซาบสะพัดเข้ามาจากหาง เสียดลึกไปถึงสมอง ราวิญญาจะหลุดลอยไปโลกหลังความตายอยู่ริกๆ
“ไม่ๆๆ พวกเราจะอาจหาญเป็คู่มือท่านได้อย่างไรกัน!”
“พวกเราแค่ผ่านทางมา เข้ามาชมเฉยๆ น่ะขอรับ ไม่ได้มาเรียนรู้แลกเปลี่ยนอะไรเลย...”
“งั้น...พวกท่านทำธุระต่อเถิดขอรับ พวกข้าไม่รบกวนแล้ว...”
ยิ้มประจบประแจง ใจร่ำๆ จะสู้ไม่มีเหลือสักนิด ราวกับหมาถูกตัดหางปล่อยวัด หันหลังโกยแน่บ วิ่งไปสองสามก้าวก็คิดมองหลิวเล่ยกับหลิวเย่ที่นอนเหยียดแผ่เหมือนหมาตายแล้ว แสยะยิ้มสอพลอ พริบตาก็หนีไปไกลลิบ
คนพรรค์เดียวกันมันอยู่รวมกันได้จริงๆ!
พวกเด็กหนุ่มกลุ่มเดียวกับหลิวเย่นี่ ไม่มีอะไรดีน่าคบเลยสักคน
“เย้! ชนะแล้ว!”
“โล่งอกเลย!”
“ศิษย์พี่ชิงหยู หมัดนั่น ท่านทำได้อย่างไรกัน? เยี่ยมยุทธ์เกินไปแล้ว!”
“ข้ามียาเทวดารักษาได้ทุกโรค ศิษย์พี่ชิงหยูรีบประคบแผลก่อนเถอะ!”
คนอื่นๆ ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ต่างเข้ามาห้อมล้อมเ่ิูด้วยความตื่นเต้น พูดคุยกันจ้าละหวั่น แววตาที่มองเขา เต็มเปี่ยมด้วยเคารพยกย่องและนับถือ
อาจารย์ร่างบึกพ่นลมออกมาได้เฮือกหนึ่ง
“เอาล่ะ คาบเรียนวันนี้หมดแค่นี้ เลิกคาบๆ มีเื่อะไรค่อยมาถามทีหลังเถิด” อาจารย์ยิ้มทั้งปรบมือ ประกาศปล่อยศิษย์เลิกคาบ หลังจากนั้นก็ชี้หน้าเ่ิูพลางว่า “หนุ่มน้อย มากับข้า!”
....
เวลาต่อมา
ข้างศาลาริมทะเลสาบ ซึ่งเงียบสงัดเล็กน้อย
“เมื่อครู่เ้าเเกินไปหน่อยหนึ่งนะ บ้านตระกูลหลิวอิทธิพลไม่น้อย ไม่ใช่เื่ดีแน่” อาจารย์รูปร่างกำยำยืนมือไขว้หลัง ทอดตามองเกลียวคลื่นทอประกายระยิบระยับ
เ่ิูยืนอยู่ด้านหลัง
“แล้วจักให้ข้าทำอย่างไรเล่า? เขาบังคับข้าเอง เ้าคนนั้นมันหมาบ้า ถึงขั้นจะสู้กับข้าให้ตายกันไปข้างเลยนะขอรับ” เ่ิูเอ่ยน้อยใจ “หรือข้าจักต้องสู้กับเขาจนเขาตายจริงๆ งั้นหรือ?”
อาจารย์มิเอื้อนเอ่ยคำใด
“หลายปีมานี้ สำนักกวางขาวใกล้จะเน่าเฟะเพราะพวกชนชั้นสูงนี้เต็มทีแล้ว หลิวเล่ยเพิ่งเข้าสำนักมาได้ไม่กี่วัน ยังกำเริบเสิบสานขนาดนี้ ตามจริงแล้วต้องสั่งสอนเสียบ้าง” อาจารย์ร่างกำยำถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “แต่ว่า คนที่ลงมือไม่ควรเป็เ้านะ เ้าตัวคนเดียวไม่มีใครหนุนหลัง หลิวเล่ยกับหลิวเย่ไม่เหมือนเ้า พวกนั้นเป็สมาชิกชนชั้นสูงแต่กำเนิด ไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ หรอก!”
เ่ิูไม่โต้ตอบอะไร
หลายสิบวินาทีต่อมา ผู้าุโกว่าก็นึกอะไรขึ้นได้อีก เขาเอื้อนเอ่ย “เ้าตัดสินไว้ในใจั้แ่แรกแล้วมิใช่หรือ? ว่าหลิวเล่ยไม่ใช่คู่มือของเ้า ใช่ไหม? พลังลึกลับประหลาดล้ำในตัวเ้า...แล้วไฉนเ้าถึงโรมรันพันตูกับเขานานถึงขนาดนั้นอีก?”
"ข้ามิได้มีเื่กับใครมาเสียนานนี่นา ดังนั้นจึงเกินขนาดไปเสียหน่อย" เหตุผลทั้งหมด เ่ิูย่อมเข้าใจ
“เ้า...” บุรุษผู้เป็อาจารย์หันหน้ากลับมา จ้องศิษย์เขม็ง ตะเบ็งเสียงว่า “คิดว่าข้าดูไม่ออกหรือไง? ว่าเ้าทำเพื่อลองวิชาน่ะ?”
เ่ิูหัวเราะ “ท่านจักพูดให้ยากไปเพื่ออะไรกันขอรับ ข้าแค่คิดว่าเพลงหมัดกรงเล็บของเ้าบ้านั่นน่าสนใจอยู่บ้าง ถึงได้ให้มันแสดงออกมาให้หมดเปลือก สอดส่องลอกเลียนแบบบ้างสักหน่อย แฮะๆ!”
“‘หมัดกรงเล็บสะกดิญญาทั้งเก้า’ ถึงจะไม่ใช่ทักษะรบเลิศล้ำเป็พิเศษมากมาย แต่ในวรยุทธ์อาณาพิภพ ก็นับว่าเป็ระดับกลางค่อนสูงแล้วนะ หลิวเล่ยแค่แสดงออกมาสองรอบเท่านั้น เ้าไม่ใช่แค่จำได้ แต่ยังใช้กระบวนท่าหมีโอบที่พื้นฐานที่สุดบ่อนทำลายท่านั้น...” บุรุษร่างโตถอนหายใจ “ตลอดมาข้าไม่เคยเชื่อ ว่าโลกนี้จักมีฟ้าประทานสถิตย์อยู่จริงๆ!”
“แฮะๆ ท่านอย่าชมข้าเกินไปเลยขอรับ ข้าอาจเหลิงเอาได้” เ่ิูหัวเราะร่า
“เป็เด็กน้อยวาจากะล่อนเล่นลิ้นเสียจริง” อาจารย์เอ็ดเข้าให้ ตามด้วยคำถาม “‘หมัดกรงเล็บสะกดิญญาทั้งเก้า’ นั่น เ้าเข้าถึงมันแค่ไหนแล้ว?”
“งูๆ ปลาๆ พอไปวัดไปวาได้ล่ะขอรับ” เ่ิูว่าสบายอารมณ์
“อ้อ เ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าเข้าใจสุดซึ้งถึงแก่นแล้ว” บุรุษโตกว่าพยักหน้า “เ้าต้องจำไว้ว่า กระบวนยุทธ์นี้ มีเคล็ดลับอยู่ที่แปดอักษรนี้ เดินไปไร้ทาง ลงมือไร้หวน”
เ่ิูอึ้งเล็กน้อย รู้ได้ในฉับพลันว่าอาจารย์กำลังแนะแนวทางให้ตนอยู่ จึงยกมือน้อมเคารพ “ขอบพระคุณท่านอาจารย์เวิน”
ตอนหลิวเล่ยท้าทายอยู่นั้น ได้เอ่ยออกมาว่าอาจารย์ท่านนี้แซ่เวิน
อาจารย์ร่างกำยำเพียงพยักหน้าก่อนเอ่ย “เด็กน้อยเอ๊ย ระวังตัวไว้ให้ดีล่ะ นอกจากบ้านตระกูลหลิวแล้ว คนที่อยากประมือกับเ้าคงมีไม่ใช่น้อยๆ ใครใช้ให้เ้าแซ่เย่กันนะ...ถ้าเกิดมีปัญหาที่รับมือไม่ได้ขึ้นมา เ้ามาหาข้าได้ ข้ามีนามว่าเวินหว่าน”
เสียงเงียบสงัดลง
อาจารย์กำยำก้าวข้ามไป ย่ำเหยียบผืนทะเลสาบงามทอประกายวิบวับ พริบตาเดียวก็ห่างตาไปหลายร้อยเมตร
“ตอนาพิทักษ์เมืองครานั้น ข้าได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบิดามารดาเ้า”
เสียงที่เคยดังของเขา ล่องลอยมากลายๆ
เงื้อมเงาและร่างกายท้ายสุดก็ลาลับไม่อาจแลเห็น
“เอ้อ ทำไมพวกที่เป็อาจารย์อย่างพวกท่านถึงได้ใช้วิธีสะดุดตาเช่นนี้ปรากฏตัวแล้วก็หายไปด้วยนะ? เดินกับพื้นไปตามทางดีๆไม่ได้หรือ? หรือพวกระดับสูงจำเป็ต้องทำตัวให้เก่งกล้าเท่านั้นกัน?” เ่ิูมองทางเดินข้ามโพ้นทะเลสาบใกล้กันกับศาลา
ที่จริงแล้วเขาใคร่จะถามนักว่าทำไมอาจารย์บึกบันท่านนี้ถึงได้ดีกับเขาถึงขนาดนี้
แต่ดูตอนนี้ มาคิดอีกทีแล้วไม่จำเป็ต้องถามแล้ว
สมัยาพิทักษ์เมืองครานั้น เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นแน่ ถึงแม้อาจารย์ท่านนั้นอาจล่วงรู้ ทว่าเ่ิูไม่ไปถามเพราะรู้อยู่แก่ใจ ว่าพลังของเขาในยามนี้ไม่มากพอจะรับรู้เื่ราวเ่าั้ได้
...
หลายวันถัดจากนั้น เ่ิูก็เข้าคาบทฤษฎีนับครั้งได้ ทว่ากลับทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายฝึกฝนกระบวนท่าทั้งแปดกับอาจารย์เวินหว่านเอาเป็เอาตาย
เขาเข้าถึงกระบวนท่าหมีโอบชนิดระดับอาจารย์น่าเลื่อมใส ทลายกำแพงด่านเขตเนื้อของอาณาพิภพได้สำเร็จ
พิษและรอยฟกช้ำดำเขียวบนผิวเนื้อถูกชำระล้างออกจนสิ้น ความแข็งแกร่งเพิ่มพูนกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัว ล้วนแล้วแต่ทำให้เ่ิูควบคุมพลังลึกลับเบ็ดเสร็จที่ไหลเวียนอยู่ในกายได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
แน่นอน ว่าสำหรับตัวเขาแล้ว แค่นี้ยังห่างไกลจากคำว่าพอนัก