ท่ามกลางพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าและเศษหิน ความเร็วของม้าเหงื่อโลหิตที่วิ่งมาทั้งวันและอีกครึ่งคืนก็ยังไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย มันควบฝีเท้าด้วยความเร็วทะยานผ่านก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่า ข้ามผ่านูเาลูกแล้วลูกเล่าทั้งสูงทั้งต่ำแล้วทิ้งพวกมันไว้เื้ั
เมื่อเปิดดูแผนที่ที่เ้าเมืองเทียนเฉินให้มาเย่เทียนเซี่ยก็ล็อกตำแหน่งของตัวเองได้ในทันที ห่างออกไปด้านหน้าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็น่าจะเป็เมืองเล็กๆที่มีชื่อว่ากู่ผิง ทางใต้ของที่นั่นก็คือเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของเขา...... รังของฟีนิกซ์สีเื
ตามตำนานของหัวเซี่ยฟีนิกซ์เป็สัตว์เทพที่มีความสูงส่งเทียบเท่ากับั ไม่ว่าจะในโลกไหนๆการคงอยู่ของมันก็จะอยู่ในจุดสุดยอดและสูงส่งด้วยกันทั้งสิ้น ในฐานนะบอสมอนสเตอร์ มันก็ยังคงเป็บอสที่อยู่ในจุดสูงสุดตลอดกาล ทว่ามันกลับปรากฏตัวขึ้นมาบนเส้นทางใน World of Fate ของเย่เทียนเซี่ย ซึ่งแม้แต่เขาเองบางทีก็ยังรู้สึกได้ถึงความอึดอัดบางอย่าง
“อุวะฮ่าๆๆ ลมแบบนี้ช่างเป็ลมที่อบอุ่นจริงๆเลยนะเ้าคะ” กั่วกัวนั่งงอขาเล็กๆสองข้างอยู่บนหัวของเ้าม้าเหงื่อโลหิต ผมยาวสยายของเธอเมื่อถูกสายลมพัดไปมามันก็โบกพลิ้วเหมือนกำลังเต้นรำ มือของเธอยังคงถืออมยิ้มที่เธอแทบจะห่างมันไม่ได้เลยเอาไว้แล้วเลียแผลบๆไปด้วย จนกระทั่งถึงตอนนี้เย่เทียนเซี่ยก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าอาการติดอมยิ้มเช่นนี้ของกั่วกัวจริงๆแล้วเป็เพราะเธอชอบกินมันจริงๆหรือเธอคิดว่าอมยิ้มสามารถเติมเต็มความภาคภูมิใจแปลกๆของเธอในฐานะที่เป็สาวน้อยได้กันแน่
บางทีอาจจะเป็อย่างหลังมากกว่า...... เพราะภายใต้อิทธิพลของซูเฟยเฟยดูเหมือนว่ายัยตัวเล็กที่ไม่เคยกินเนื้อมาก่อนในชีวิตทุกครั้งพอเห็นเนื้อก็จะร้องโวยวายเสียงดังแล้วะโเข้าใส่ทันทีและจะกินมันจนกว่าจะอิ่ม....... แต่เขาไม่ยักจะเคยเห็นเธอถือชิ้นเนื้อมาดมหรือเลียทุกวันแบบนี้เลย
พื้นดินแห่งนี้เงียบเหงาอ้างว้าง ูเาลูกเล็กลูกใหญ่เรียงรายสลับซับซ้อนและเมื่อต้องทะยานข้ามผ่านไปก็ยากยิ่งกว่าตอนเดินทางออกมาจากเมืองเทียนเฉินซะอีก อีกทั้งที่แห่งนี้ยังเป็สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับมอนสเตอร์มากมายหลากหลายชนิดด้วย ดังนั้นตลอดการเดินทางเย่เทียนเซี่ยจึงไม่เคยลดการเฝ้าระวังเลยตลอดทาง และยังคอยตรวจดูรอบๆตัวตลอดเวลาด้วย...... เลเวล 14 เลเวลระดับนี้ถ้าเทียบกันในหมู่ผู้เล่นนั้นถือว่าอยู่ในจุดที่สูงมาก แต่ในทวีปที่สาบสูญความสามารถเช่นนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้หากอยู่ดีๆมีมอนสเตอร์โผล่มาสักตัวก็เพียงพอที่จะปลิดชีพเขาได้แล้ว
เมื่อกินอมยิ้มแท่งนั้นหมดกั่วกัวก็แลบลิ้นเล็กๆสีชมพูดนั้นออกมาเลียไปทั่วริมฝีปากของตัวเอง หลังจากความหวานสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนแท่งจับอมยิ้มถูกดูดเข้าไปในปากน้อยๆนั่นจนหมดมือเล็กๆของเธอก็โยนแท่งอมยิ้มว่างเปล่าทิ้งไป จากนั้นก็ยื่นแขนออกมาบินี้เีไปมา ร่างกายของเธอพลิกไปมาขยับหาท่าทางที่สบายที่สุดก่อนจะนอนลงบนหัวของเ้าม้าเหงื่อโลหิต “นายท่าน กั่วกัวนอนก่อนนะเ้าคะ คอยระวังข้าด้วยนะเ้าคะ อย่าให้ข้าตกลงไปจากตรงนี้นะเ้าคะ ถ้ากั่วกัวเจ็บตัวล่ะก็นายท่านจะต้องเสียใจ”
เย่เทียนเซี่ย.......พยักหน้า ยัยเด็กนี่ร้องขอทั้งเื่ที่พอดีและเกินพอดีกับเขาไม่หยุดหย่อน และเขาก็ชินกันมันเสียแล้ว
หลังจากนั้นสองชั่วโมง ณ เมืองกู่ผิง
ที่มาของชื่อเมืองกู่ผิงมาจากวีรบุรุษคนหนึ่งที่มีชื่อว่ากู่ผิงเมื่อร้อยปีก่อน ตอนนั้นทางใต้ของเมืองเล็กๆแห่งนี้ยังมีสถานที่ที่น่ากลัวอยู่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าถ้ำหัวกะโหลก ณ ที่แห่งนั้นไอความมืดจำนวนมากได้ก่อเกิดเป็มอนสเตอร์ิญญาแห่งความตายที่น่าสะพรึงกลัวมากมายและยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามกาลเวลา มอนสเตอร์ิญญาที่ถือกำเนิดขึ้นมาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นทุกวันๆ จนท้ายที่สุดก็มีาาิญญาอันแข็งแกร่งถือกำเนิดขึ้นมา
เดิมทีมอนสเตอร์ิญญาธรรมดาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เพียงในความมืดเท่านั้นและไม่สามารถถูกแสงอาทิตย์ได้ แต่าาิญญาอันแข็งแกร่งกลับมีความสามารถในการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ ในที่สุดเมื่อร้อยปีก่อนาาิญญาก็ก้าวออกมาจากถ้ำหัวกะโหลก มันพรากลมหายใจของสิ่งมีชีวิตมาเรื่อยๆจนมาถึงบริเวณใกล้ๆเมืองเล็กๆแห่งนี้..... และแล้วเมืองเล็กๆแห่งนี้ก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่และในเวลานั้นก็ได้ปรากฏผู้กล้าคนหนึ่งนามว่ากู่ผิงขึ้นมา เขาใช้ดาบและโล่ของเขาต้านทานการโจมตีของาาิญญา จนในที่สุดก็สามารถสังหาราาิญญาลงได้...... แต่สิ่งที่ต้องแลกไปกับการสังหาราาิญญาก็คือชีวิตของเขาเอง
าาิญญา...... มอนสเตอร์อสูร์เลเวล 100
ทั่วทั้งทวีปที่สาบสูญได้จดจำชื่อของนักรบผู้มีนามว่ากู่ผิงผู้นั้นไว้ในฐานะวีรบุรุษที่แท้จริง........ เขาคือผู้นำสูงสุดของผู้พิทักษ์แห่งเมืองที่สาบสูญ ผู้ซึ่งได้รับทั้งเหรียญผู้กล้าและเหรียญวีรบุรุษ
ในตอนนั้นเองทวีปที่สาบสูญก็ได้รู้จักเมืองกู่ผิงซึ่งเป็ชื่อใหม่ของเมืองเล็กๆที่แต่เดิมไม่มีใครรู้จักแห่งนี้ และเมืองกู่ผิงก็กลายเป็เมืองที่เคารพและบูชาวีรบุรุษแห่งหนึ่งั้แ่นั้นเป็ต้นมา
เมืองกู่ผิงไม่ได้เจริญรุ่งเื่อะไรนัก เมื่อก้าวเข้ามาภายในเมืองเขาก็จะรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่แผ่กระจายออกมา เย่เทียนเซี่ยที่กำลังขี่ม้าเหงื่อโลหิตอยู่ได้กลายเป็จุดรวมสายตาของผู้คนมากมาย เมืองกู่ผิงมีขนาดเล็กมาก มีประชากรอยู่ไม่น่าจะถึงหนึ่งพันคน และเมื่อรวมเข้ากับการหลบลี้จากโลกภายนอกมาเป็เวลานานผู้คนในเมืองจึงรู้จักกันและกันเป็ส่วนใหญ่ เมื่อมีบุคคลภายนอกปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันจึงดึงดูดความสนใจชองชาวเมืองไปได้อย่างชัดเจน
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าเ้าเมืองของพวกคุณอยู่ที่ไหนเหรอครับ?” เย่เทียนเซี่ยหยุดม้าอยู่ข้าๆชายชราท่าทางเงียบขรึมที่ดูแล้วน่าจะมีอายุอยู่ประมาณ 50-60 ปีก่อนจะถามออกไปอย่างสุภาพ
ชายชราเงยหน้ามองเขา บนใบหน้าของชายชราปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “สวัสดี นักผจญภัยจากแดนไกล ยินดีต้อนรับสู่เมืองกู่ผิง ข้านี่แหละคือเ้าเมืองของที่นี่”
เย่เทียนเซี่ยอึ้งไปสักพักถึงเพิ่งสังเกตเห็นชื่อบนหัวของชายชราตรงหน้า....... เ้าเมืองกู่ผิง
โชคดีอะไรขนาดนี้....... พูดอีกอย่างคือค่าโชค 12 หน่วยนี่มันไม่เสียเปล่าจริงๆ
เย่เทียนเซี่ยะโลงมาจากม้าเหงื่อโลหิต ขณะเดียวกันก็ค่อยๆประคองกั่วกัวที่กำลังหลับสบายเอาไว้ในอุ้งมือ หลังจากนั้นจึงเรียกเก็บม้าเหงื่อโลหิตไป และแม้ว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวค่อนข้างมากแต่กั่วกัวกลับไม่ได้ตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย จมูกเล็กๆนั่นยังคงหายใจเข้าออกเบาๆท่ามกลางฝันหวาน
“สวัสดีครับท่านเ้าเมือง ผมมาจากเมืองเทียนเฉินครับ ผมได้รับการมอบหมายจากท่านเ้าเมืองเทียนเฉินให้มาสืบเื่ราวบางอย่างจากเมืองของท่านครับ” เย่เทียนเซี่ยพูดออกไป ขณะนั้นเขาก็ยังคงหาสถานที่เหมาะๆสำหรับกั่วกัวไม่ได้จึงได้แต่ประคอมเธอไว้ในอุ้งมือต่อไป
“เมืองเทียนเฉิน ช่างเป็สถานที่ที่ชอบออกคำสั่งให้คนเดินทางไปไหนมาไหนจริงๆ” ดวงตาของเ้าเมืองเปล่งประกายวาววับ เขาถอนหายใจแล้วพูดออกมา “ผู้กล้าจากเมืองเทียนเฉิน มีอะไรที่พวกเราจะสามารถช่วยเ้าได้บ้าง เชิญเ้าพูดมาเถอะ”
เย่เทียนเซี่ยพยักหน้าก่อนจะพูดออกไป “ทางใต้ไม่ไกลจากเมืองแห่งนี้มากนักมีรังของฟีนิกซ์สีเือยู่แห่งหนึ่ง ท่านเ้าเมืองพอจะทราบไหมครับ?”
“รู้สิ....... ข้าต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว” น้ำเสียงของเ้าเมืองกู้ผิงดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “มันเป็ฟีนิกซ์ที่ทั้งงดงามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน มันมีสีแดงเืไปทั้งตัว สามปีก่อนมันบินมาจากทางใต้อย่างกะทันหันและได้ปลดปล่อยเปลวไฟสีเืเผาผลาญทางใต้ของเมืองไปด้วย หลังจากนั้นภายในระยะเวลาสามปีมันก็บินผ่านเมืองของเราครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่ามันจะไม่เคยโจมตีใส่เมืองของเราอีกเลย แต่ทุกครั้งที่บินผ่านไปพวกเราก็ยังหวาดกลัวอยู่ลึกๆ เพราะหากวันใดมันปลดปล่อยเปลวไฟสีเืออกมาอีกครั้ง เมืองที่เป็อนุสรแห่งวีรบุรุษของพวกเราก็คงจะได้กลายเป็เพียงเถ้าถ่าน ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือนกลุ่มนักรบผู้กล้าที่มาจากเมืองเทียนเฉินกลุ่มหนึ่งก็ได้เดินทางไปยังรังของฟีนิกซ์สีเืตัวนั้น.......แต่...... เฮ้อ!”
หัวใจของเย่เทียนเซี่ยกระตุก เขาขมวดคิ้วแล้วถามออกไป “พวกเขาทำไมเหรอครับ? พวกเขาไม่ได้กลับไปเป็เวลานานมากแล้ว เ้าเมืองเทียนเฉินจึงมอบหมายให้ผมมาตามหาร่องรอยของพวกเขา”
