ผ่านไปอีกหลายวัน คณะเดินทางเจ็ดคนก็มาถึงหมู่บ้านเฟิงเยี่ย
ตลอดทางั้แ่ออกจากเมืองฝูเฉิง พวกเขาต้องนอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอด ผ่านความลำบากมากมายกว่าจะมาถึงหมู่บ้านแล้วเข้าพักในโรงเตี๊ยมได้ ทำให้เด็กทั้งหมดมีความสุขแทบแย่ หลิ่วเหอเห็นว่าหมู่บ้านเฟิงเยี่ยไม่เลวนัก จึงตัดสินใจพักที่หมู่บ้านนี้สองวัน ให้ทุกคนได้พักผ่อนสักหน่อย
ได้นอนอย่าสบายบนเตียงในโรงเตี๊ยมคืนหนึ่ง เฉียวรุ่ยรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส ความเหนื่อยล้าหายไปหมดสิ้น เพิ่งตื่นนอนไม่นานก็ได้ยินหลิ่วเทียนฉีวิ่งมาเคาะประตู
เฉียวรุ่ยเปิดประตูออกมาเห็นเขายืนยิ้มอยู่ “ทำไมมาหาข้าแต่เช้าตรู่เลยเล่า?”
“อ้อ ข้าได้ยินลูกจ้างบอกว่าตลาดสัตว์อสูรที่นี่คึกคักยิ่งนัก เลยอยากพาเ้าไปดูสักหน่อย”
“เช้าขนาดนี้เลย? เขาเปิดตลาดกันแล้วหรือ?” เฉียวรุ่ยมองอย่างสงสัย เอ่ยถามอย่างฉงน
“วางใจเถอะ ที่นั่นหนึ่งวันสิบสองชั่วยาม เปิดกิจการทั้งวัน”
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นเ้ารอข้าหน่อย ข้าล้างหน้าหวีผมสักครู่!” เฉียวรุ่ยพูดพลางรีบล้างหน้าหวีผม เปลี่ยนเสื้อผ้า
เห็นเฉียวรุ่ยแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว หลิ่วเทียนฉีก็จูงมือ “พวกเราไปกันเถอะ!”
“ไม่บอกท่านอาหลิ่วสักคำหรือ?”
“เมื่อครู่ตอนข้าชงชาให้ท่านพ่อ ข้าบอกท่านแล้ว!” พูดจบก็เดินจูงมือออกจากห้องไป
“อ้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้ารับ
หลิ่วเทียนฉีลงจากบันไดมาถึงในห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง เขาเห็นพวกหลิ่วเหอนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่
“น้องเจ็ด เสี่ยวรุ่ย พวกเ้าจะไปไหนกัน? ไม่กินอาหารเช้าหรือ?” หลิ่วซือเห็นทั้งสองคนจะออกจากโรงเตี๊ยมก็เอ่ยถามอย่างสนใจ
“อา!” เฉียวรุ่ยจ้องอาหารเช้ากลิ่นหอมฟุ้งบนโต๊ะ ตาเป็ประกายเล็กน้อยมองไปทางหลิ่วเทียนฉี
“อ้อ พี่สี่ ท่านค่อยๆ กินเถิด ข้ากับเสี่ยวรุ่ยจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย เดี๋ยวข้าค่อยพาเขาออกไปกินข้างนอกด้วย!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้ารับ บอกสั้นๆ ประโยคหนึ่ง
“ระวังความปลอดภัย ดูแลเสี่ยวรุ่ยให้ดีล่ะ!” หลิ่วเหอมองบุตรชายพลางกำชับอย่างไม่วางใจ
“ขอรับ ข้าทราบแล้วท่านพ่อ!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้าให้บิดาแล้วพาเฉียวรุ่ยออกจากโรงเตี๊ยม
หลิ่วซานมองแผ่นหลังของทั้งสอง ตะเกียบในมือพลันร่วงลงพื้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางรู้สึกถึงความวิตกสายหนึ่งเล่นงานหัวใจ
“พี่สาม ท่านเป็อะไรไป?” หลิ่วซือพูดพลางรีบส่งตะเกียบใหม่สะอาดคู่หนึ่งให้
“ไม่ ไม่มีอะไรหรอก!” หลิ่วซานส่ายศีรษะก้มหน้าลง กินข้าวต้มต่ออย่างเงียบๆ
แปลก เมื่อครู่มันคืออะไร? ทำไมรู้สึกว่าเื่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นกันนะ?
เมื่อหลิ่วเทียนฉีออกจากโรงเตี๊ยม ห่างจากสายตาของพวกหลิ่วซานแล้ว ฝีเท้าก็เพิ่มความเร็วขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
“เทียนฉี เ้า เ้ารีบมากเลยหรือ?”
เฉียวรุ่ยเห็นเทียนฉีเดินเร็วนักก็มีสีหน้าสงสัย ในใจคิด ‘เทียนฉีเป็อะไรไป?’
“เสี่ยวรุ่ย ข้าได้ยินลูกจ้างบอกมา หมู่บ้านเฟิงเยี่ยแห่งนี้มีผู้ควบคุมสัตว์อสูรอยู่มาก ดังนั้นกิจการสัตว์อสูรที่นี่จึงรุ่งเรือง ทุกวันตอนเช้าล้วนมีสัตว์อสูรมากมายเข้ามาในตลาดแห่งนี้ และพ่อค้าจากทั่วทุกสารทิศต่างวิ่งมาซื้อสัตว์อสูรกันที่นี่ เช่นนั้นพวกเราเองก็ควรรีบไปสักหน่อย หากช้าเกินไป สัตว์อสูรดีๆ อาจถูกผู้อื่นซื้อไปเสียก่อน!” หลิ่วเทียนฉีอธิบายให้คนข้างกายอย่างใส่ใจ
อันที่จริงที่เขารีบร้อน ไม่ใช่เพราะกลัวสัตว์อสูรดีๆ จะถูกซื้อ แต่กลัวแย่งจิ้งจอกเทพลายทองของนางเอกไม่ทันต่างหาก
ในนิยายต้นฉบับเขียนไว้ชัดเจน ระหว่างทางไปนครเซิ่งตู นางเอกผ่านหมู่บ้านเฟิงเยี่ยถึงพบจิ้งจอกเทพลายทองตัวนั้นเข้า ต่อมาจิ้งจอกตัวนั้นได้กลายเป็อสูรเลี้ยงของนาง พร้อมจัดการกำราบสี่ทิศให้
ที่หลิ่วเทียนฉีต้องตื่นเช้า อาหารเช้าก็ไม่กินแล้วลากเฉียวรุ่ยออกมาเช่นนี้ ก็เพื่อชิงนำไปก่อนก้าวหนึ่ง หาจิ้งจอกเทพลายทองตัวนั้นให้พบ เพราะก่อนหน้านี้ นางเอกเสียหญ้าบรรณมาศกับน้ำพุบรรณมาศไป พลังจึงไปไม่ถึงระดับสร้างรากฐาน่กลาง หากครั้งนี้นางเสียจิ้งจอกเทพลายทองไปอีก ก็เท่ากับเสียแขนไปอีกข้างหนึ่ง แม้ภายหน้าแม้เติบใหญ่ขึ้น แต่ไม่มีจิ้งจอกเทพลายทองปกป้อง เส้นทางของนางก็คงไม่ราบรื่นนัก
นอกจากนี้ ตอนนี้บิดาแค้นท่านลุงใหญ่ลึกล้ำยิ่ง พาลไม่รักนางเอกเฉกเช่นก่อนหน้านี้ พอไม่มีความช่วยเหลือของบิดา หากนางอยากผงาดขึ้นมาในศาสตร์ยันต์ เกรงว่าคงลำบากหนักหนา!
หลิ่วเทียนฉีอยากรู้นัก นางเอกที่เสียจิ้งจอกเทพลายทองไป แล้วยังไม่ใช่อัจฉริยะทางยันต์ สุดท้ายยังจะเข้าไปอยู่ในสายตาผู้ชายสวะพรรค์นั้นอย่างพระเอกอีกหรือไม่!
“เทียนฉีจะซื้อสัตว์อสูรหรือ?” เฉียวรุ่ยกะพริบตาปริบๆ ชำเลืองมองเขาอย่างใคร่รู้
“ข้ามีแมลงผายลมแล้ว ไม่ขาดอสูรเลี้ยงหรอก แต่ข้าอยากซื้อให้เ้าสักตัว ถือเป็ของแทนใจที่ข้าให้เ้า!” หลิ่วเทียนฉีมองคนรักข้างกายอย่างอบอุ่น ยิ้มพลางเอ่ยบอก
นางเอกอาศัยจิ้งจอกเทพลายทองกำราบสี่ทิศ ครานี้หากถูกเขาหาพบ เขาจะมอบมันให้เสี่ยวรุ่ย เสี่ยวรุ่ยเป็ผู้ฝึกยุทธ์ หากมีจิ้งจอกเทพลายทอง อสูรเลี้ยงที่ร้ายกาจเช่นนั้น ภายหน้าต้องร้ายกาจยิ่งขึ้นเป็แน่ เขาอยากรู้นัก จะมีใครมาทำร้ายเสี่ยวรุ่ยของเขาได้ และสุดท้าย ใครกันที่จะเป็ตัวเบี้ย
เฉียวรุ่ยได้ยินของแทนใจสามคำนี้ ใบหน้าพลันแดงก่ำ “พูดเหลวไหลอะไรเล่า?”
“รีบไปเถอะ! ไม่เช่นนั้น ของแทนใจของเ้าจะถูกผู้อื่นแย่งไปนะ!” หลิ่วเทียนฉีจูงมือเฉียวรุ่ยวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทาง มุ่งหน้าไปตลาดสัตว์อสูรทางทิศใต้ของเมือง
“เ้า เ้านี่ชอบพูดจาเหลวไหลเสียจริง!” แม้ปากบ่น แต่เห็นชัดว่าเท้าเฉียวรุ่ยวิ่งเร็วยิ่งกว่าตนเสียอีก
หลิ่วเทียนฉีมองคนรักที่ก่อนหน้านี้ถูกตนพาวิ่งมาตลอด พอได้ยินคำว่าของแทนใจ ฉับพลันเปลี่ยนเป็พาตนวิ่งก็ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจพลางคิด ‘เสี่ยวรุ่ยนี่ ช่างปากอย่างใจอย่างจริงหนอ!’
สองคนวิ่งเหยาะๆ เฮือกเดียวมาถึงตลาดสัตว์อสูรทางทิศใต้ของเมือง
ทั้งสองหยุดยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ หอบหายใจด้วยกัน พอได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่ายชัดเจนก็พร้อมใจกันมองหน้า เห็นสภาพอเนจอนาถของกันและกันพาลให้หัวเราะออกมา
“ทางไกลเช่นนี้ ทำไมเ้าไม่เอาอสูรอาชาออกมาขี่เล่า?” เฉียวรุ่ยมองหลิ่วเทียนฉี อดบ่นไม่ได้
“โอ๊ะ ข้าลืมไปเลย เมืองฝูเฉิงมีกฎไม่อนุญาตให้ขี่สัตว์พาหนะในเมือง แต่หมู่บ้านเฟิงเยี่ยไม่มีนี่!” หลิ่วเทียนฉีตบหน้าผาก นึกเสียใจอย่างยิ่ง
“คนโง่!” เฉียวรุ่ยถลึงตาทีหนึ่ง เดินนำเข้าตลาดสัตว์อสูรไปก่อน
“เป็อย่างไร ที่นี่ไม่เลวใช่ไหม?” หลิ่วเทียนฉีเดินตามเฉียวรุ่ยเข้ามา
เหมือนที่ลูกจ้างบอกจริงๆ ตลาดสัตว์อสูรด้านนี้ใหญ่เท่าสนามฟุตบอล สองข้างทางมีกรงสัตว์อสูรที่ใส่สัตว์อสูรวางเรียงรายเป็ระเบียบอยู่เต็มพื้นที่ ในกรงมีอสูรแมว อสูรสุนัข อสูรจิ้งจอกและอสูรกระต่าย รวมถึงสัตว์อสูรนานาชนิดที่ควรมีล้วนมีทั้งสิ้น
“เ้า เ้าอยากซื้อสัตว์อสูรแบบไหนให้ข้าล่ะ?” เฉียวรุ่ยหน้าแดง หันมาถามคนข้างกาย
“ข้าอยากซื้อสัตว์อสูรที่ปราณทิพย์เข้มข้นตัวหนึ่งให้เ้า เ้าลองเลือกดู ดูว่าชอบตัวไหน?”
ฮือๆ ในนิยายต้นฉบับพูดถึงจิ้งจอกเทพลายทองไว้ไม่มากนัก บอกเพียงเป็ร่างขนสีแดง หน้าตาเหมือนจิ้งจอกแดงธรรมดา แต่หว่างคิ้วประทับลายสีทองไว้ ทว่า ตลาดสัตว์อสูรนี่ใหญ่เช่นนี้ แค่ร้านขายจิ้งจอกอย่างเดียวก็มีหลายสิบร้านแล้ว เขาจะหาเจอแล้วรู้ว่าตัวไหนคือจิ้งจอกเทพลายทองได้ไงเล่า?
แต่ว่านะ สำหรับเขาเื่นี้มันลำบากก็จริง แต่สำหรับเฉียวรุ่ยคงง่ายดายเป็แน่ เพราะตาทิพย์หยั่งรู้ มองสมบัติใต้หล้าออก จิ้งจอกทองตัวนี้ไม่ใช่สัตว์อสูรแต่เป็สัตว์เทพ หากถูกเฉียวรุ่ยเห็นเข้าต้องรู้ในปราดเดียวแน่
“ได้!” ได้ยินว่าให้ตนเลือก เฉียวรุ่ยก็เริ่มเดินเตร่ในตลาด
“เสี่ยวรุ่ย ข้าได้ยินลูกจ้างบอกว่ามีคนเคยซื้อได้สัตว์เทพในตลาดแห่งนี้ เ้าต้องเลือกให้ถี่ถ้วนนะ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจโชคดีพบสัตว์เทพสักตัวเข้าก็เป็ได้?” คำพูดนี้ เขาใช้พลังิญญาส่งกระแสจิตบอก
เฉียวรุ่ยได้ยินก็กะพริบตาปริบๆ ส่งกระแสจิตบอกตอบ ‘วางใจเถอะ ข้ามีตาทิพย์ หากที่นี่มีสัตว์เทพจริงล่ะก็ ข้าต้องไม่พลาดอยู่แล้ว’
ได้ยินเช่นนั้น หลิ่วเทียนฉีจึงยิ้มให้อีกฝ่าย “ตั้งใจเลือกล่ะ”
“อืม ข้าจะตั้งใจ!”
สองคนจูงมือกันวนรอบตลาดสัตว์อสูรรอบหนึ่ง ท้ายที่สุดสายตาของเฉียวรุ่ยก็จับจ้องอยู่ที่ร้านหนึ่ง
“เถ้าแก่ จิ้งจอกตัวนี้ขายอย่างไรหรือ?” เฉียวรุ่ยก้าวเข้าไปหยิบกรงอันหนึ่งขึ้นมา มองจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งที่ป่วยซึมเซา ดูแล้วใกล้ตายอยู่ในกรง
หลิ่วเทียนฉีก้มหน้ามองกรงในมือนั้น มองหว่างคิ้วของจิ้งจอกอย่างพินิจ เห็นลายสีทองเส้นหนึ่งประทับอยู่กลางหว่างคิ้วของจิ้งจอกจริง ตัวนี้ไม่ผิดแน่ จิ้งจอกแดงธรรมดาหว่างคิ้วไม่มีลายสีทองเส้นนี้ หลิ่วเทียนฉีลอบพยักหน้า เขามั่นใจตัวตนของจิ้งจอกตัวนี้แล้ว
“อ้อ ตัวนั้นหรือ นั่นเป็จิ้งจอกแดงขั้นสอง สองร้อยศิลาทิพย์!”
“สองร้อยศิลาทิพย์ เ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า? จิ้งจอกตัวนี้ป่วยซึมเซาใกล้จะตาย มีค่าสองร้อยศิลาทิพย์ที่ไหนเล่า? ข้าว่าอย่างมากสุดก็มีค่าหนึ่งร้อยศิลาทิพย์!” เฉียวรุ่ยเริ่มโวยวาย หั่นราคากับผู้อื่น
“นี่สองร้อยศิลาทิพย์!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางส่งศิลาทิพย์ให้เถ้าแก่อย่างอารมณ์ดี
“เทียนฉี?” เฉียวรุ่ยเห็นเขาจ่ายเงินเร็วเช่นนี้ก็สีหน้าสลด ต่อราคาได้ชัดๆ ทำไมเทียนฉีถึงโง่เช่นนี้เล่า ผู้อื่นจะเอาเท่าไรก็ให้เท่านั้นเลยหรือ?
“พันตำลึงทองยากซื้อความสุข ข้าบอกแล้วไง นี่เป็ของแทนใจที่ข้าให้เ้า ไยต้องทะเลาะต่อราคาด้วยเล่า?” เขาไม่อยากพลาดโอกาสดีให้นางเอกซื้อจิ้งจอกตัวนี้ไปได้
เมื่อได้ยิน เฉียวรุ่ยก็หน้าแดง
“ฮ่าๆๆ สหายผู้ฝึกตนท่านนี้ช่างทุ่มเทให้ความรักเสียจริงนะ เพื่อคู่ครองถึงกับจ่ายทีพันตำลึงทองเชียว!” เถ้าแก่รับศิลาทิพย์ของหลิ่วเทียนฉีมา รีบยิ้มพลางประจบประแจง
ในใจคิด ‘ก็ไม่รู้ว่าเป็นายน้อยตระกูลใหญ่ของที่ไหน เพื่อเอาใจบุรุษสองเพศคนหนึ่งถึงกับซื้อกระทั่งจิ้งจอกป่วยซึมเซาให้ โง่เง่าจริงหนอ!’
“ทำพันธสัญญาเถอะ! กรงผู้อื่นข้าขอไม่ขายนะ!” หลิ่วเทียนฉีหัวเราะเล็กน้อย ได้ยินอย่างนั้นก็เอ่ยเร่งให้เฉียวรุ่ยทำพันธสัญญา
‘ให้ข้าทำพันธสัญญาจริงหรือ? เ้าทำเองไม่ดีกว่าหรือ?’ เทียนฉี ตัวนี้เป็สัตว์เทพ สัตว์เทพเชียวนะ!
‘แน่นอน ต้องเป็เ้าสิ ข้าบอกแล้วว่าเป็ของแทนใจที่ข้ามอบให้!’ สัตว์เทพดีที่สุด เช่นนี้ถึงคู่ควรเป็ของแทนใจไงล่ะ!
ได้ยินเสียงกระแสจิต เฉียวรุ่ยพลันหน้าแดง เขากรีดนิ้วทำพันธสัญญากับสัตว์เทพป่วยซึมเซาตัวนั้นทันที
“ยินดีกับสหายผู้ฝึกตนท่านนี้ที่ทำพันธสัญญาสำเร็จ จิ้งจอกน้อยตัวนี้เป็อสูรเลี้ยงของท่านแล้ว!” เถ้าแก่ว่าแล้วเปิดกรง อุ้มจิ้งจอกออกมาส่งให้ เก็บกรงไปอย่างระมัดระวัง
กรงเช่นนี้ล้วนเป็กรงที่ผู้ควบคุมสัตว์อสูรลงวิชาควบคุมสัตว์อสูรไว้ แต่ละกรงมีค่าครองเมือง แพงยิ่งนัก หากไม่ใช่กรงเหล่านี้ สัตว์อสูรขั้นหนึ่ง ขั้นสอง ขั้นสาม ใยจะว่าง่ายเช่นนั้น ยอมให้พวกเขาพ่อค้าขังไว้ในกรงกันเล่า?
“ขอบใจ!” เฉียวรุ่ยยื่นมือไปรับจิ้งจอกน้อยอย่างดีใจ