เหลือบิดาลู่ที่ยืนหน้าดำคล้ำอยู่ที่เดิมรีบผลักบุตรชายออกไป “บอกให้เ้าไปก็รีบไปสิ ถามอะไรให้มากความ”
“ขอรับๆ”
พี่ใหญ่ลู่ไม่กล้าเสียเวลาอีก รีบวิ่งลงเขาไป ในใจก็รู้สึกไม่เข้าใจนักว่าตกลงน้องสาวของเขาป่วยตรงไหนกันแน่ หรือว่าจะป่วยหนัก ไม่เช่นนั้นเหตุใดบิดาเขาถึงได้มีสีหน้าไม่น่ามองเช่นนั้น ราวกับพบภัยพิบัติก็ไม่ปาน
เพียงระยะเวลาไม่กี่วันโคลนที่ถูกตากไว้ก็แห้งสนิท เหล่านี้คือโคลนที่ถูกผสมกับฟางข้าวเป็เนื้อเดียวกัน จากนั้นถูกนำไปอัดขึ้นรูปเป็อิฐและตากไว้จนแห้งสนิท แข็งแรงทนทานเก็บอุณหภูมิ ที่สำคัญคือถูกมาก
ที่เพิงทำอาหาร ท่านป้าหลิวกับสะใภ้ยังสาวอีกสามคนกำลังยุ่งกันอยู่ ในกระทะใบใหญ่สองใบ ใบหนึ่งทอดแป้งข้าวโพดสีเหลืองสวย ส่วนอีกกระทะนำข้าวโพดมาผสมกับข้าวสวยส่วนหนึ่งเพื่อทำเป็โจ๊ก กะหล่ำปลีที่ถูกดองไว้ั้แ่ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วถูกหั่นเป็ชิ้นบางๆ บนเขียง นำมาผสมกับน้ำมันพริกและน้ำมันงาเล็กน้อย เติมผักชีหนึ่งกำมือ เท่านี้ก็กลายเป็เครื่องเคียงชั้นดีแล้ว
สะใภ้คนหนึ่งที่ช่วยงานอยู่ในเพิงอาจเป็เพราะต้องตื่นั้แ่เช้าและยังไม่ได้กินอะไร ท้องจึงส่งเสียงร้องไม่หยุด ท่านป้าหลิวเห็นแล้วสงสารจึงหยิบไข่ต้มลูกหนึ่งยัดใส่มือนาง
“คนกันเองทั้งนั้น หิวแล้วก็บอกข้า อย่าเพิ่งไปสนใจของในกระทะ ดูแลท้องตัวเองก่อน ต้องรู้นะว่ายามนี้เ้าไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว อย่าให้ลูกต้องอดยากั้แ่อยู่ในท้อง”
สะใภ้คนนั้นหน้าแดงเขินอาย นางยื่นไข่ไก่คืนไป “ท่านป้า ข้าไม่กินหรอกเ้าค่ะ อีกเดี๋ยวรอจนคนอื่นๆ กินกันเสร็จแล้วข้าค่อยกินก็ได้เ้าค่ะ”
“ให้เ้ากินเ้าก็กินเสีย เสี่ยวหมี่ตั้งใจกำชับไว้ว่าให้กินไข่ไก่วันละฟอง เด็กที่คลอดออกมาจะได้ร่างกายแข็งแรง ตอนที่สร้างเพิงทำอาหารนี้เสี่ยวหมี่ก็บอกแล้วว่าให้พาพวกเ้าที่ตั้งครรภ์มาช่วยงาน เพราะอย่างน้อยหากได้กินอาหารกับพวกผู้ชายที่ใช้แรงงาน พวกเ้าก็น่าจะได้รับสารอาหารมากกว่ากินอาหารอยู่ที่บ้าน อีกอย่างคืองานไม่หนักและมีค่าแรงให้ สะสมเอาไว้ก็พอจะจัดงานครบเดือนและทำเสื้อผ้าใหม่ๆ ให้ลูกได้แล้ว”
ท่านป้าหลิวบ่นยืดยาว สะใภ้คนนั้นในที่สุดก็ฟังเข้าใจ รับไข่ไก่ไปด้วยความความขอบคุณ กล่าวเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้ตอนรู้ว่าต้องแต่งมาที่หมู่บ้านเขาหมี พี่หญิงของข้าร้องไห้จะเป็จะตาย อย่างไรก็ไม่ยอมมา แม่เลี้ยงข้าจึงส่งข้ามาแทน ตอนนี้ดูแล้วเหมือนว่าข้าจะต้องขอบคุณนางมากกว่า”
ทุกคนพากันยิ้มออกมา “นั่นน่ะสิ หนูตกถังข้าวสารแท้ๆ”
ตอนนี้เองก็มีคนเดินเข้ามาในเพิง ตอนแรกท่านป้าหลิวยังคิดว่าเป็พวกผู้ชายมาเร่งจะรับประทานอาหาร จึงเอ่ยว่า “อย่ารีบร้อนสิ ข้าวเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็พี่ใหญ่ลู่ เขาเห็นพวกผู้หญิงในเพิงก็หน้าแดงขึ้นน้อยๆ แต่สุดท้ายก็พูดว่า “ท่านป้า น้องสาวของข้าเหมือนจะไม่ค่อยสบาย ท่านพ่อให้ข้ามาเชิญท่านไปดูหน่อยขอรับ”
“อะไรนะ ไม่ค่อยสบาย?”
ท่านป้าหลิวทิ้งตะหลิวในมือทันที กล่าวอย่างร้อนใจว่า “หมายความว่าอย่างไร เหตุใดไม่ไปเชิญลุงสามปี้?”
พี่ใหญ่ลู่ลูบหลังศีรษะอย่างซื่อๆ เขาเองก็สงสัย “ท่านพ่อข้าบอกว่าไม่ต้องเรียกลุงสามปี้ ให้มาเชิญท่านป้าขอรับ”
ท่านป้าหลิวอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจทันที นางคลี่ยิ้มกว้างออกมา
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว นี่คือเื่ดี เ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
พี่ใหญ่ลู่พยักหน้า เขาหมุนกายเดินออกไปยังที่นาด้านข้าง พวกผู้ชายในหมู่บ้านมารวมตัวกันั้แ่ฟ้าเพิ่งสาง ยามนี้ทำงานกันมาหลายชั่วยามแล้ว ในสายตาของพวกเขาในฐานะเพื่อนบ้าน คนหมู่บ้านเดียวกันทั้งยังสนิทสนมกันเช่นนี้มาช่วยงานเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังรับค่าแรง เท่านี้ก็หน้าหนามากพอแล้ว หากไม่ลงแรงให้มากหน่อย พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว หากทำงานให้มากหน่อย ยามที่รับเงินค่าจ้างและกินข้าวพวกเขาจะได้สบายใจขึ้นมาบ้าง
ท่านลุงหลิวยกถ้วยน้ำขึ้นดื่มคำใหญ่ ครั้นเห็นพี่ใหญ่ลู่มาก็ทักทายว่า “ผิงเกอร์ [1] เ้ามาดูนี่สิ วันนี้เราเริ่มฉาบผนังรอบนอกกันแล้ว ถึงแม้จะบอกว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็ที่พักชั่วคราวให้กับทุกคน แต่รับรองว่าบ้านหลังนี้จะไม่น้อยหน้าบ้านหลังไหนๆ แน่นอน”
“ท่านลุง น้องสาวข้าบอกว่าหมู่บ้านเราจะต้องล้อมกำแพงเพิ่ม ปากทางขึ้นก็เกรงว่าคงจะต้องจัดคนเฝ้าไว้ตลอด หากบ้านหลังนี้สร้างเสร็จแล้ว เมื่อถึงหน้าร้อนทุกคนจะได้ไม่ต้องลำบากกันมาก”
พี่ใหญ่ลู่พูดอย่างตรงไปตรงมาไม่มีปิดบัง ทำให้คนที่ได้ยินอดยิ้มไม่ได้ พวกเขาชอบฟังยิ่งนักเวลาที่มีคนบอกว่าเสี่ยวหมี่กำลังคิดจะทำอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว พวกเขาต่างมีพละกำลังมากมายมหาศาล ขอแค่พวกเขายอมลงแรงช่วยสกุลลู่ สกุลลู่ไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขาอย่างแน่นอน
ท่านลุงหลิวพยักหน้าติดๆ กัน เห็นแต่ไกลว่าภรรยาตัวเองกำลังขึ้นเขาไปอย่างรีบร้อน อดบ่นอุบไม่ได้ว่า “ยายแก่คนนี้ ่ยุ่งๆ เช่นนี้เหตุใดถึงได้แอบไปี้เีได้?”
พูดจบก็ถามพี่ใหญ่ลู่ “ฝั่งที่ขุดคูระบายน้ำนั้นขุดร่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาปูก้อนหิน เสี่ยวหมี่มีความคิดอะไรหรือไม่ จะให้ทุกคนขึ้นไปขุดบนูเาหรือว่า...”
“ซื้อ” พี่ใหญ่ลู่รีบขัดท่านลุงหลิวขึ้นมา การขึ้นเขาไปสกัดหินนั้นเป็งานที่ต้องใช้แรงงานมหาศาล ทั้งยังต้องมีฝีมือมากพอ ถึงแม้คนในหมู่บ้านจะฟังคำพูดของสกุลลู่ทุกอย่าง แต่จะใช้ผู้อื่นไปทำอะไรเช่นนี้ก็ไม่เหมาะ หากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา วันหน้าคงยากจะเข้าหน้ากันติด
“เสี่ยวหมี่บอกว่า ให้ท่านลุงช่วยปล่อยข่าวออกไปที หมู่บ้านเราจะซื้อหิน ให้ราคาดีกว่าราคาตลาดหนึ่งเท่า ใครคิดจะรับงานนี้ก็ให้ขนขึ้นมาที่ปากทางขึ้นเขา ตัดชำระเป็คันรถ ถึงตอนนั้นค่อยรบกวนทุกท่านช่วยกันแบกเข้ามา ทุกคนเองก็รู้ดี หมู่บ้านเรามีของดีมากมาย จะให้คนนอกเข้ามาไม่ได้”
“อืม ใช่แล้วล่ะ”
พวกชาวบ้านต่างพากันพยักหน้า ตบอกรับรอง “บอกเสี่ยวหมี่ให้วางใจเถอะ แค่ช่วยขนหินนิดหน่อยเท่านั้น พวกเรามีเรี่ยวแรงมากพอ”
“ใช่แล้ว คนนอกพวกนั้นล้วนชั่วร้ายทั้งสิ้น ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะเอาหินเข้ามาส่งหรือว่ามาขโมยของกันแน่ ดังนั้นจะให้เข้ามาไม่ได้เด็ดขาด”
ทุกคนสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ที่เพิงอาหารกับข้าวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้พี่ใหญ่ลู่จะกินอิ่มมาจากที่บ้านแล้วแต่ก็ยังยกถ้วยโจ๊กขึ้นกินกับทุกคนอีกถ้วย...
ส่วนทางด้านท่านป้าหลิว นางรีบพุ่งกลับไปที่บ้านของตนเองเพื่อเอาของบางอย่าง เมื่อเจอลูกสะใภ้กุ้ยจือเอ๋อร์ก็แอบเล่าให้นางฟัง กุ้ยจือเอ๋อร์ได้ยินก็แอบยิ้มและพยักหน้า
เสี่ยวหมี่กำลังซุกตัวอยู่บนเตียงเตา ข้างตัวมีตะกร้าเข็มกับด้ายวางอยู่ นาทีนี้ นางคิดถึงผ้าอนามัยแบบมีปีกในชาติก่อนมาก แต่จะทำอย่างไรได้ ในต้าหยวนตอนนี้ยังไม่มีการคิดค้นสิ่งนี้ออกมา นางคิดจะประดิษฐ์ขึ้นมาเป็คนแรกฝีมือก็ยังไม่ถึงขั้น
เสี่ยวเอ๋อเอนกายพริ้มตาลงน้อยๆ คล้ายว่ากำลังนอนพักผ่อน แต่ที่จริงแล้วนางกำลังสังเกตอยู่ว่าเสี่ยวหมี่กำลังทำอะไร คงไม่ใช่จะเย็บตุ๊กตาสาปแช่งนางหรอกกระมัง เอาคืนที่นางล่วงเกินไปเมื่อเช้านี้...
ตอนที่ท่านป้าหลิวหอบห่อผ้าและถือน้ำต้มน้ำตาลแดงร้อนๆ เข้ามานั้น เห็นท่าทางของเสี่ยวหมี่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เสี่ยวหมี่ เหตุใดเ้าไม่พักผ่อนให้ดีเล่า กำลังทำอะไรอยู่อีก”
“อา ท่านป้า ท่านมาได้อย่างไร?”
เสี่ยวหมี่ตื่นเต้นหยัดกายขึ้นมา กลายเป็ว่าในร่างกายมีของบางอย่างพรั่งพรูอีกครั้ง นางจึงรีบทิ้งตัวกลับลงไป
“เด็กคนนี้ เวลานี้เ้าจะขยับซี้ซั้วไม่ได้ รีบดื่มน้ำต้มน้ำตาลแดงนี่เข้าไปเสีย คิดจะทำอะไรก็รอให้พ้นสองสามวันนี้ไปก่อนแล้วค่อยทำก็ยังไม่สาย”
ท่านป้าหลิวแย่งเข็มกับด้ายในมือของเสี่ยวหมี่มา ยัดถ้วยน้ำต้มน้ำตาลแดงใส่มือนางแทน
เมื่อได้ดมกลิ่นที่คุ้นเคย เสี่ยวหมี่ก็แทบน้ำตาไหล มีคนคอยดูแลใน่เวลาเช่นนี้ช่างโชคดีจริงๆ
“ขอบคุณท่านป้าเ้าค่ะ”
“ขอบคุณอะไรกัน มารดาเ้าไม่อยู่ มีเื่อะไรเ้าก็เรียกป้าได้ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว อีกอย่าง ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็มี่เวลาเช่นนี้ทั้งสิ้น นี่ถือเป็เื่ดี วันหน้าเ้าก็ถือว่าเป็สาวแล้ว สามารถแต่งงานมีบุตรได้แล้ว”
ท่านป้าหลิวรู้สึกดีใจแทนเสี่ยวหมี่จริงๆ เดิมทีนางยังคิดจะให้เสี่ยวหมี่มาเป็สะใภ้บ้านนาง แต่ไม่ต้องพูดถึงเื่เจาตี้คราวก่อน ดูแค่จากการที่เสี่ยวหมี่เปลี่ยนจากเด็กน้อยที่กินไม่เคยอิ่มมาเป็เศรษฐีนีอย่างเช่นทุกวันนี้ นางก็ไม่วาดฝันอีกต่อไป แม่นางเช่นนี้ พวกนางสกุลหลิวไม่มีสิทธิ์หรอก นางจึงมองเสี่ยวหมี่เป็ดั่งบุตรสาวแท้ๆ ของตนแทน
เสี่ยวหมี่ได้ยินแล้วก็ถอนใจ บางทีนางอาจจะเป็คนที่ถูกกำหนดมาให้มีชีวิตขมขื่น ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้นางก็ไม่เคยได้รับรู้เลยว่าความรักของแม่เป็อย่างไร
ท่านป้าหลิวเห็นดวงหน้าเล็กๆ เศร้าหมองลง ก็รู้สึกเสียใจยิ่งนักที่พูดถึงมารดาของนางขึ้นมา จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้านำของใหม่มาให้ เ้ารีบเปลี่ยนเร็วเข้า อย่าให้ซึมเลอะเทอะผ้าห่ม มันจะทำความสะอาดยาก”
เสี่ยวหมี่หันไปมองเ้าของยาวๆ ในมือท่านป้าหลิวแล้วนางก็รีบส่ายหน้าทันที “ไม่ ไม่ ท่านป้า ข้าไม่ใช้สิ่งนี้หรอก”
“นี่ของใหม่นะ” ท่านป้าหลิวคิดว่าเสี่ยวหมี่รังเกียจว่าของสิ่งนี้สกปรก เอ่ยโน้มน้าวว่า “เดิมทีพี่สะใภ้กุ้ยจือของเ้าเป็คนทำขึ้นมา ตอนนี้นางตั้งครรภ์ก็ไม่จำเป็ต้องใช้แล้ว”
เสี่ยวหมี่รีบดื่มน้ำตาลต้มในมือ เสร็จแล้วก็หยิบเ้าของพิสดารที่ทำเสร็จได้เพียงครึ่งเดียวอย่างทุลักทุเลออกมา แล้วอธิบายให้ท่านป้าหลิวฟังถึงประโยชน์ใช้สอยของมัน
ท่านป้าหลิวได้ฟังก็ตาโต ในใจรู้สึกสับสนเล็กน้อย แค่ของเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้เสี่ยวหมี่ก็ยังต้องคิดทำออกมาให้มันวุ่นวายขนาดนี้ แม่นางคนนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็คนธรรมดาจริงๆ
“ท่านป้า มันทำยากหรือ? ไม่ต้องปักดอกไม้อะไรทั้งสิ้น ก็แค่ทำเป็ซองผ้าบรรจุฝ้าย ฐานรองฝ้ายด้านในก็แค่เย็บกระดาษไขเพิ่มเข้าไปหนึ่งชั้น...”
เสี่ยวหมี่อธิบายขั้นตอนอย่างละเอียด พูดจบก็ถอนใจน้อยๆ “หรือว่ามันวุ่นวายเกินไปเ้าคะ”
ท่านป้าหลิวดึงสติกลับมาได้ในที่สุด ยิ้มกล่าวว่า “ไม่วุ่นวาย ป้าน่ะฝีมือไม่ดีหรอก แต่ของแค่นี้ก็ยังพอทำได้”
นางพูดจบก็ทนไม่ไหวทอดถอนใจเอ่ยออกมาว่า “เ้านี่น้า ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน วันหน้าจะต้องแต่งไปในครอบครัวดีๆ เล่า”
เสี่ยวหมี่ยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบรับอะไร กลับเป็เสี่ยวเอ๋อที่พูดขึ้นมาว่า “หึ พวกคนรวยมีอันจะกินน่ะไม่ใช่คนดีอะไรหรอก สภาพอย่างนางเข้าไปได้ไม่กี่วันก็คงจะถูกพวกนั้นกินเข้าไปแน่ๆ”
“ว้าย” ตอนที่ท่านป้าหลิวเข้ามา ในสมองและสายตามีแต่เสี่ยวหมี่ จึงไม่ทันสังเกตเห็นเสี่ยวเอ๋อ จู่ๆ ก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งจากใต้ผ้าห่ม ก็ใจนแทบจะะโขึ้นมา เข็มในมือถึงกับตำนิ้วจนเจ็บ นางรีบยกนิ้วที่เืออกขึ้นดูด เมื่อหันศีรษะไปมองก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
แม่นางคนนี้มาอยู่ในสกุลลู่ตั้งแม่เมื่อใด ดวงตาดุจหงส์ คิ้วดั่งใบหลิว จมูกโด่ง ริมฝีปากแดง ใหหน้ารูปไข่ขาวผุดผาด งดงามราวกับคนในภาพวาด ยามปกตินางคิดว่าเสี่ยวหมี่งดงามมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับแม่นางคนนี้เสี่ยวหมี่กลับดูเหมือนเด็กน้อยน่ารักมากกว่า
เสี่ยวหมี่กลัวว่าท่านป้าหลิวจะคิดไปไกล และยังรู้สึกขุ่นเคืองที่เสี่ยวเอ๋อพูดแทรกขึ้นมาเช่นนั้น นางจึงโต้กลับอย่างเ็า “ในอนาคตข้าจะเป็อย่างไรคงไม่รบกวนให้แม่นางเป็กังวล เ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ บ้านคนมีอันจะกินดีหรือไม่ เ้าจะไปรู้ได้อย่างไร หรือว่าเ้าเคยแต่งให้พวกเขา?”
“เ้า” เสี่ยวเอ๋อที่เป็แม่นางดอกเบญจมาศ [2] ถูกเสี่ยวหมี่ว่าเช่นนี้ก็โกรธขึ้นมาเหมือนกัน คิดจะด่ากลับเพื่อเอาชนะ จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้านนางก็มีนิสัยเช่นนี้ น่าเสียดายผ่านไปไม่นาน คนในบ้านที่รักใคร่ตามใจนางก็ลาโลกไปจนหมดสิ้น ทิ้งให้นางลำบากอยู่บนโลกใบนี้คนเดียว...
เสี่ยวหมี่ยังรอให้เสี่ยวเอ๋อโต้กลับอยู่ คิดไม่ถึงว่านางจะน้ำตาร่วงลงมา
เชิงอรรถ
[1] เกอร์(哥儿)คำเรียกต่อท้ายชื่อเด็กผู้ชาย
[2] แม่นางดอกเบญจมาศ(黄花闺女)หญิงพรหมจรรย์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้