“ดูท่าเ้าคงจะลอบคบหากับบุรุษอื่นลับหลังเปิ่นหวางจริงๆ ” ยามที่เอ่ยวาจานี้ มือที่จับขาเยว่เฟิงเกอไว้ก็ยิ่งออกแรงเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
นางรู้สึกเจ็บแปลบที่ขา จึงไม่มีเวลามาสนใจอะไรแล้ว นางออกแรงตีมือของม่อหลิงหาน
“รีบปล่อยมือได้แล้ว ขาข้าจะถูกท่านบีบจนแหลกละเอียดแล้ว”
ม่อหลิงหานไม่ได้ปล่อยเยว่เฟิงเกอ เขาเห็นว่าบนเตียงไม่มีใครก็หันมองไปรอบๆ “หากเป็ชายก็ออกมา อย่าเอาแต่หลบซ่อน ในเมื่อเ้ากล้ามาถึงจวนของเปิ่นหวางก็อย่าเอาแต่เป็เต่าหดหัว”
เยว่เฟิงเกอตีมือม่อหลิงหานอย่างแรงอีกครั้ง กล่าวด้วยความโมโห “ม่อหลิงหาน ท่านเป็บ้าอะไรอีกแล้ว ในเรือนนี้มีข้าแค่คนเดียว ไม่มีผู้อื่น”
“หึ ไม่มีชายอื่น เ้าคิดว่าเ้าพูดประโยคนี้ออกมาแล้วเปิ่นหวางจะเชื่อหรือ” ม่อหลิงหานแค่นเสียงเ็า สลัดขาของเยว่เฟิงเกอออกโดยแรง
ในเมื่อไม่มีบุรุษอยู่บนเตียง เช่นนั้นก็เป็ไปได้มากว่าจะแอบอยู่ในหีบ
ม่อหลิงหานโยนผ้าห่มทิ้งไป เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหีบทั้งหลาย ก่อนจะเริ่มเปิดค้นทีละใบ
ในที่สุดเยว่เฟิงเกอก็เป็อิสระแล้ว นางรีบนำผ้าห่มกลับมาพันตัวเองไว้ราวกับเป็ขนมบ๊ะจ่าง
เยว่เฟิงเกอมองม่อหลิงหานค้นหีบใบแล้วใบเล่าด้วยสายตาเ็า ในหีบเ่าั้นอกจากอาภรณ์แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก
ม่อหลิงหานเดินไปที่ม่าน เขาเลิกม่านออกดูก็พบว่าด้านหลังนั้นไม่มีอะไรเช่นกัน
เขาหาไปทั่วทั้งห้องก็ไม่เห็นเงาของชายใดทั้งสิ้น
ม่อหลิงหานคิดในใจ แปลกยิ่งนัก เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงบุรุษดังออกมาจากในห้องนี้จริงๆ เหตุใดผ่านไปเพียงครู่เดียว อีกฝ่ายก็หายไปแล้วเล่า
หรือว่าชายคนนั้นจะเป็วิชาดำดิน
เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ม่อหลิงหานก็รีบปฏิเสธทันที
โครงสร้างของจวนแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยวิธีพิเศษ นอกจากทางลับทั้งสามในหอแปดทิศแล้ว เรือนเหล่านี้ยังถูกสร้างขึ้นด้วยเพชร อย่าว่าแต่คนผู้นั้นมีวิชาดำดินเลย ต่อให้มีสิบหัว ก็ไม่มีทางมุดเข้ามาได้
แต่ในเมื่อชายคนนั้นไม่อาจหนีไปภายใต้จมูกเขาเช่นนี้ได้ เช่นนั้นเหตุใดอีกฝ่ายถึงหายไปแล้วเล่า?
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าม่อหลิงหานเพียรพยายามจะตามหาผู้ชายอีกคนให้เจอให้ได้ นางก็รู้สึกสับสนว่าชายตรงหน้าผู้นี้ใช่อ๋องแห่งาที่ทำผลงานยิ่งใหญ่ สามารถสังหารคนได้ไม่กะพริบตา และดูดเืเป็อาจินต์คนนั้นจริงๆ น่ะหรือ
หากเขาคิดว่าในเรือนแห่งนี้มีชายอยู่จริงๆ ไม่ใช่ว่าควรจะสังหารนางทิ้งก่อนหรือ ส่วนชายคนนั้น หากหาตัวเจอแล้วค่อยสังหารทิ้ง เพื่อตัดรากถอนโคน?
แต่ม่อหลิงหานไม่มีทีท่าจะทำอะไรนาง และไม่มีทีท่าว่าจะสังหารทิ้งด้วย
เยว่เฟิงเกอยังคงไม่เชื่อว่า เป็เพราะม่อหลิงหานรักนาง ถึงได้สนใจว่าที่แห่งนี้มีชายอื่นอยู่ด้วยหรือไม่
เหตุที่เขาสนใจเพียงนี้ต้องเป็เพราะความคิดชายเป็ใหญ่ของเขา
ตอนที่เยว่เฟิงเกอกำลังคิดอยู่กับตัวเองอยู่นั้นก็เห็นม่อหลิงหานมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งยังมองนางนิ่ง
“พระชายาจะช่วยอธิบายให้ฟังได้หรือไม่ว่า เื่ของชายคนนั้นมันอย่างไรกันแน่? ”
เยว่เฟิงเกอคิดว่าหากคืนนี้นางไม่เล่าออกไปให้ชัดเจน เกรงว่าคงจะไม่ต้องนอนกันแล้ว
นางทำได้แค่หยิบโทรศัพท์ที่อยู่ใต้หมอนออกมาโยนใส่ม่อหลิงหาน
“ชายคนนั้นอยู่ในนี้” เยว่เฟิงเกอกลอกตาใส่ม่อหลิงหานด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ
ม่อหลิงหานมองโทรศัพท์มือถือในมือ ไม่อาจจินตนาการต่อได้ว่าเ้าสิ่งของสี่เหลี่ยมยาวๆ นี้จะสามารถซุกซ่อนชายคนหนึ่งไว้ได้
เขารู้สึกเหมือนตนกำลังถูกเยว่เฟิงเกอปั่นหัว โยนโทรศัพท์ลงบนเตียง กล่าวขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “เ้าคิดว่าการหลอกลวงเปิ่นหวางเป็สิ่งที่ทำให้เ้ามีความสุขมากใช่หรือไม่? หากเ้าไม่มอบตัวชายคนนั้นมา เปิ่นหวางมีวิธีทำให้เ้าต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต”
เยว่เฟิงเกอรู้จักฝีมือม่อหลิงหานดี นางเชื่อว่าเขาทำเื่เช่นนั้นได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น เพื่อเป็การป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นางรีบเปิดวีแชทในโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด เปิดข้อความเสียงของอย่าถามว่าข้าคือใครให้ม่อหลิงหานฟัง
โทรศัพท์มีเสียงของอย่าถามว่าข้าคือใครดังขึ้นอย่างรวดเร็ว “พระชายาคนสวย วันนี้พบเจอเื่อะไรเข้าหรือ ท่านถึงได้อารมณ์ไม่ดีเพียงนี้ ไหนลองเล่าให้พี่อารมณ์ดีหน่อยสิ...”
จากนั้นก็เป็บทสนทนาระหว่างเยว่เฟิงเกอและอย่าถามว่าข้าคือใคร ซึ่งเป็บทสนทนาเดียวกันกับที่ม่อหลิงหานได้ฟังมาแล้วั้แ่ตอนอยู่นอกห้อง
ม่อหลิงหานสีหน้าตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าเ้าทรงเหลี่ยมๆ ยาวๆ อันนี้จะสามารถเปล่งเสียงบุรุษออกมาได้
นี่มันเื่อะไรกัน เ้าสิ่งที่เยว่เฟิงเกอเรียกว่าโทรศัพท์นี้ที่แท้เป็สมบัติล้ำค่าอะไรกัน?
อีกอย่างคือ ทั้งๆ ที่เสียงของชายคนนั้นดังชัดเจน แต่เหตุใดถึงไม่เห็นตัวอีกฝ่าย?
หรือว่าชายคนนั้นจะมุดเข้าไปในโทรศัพท์? เขาทำได้อย่างไร?
ม่อหลิงหานที่เคยเชื่อเื่ลึกลับใดๆ ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไร
รอจนเยว่เฟิงเกอเปิดเสียงบทสนทนาในโทรศัพท์จนครบหมดแล้ว นางถึงได้มองม่อหลิงหานด้วยสายตาเ็า “เป็อย่างไร ตอนนี้ท่านยังสงสัยว่าที่นี่มีบุรุษอยู่อีกหรือไม่? ”
“นี่มันเื่อะไรกัน เหตุใดถึงได้มีเสียงบุรุษออกมา เขามีวิชามุดเข้าไปหรือไร? ” ม่อหลิงหานไม่เข้าใจจริงๆ เขาอยากจะรอฟังว่าเยว่เฟิงเกอจะอธิบายอย่างไรต่อไป
ตอนนี้เยว่เฟิงเกออยากจะพูดกับม่อหลิงหานจริงๆ ว่า “คนโบราณอย่างพวกเ้านี่นะ ผมยาวโลกทัศน์สั้น”
ทว่า นางไม่คิดจะพูดความจริงด้วยไม่อยากให้ม่อหลิงหานรู้มากจนเกินไปจึงกุเื่ขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าสิ่งนี้คือสมบัติล้ำค่า ในเมื่อเป็สมบัติล้ำค่า ย่อมต้องมีความสามารถพิเศษชนิดที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่”
“ส่วนเมื่อครู่ ข้าเพียงใช้สมบัติล้ำค่านี้ในการสนทนากับตัวเองก็เท่านั้น ท่านเอาแต่โมโหใส่ข้า ทั้งยังตัดสินข้าไปต่างๆ นานา บอกว่าข้าสวมหมวกเขียวให้ท่าน ข้าเองก็โกรธมากเหมือนกันนะ รู้หรือไม่? ”
“หากว่าข้าโกรธ จะอย่างไรก็ต้องมีคนคอยรับฟังข้า แค่ช่วยคลายทุกข์ให้ข้าคงมิใช่เื่ผิดกระมัง ข้าจึงได้สนทนากับสมบัติล้ำค่านี้ จากนั้นสมบัติล้ำค่านี้ก็เพียงกล่าวคำปลอบใจข้า นี่คือคุณสมบัติพิเศษที่สมบัติล้ำค่านี้มีอย่างไรเล่า”
เยว่เฟิงเกอไม่สนว่าม่อหลิงหานจะเข้าใจในสิ่งที่นางพูดหรือไม่ นางแสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความจริงใจ เพียงแต่คำพูดของนางกลับทำให้ม่อหลิงหานยิ่งสับสน
เป็นานเขาถึงเพิ่งเข้าใจความหมายของนาง กล่าวด้วยสีหน้าเ็า “เ้าสมบัติล้ำค่านี่มีแต่เสียงบุรุษหรือไร กล่าวด้วยเสียงสตรีไม่ได้หรือ? ”
เยว่เฟิงเกอกลอกตาไปมา กล่าวตอบ “เอาเป็ว่าตอนนี้พูดได้แค่เสียงผู้ชาย ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็เื่ของท่าน”
ตอนนี้ม่อหลิงหานนับว่าเชื่อคำพูดของเยว่เฟิงเกอแล้ว
เพราะทุกอย่างที่เขาเห็นก็เหมือนกับที่เยว่เฟิงเกอบอกทุกอย่าง ในเรือนแห่งนี้ไม่มีชายอื่น ขณะที่เสียงชายคนนั้นก็ดังออกมาจากสมบัติล้ำค่านั่น
ตอนนี้ความโกรธในใจของม่อหลิงหานนับว่าหายไปกว่าครึ่งแล้ว
แต่เมื่อนึกถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะหย่ากับเขา เขาก็โกรธขึ้นมาอีก
“จนถึงตอนนี้พระชายายังอยากจะหย่ากับเปิ่นหวางอยู่ใช่หรือไม่? ” ม่อหลิงหานโน้มตัวไปข้างหน้า เงาร่างสูงใหญ่ของเขาราวกับครอบเยว่เฟิงเกอตัวน้อยเอาไว้อย่างมิดชิด
เยว่เฟิงเกอกระชับผ้าห่มแล้วกระถดถอยหลัง การกระทำของนางยิ่งทำให้ม่อหลิงหานโกรธกว่าเดิม
เขาไม่รอช้าจับมือเยว่เฟิงเกอไว้ ดึงนางมาอยู่ตรงหน้าตน “อย่าเอาแต่รักษาระยะห่างกับเปิ่นหวาง เปิ่นหวางเกลียดความห่างเหินเช่นนี้เป็ที่สุด”
เมื่อม่อหลิงหานเอื้อมไปจับมือของเยว่เฟิงเกอได้ ในใจเขานึกอยากจะดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน แต่สติของเขากลับบอกเขาว่าจะทำเช่นนั้นไม่ได้
ระหว่างพวกเขายังโกรธกันอยู่ และเยว่เฟิงเกอยังคิดจะหย่ากับเขา นี่เป็เื่ที่เขาไม่อาจยอมรับได้
ม่อหลิงหานมองเยว่เฟิงเกอนิ่ง อยากให้นางอยู่ในสายตาตลอดไป ไม่จากไปชั่วชีวิต
เยว่เฟิงเกอเพิ่งพบว่าเป็จริงดังม่อหลิงหานพูด เขาเกลียดการรักษาระยะห่างกับนางเป็ที่สุด เพราะทุกครั้งที่นางพยายามรักษาระยะห่างกับเขา เขาจะยิ่งโกรธหนักกว่าเดิม
แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่นางจะไปสนใจเื่นั้น
เยว่เฟิงเกอสะบัดมือม่อหลิงหานออก กล่าวด้วยความโมโหว่า “ท่านอ๋องเองก็อย่าเอาแต่ฉุดกระชากลากถูข้าเช่นนี้อีกเลย ท่านคิดไปแล้วนี่ว่าข้าสวมหมวกเขียวให้ท่าน เช่นนั้นระหว่างเรารักษาระยะห่างไว้หน่อยจะดีกว่า”
“เ้าเป็พระชายาของเปิ่นหวาง และเราก็นอนด้วยกันมาสองคืนแล้ว ระหว่างเราไม่มีระยะห่างใดให้ต้องรักษาอีก” ยามที่กล่าววาจา ม่อหลิงหานก็จับมือเยว่เฟิงเกอไว้อีกครั้ง
ครั้งนี้เขาไม่ลังเลอีก ดึงเยว่เฟิงเกอเข้ามาในอ้อมแขน
แม้จะมีผ้าห่มขวางกั้นอยู่ แต่เยว่เฟิงเกอก็รับรู้ได้ว่าหัวใจของม่อหลิงหานกำลังเต้นรัวเร็ว
นางอยากจะดิ้นรนออกไปจากอ้อมแขนของม่อหลิงหาน แต่อีกฝ่ายกลับกอดไว้แน่นมาก
ทางด้านม่อหลิงหาน คล้ายว่าเขากลัวนางจะพูดเื่หย่าออกมาอีก จึงเชยคางนางขึ้นแล้วกดจุมพิตลงไป
เยว่เฟิงเกอเบิกตาโต นางคิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่ม่อหลิงหานยังมีท่าทีเหมือนจะสังหารนาง พลิกหาบุรุษไปทั่วห้องของนาง แต่ตอนนี้กลับมาจุมพิตนาง ความคิดและจิตใจของม่อหลิงหานะโไปมารวดเร็วเกินไป ทำให้เยว่เฟิงเกอทำอะไรไม่ถูก
หลังจากได้จุมพิตนางแล้ว ความอึดอัดคับข้องในใจของม่อหลิงหานก็สลายหายไปทันที
เขาแน่วแน่กับความคิดของตนอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางหย่ากับเยว่เฟิงเกอ ไม่ว่านางจะพูดจะทำอะไร เขาก็ไม่มีทางตกลง และไม่มีทางลงนามในหนังสือหย่า
เยว่เฟิงเกอผลักม่อหลิงหานออกไป กล่าวอย่างโกรธๆ ว่า “ม่อหลิงหาน ใครอนุญาตให้ท่านจุมพิตข้า ท่านไม่ได้บอกว่าข้าสวมหมวกเขียวให้ท่านหรือ เช่นนั้นท่านมาจุมพิตข้าทำอันใด? ”
เยว่เฟิงเกอพูดจบ ดวงหน้าน้อยๆ ก็หันไปอีกทาง ไม่อยากมองม่อหลิงหาน
ม่อหลิงหานเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดของนาง ก็ยื่นมือไปประคองดวงหน้านางให้หันมามองเขาตรงๆ
“เ้าเป็พระชายาของเปิ่นหวาง เหตุใดถึงต้องเอาแต่สนใจม่อเสวียนเช่อด้วย? ” ในที่สุดม่อหลิงหานก็พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา
เยว่เฟิงเกออึ้งไปเพราะคำพูดของเขา แต่ก็สามารถดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดนางก็ได้รู้เสียที คำที่ม่อหลิงหานบอกว่านางสวมหมวกเขียวให้เขานั้น ที่แท้แล้วมาจากเื่ใด
พวกนางทะเลาะกันมาครึ่งวัน ที่แท้ม่อหลิงหานก็กำลังกินน้ำส้มสายชูองค์ชายสามอยู่
คิดถึงตรงนี้ ความโกรธในใจเยว่เฟิงเกอก็หายไปกว่าครึ่ง นางถลึงตามองม่อหลิงหานอย่างเคืองๆ “ข้าว่านะท่านอ๋อง ตอนเด็กๆ ท่านคงถูกบ่มอยู่ในไหน้ำส้มสายชูใช่หรือไม่ บนตัวท่านถึงได้เหม็นกลิ่นน้ำส้มสายชูรุนแรงเช่นนี้”
เยว่เฟิงเกอพูดพลางทำไม้ทำมือพัดๆ อยู่เหนือจมูก
การกระทำและคำพูดของนางทำให้ม่อหลิงหานที่เดิมทีหายโกรธแล้ว เริ่มมีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่เป็นางแท้ๆ ที่ทำผิด สุดท้ายกลับมาบอกว่าจะหย่ากับเขา
ตอนนี้นางยังบอกว่าเขาถูกบ่มมาในไหน้ำส้มสายชูอีก เขาในฐานะอ๋องาแห่งยุค จะกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไปได้อย่างไร
ม่อหลิงหานขมวดคิ้วอีกครั้ง “เ้าพูดมาให้ชัดเจน เ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าตนไม่สนใจม่อเสวียนเช่อแม้แต่น้อย? วันนี้ที่เ้าร้องขอให้เปิ่นหวางพาเ้าเข้าวัง หรือว่าไม่ใช่เพราะม่อเสวียนเช่อ? ”