"ต้าเหนียงจื่อเรียกหว่านเอ๋อร์ดีกว่า สิ้นเดือนหน้าข้าก็จะออกเดินทางเหมือนกัน" พวงแก้มของเมิ่งหว่านเหนียงแดงระเรื่อ
"ไปที่นั่นทำไมหรือ ไปเยือนสหายหรือมีธุระอย่างอื่น" เซวียเสี่ยวหรั่นถามอย่างประหลาดใจ
ยามดวงหน้างามลออของเมิ่งหว่านเหนียงซับสีโลหิตยิ่งดูน่ารักมีเสน่ห์
"เดือนสิบข้าต้องออกเรือนแล้ว ต้องไปเพื่อเตรียมตัวล่วงหน้า"
เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งไปชั่วขณะก่อนที่จะยิ้ม กล่าวแสดงความยินดี
แต่ในใจก็อดที่จะโอดครวญไม่ได้ แม่เ้า อายุเพิ่งสิบเจ็ด ยังเป็ผู้เยาว์อยู่เลย ก็ต้องแต่งงานเสียแล้ว
เสียงสนทนาของพวกนางไปถึงหูของของคนที่อยู่หลังฉากกั้นอีกด้าน เหลียนเซวียนแสดงความยินดีกับเมิ่งเฉิงเจ๋อ ก่อนเลียบเคียงถามไปตามสถานการณ์ "ไม่ทราบว่าหลางจวินบ้านใดมีวาสนาตบแต่งน้องสาวของท่านเป็ภรรยา"
"ซือหลางบุตรชายคนรองของรองเ้ากรมขุนนางซือเหลิง" ดวงตาของเมิ่งเฉิงเจ๋อทอประกาย
รองเ้ากรมขุนนางซือเหลิง?
เหลียนเซวียนลองนึกดูแต่ไม่อยู่ในความทรงจำ รู้แต่จั่วหยวนถังเ้ากรมขุนนางซึ่งเป็หัวหน้าของเขาเป็ขุนนางใจซื่อมือสะอาด ไม่ร่วมฝักฝ่ายใดในศึกการต่อสู้ทางการเมือง
เขาผงกศีรษะสีหน้าไม่เปลี่ยนเแปลง "รองเ้ากรมขั้นห้า น้องสาวของท่านแต่งเข้าไปก็นับได้ว่าเป็การเติมบุปผาบนดิ้นแพร"
ขุนนางขั้นห้าแทบไม่ติดอันดับในเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ
แต่สำหรับตระกูลพ่อค้าอย่างสกุลเมิ่งแล้ว นี่คือการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีมาก
เมิ่งเฉิงเจ๋อเหลือบมองสีหน้าเรียบเฉยของเขาอย่างคลางแคลงใจ
ดูจากคำพูดของเขา ขุนนางนางขั้นห้าไม่นับว่าเป็อะไรทั้งนั้น เขามีศักดิ์ฐานะไหนกันแน่ เจวี๋ยเยีย? [1] โหวเยีย? กั๋วกง?
แต่ใต้เท้าระดับนี้จะแล่นมาถึงแคว้นหลีได้อย่างไร ทั้งยังแต่งกายเรียบง่ายปกปิดฐานะ เมิ่งเฉิงเจ๋อมองอาภรณ์สีเขียวธรรมดาไร้เครื่องประดับ จนไม่อาจประเมินสถานะของเขาได้เลย
"นายน้อยเมิ่ง ท่านติดต่อกับร้านค้าที่เมืองหลวงแคว้นฉีอย่างไร พิราบสื่อสารรึ?" เหลียนเซวียนยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างผ่อนคลาย
เนตรหงส์เรียวของเมิ่งเฉิงเจ๋อหรี่เล็กน้อย ใคร่ครวญความหมายในคำพูดของเขา ก่อนตอบกลับอย่างระมัดระวัง
"หากไม่ใช่เื่สำคัญปรกติจะไม่ใช้พิราบสื่อสาร"
ก็แสดงว่ามีการส่งพิราบสื่อสาร เป้าหมายถูกต้องแล้ว "ผู้น้อยมีเื่้าขอความช่วยเหลือ ไม่ทราบว่านายน้อยเมิ่งพอจะช่วยส่งสารไปที่เมืองหลวงแคว้นฉีได้หรือไม่"
เหลียนเซวียนค่อยๆ เผยเป้าหมาย
"ไม่ทราบว่า้าส่งไปที่ใด" เมิ่งเฉิงเจ๋อหัวใจสะดุด
"ร้านขายโลงศพหลี่จี้ชานเมืองตะวันออก" เหลียนเซวียนเอ่ยเสียงเรียบ
เมิ่งเฉิงเจ๋อกับเมิ่งหว่านเหนียงส่งแขกที่หน้าประตูใหญ่ของสำนักวาณิชสกุลเมิ่ง มองเงาร่างของคนทั้งสามกลืนหายไปในฝูงชน ก่อนที่จะกลับเข้าไปในห้องรับแขก
"ต่งชิ่ง ให้คนตรวจสอบเบื้องลึกของพวกเหลียนชีให้หมดทุกคน"
เดิมเมิ่งเฉิงเจ๋อคิดว่าเหลียนต้าเหนียงจื่อผู้นั้นเป็แค่คนธรรมดา ก่อนหน้านั้นจึงไม่คิดจะตรวจสอบประวัติของนาง
แต่ใครจะรู้ กลับเป็เขาเองที่ตาไม่มีแวว
"ท่านพี่ มีปัญหาอะไรหรือ" เมิ่งหว่านเหนียงเห็นสีหน้าเขาแลดูคร่ำเครียด
"บุรุษผู้นั้นสถานะไม่ธรรมดา" เมิ่งเฉิงเจ๋อนั่งลงบนเก้าพลางยกมือนวดขมับ
"ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน เขาแค่ยื่นเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ข้าก็ขาสั่นไปหมดแล้ว" เมิ่งหว่านเหนียงเอ่ยเสียงเบา "ท่านพี่ ท่านรับปากจะส่งสารให้เขาแล้วหรือ"
โต๊ะจัดงานเลี้ยงทั้งสองฝั่งอยู่ใกล้กันมาก เนื้อหาที่พวกเขาคุยกัน เมิ่งหว่านเหนียงก็ได้ยิน
"จริงสิ หว่านเหนียง งานแต่งของเ้า ท่านน้าต้องลงทุนลงแรงไปมาก มิเช่นนั้นคุณสมบัติอย่างซือหลางคงไม่แต่งบุตรสาวจากตระกูลพ่อค้าเป็ภรรยาแน่ หลังจากเ้าแต่งเข้าไปแล้ว อยากจะหยั่งเท้าในตระกูลซืออย่างมั่นคง จะพึ่งพาแค่เงินทองเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องพึ่งพาสายสัมพันธ์กับผู้คนด้วย ความหมายของพี่ เ้าเข้าใจหรือไม่
เมิ่งเฉิงเจ๋อพิงไปด้านหลังอย่างอ่อนเปลี้ย
ห้าปีก่อน ขบวนสินค้าของบิดาถูกโจรปล้น แทบจะเอาชีวิตไปทิ้ง แม้จะช่วยชีวิตกลับมาได้ แต่าเ็หนักถึงแก่นราก เมิ่งเฉิงเจ๋อเข้ารับสืบทอดกิจการ ทั้งอายุน้อย ไร้ประสบการณ์ ไม่เป็ที่ยอมรับ ต้องลำบากไม่น้อย
การที่เขาสามารถขยายการค้าจนยิ่งใหญ่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี แน่นอนว่าไม่ได้อาศัยแค่โชคชะตา
"ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ ท่านพี่" เมิ่งหว่านเหนียงพยักหน้า พี่ชายมีแต่ความหวังดีต่อนาง
"่นี้เ้าไปมาหาสู่กับเหลียนต้าเหนียงจื่อให้มากหน่อย หากเหตุใกล้ชิดกับนางให้มากขึ้น ต่อไปเ้าแต่งไปแคว้นฉี ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะใดก็ตาม แค่มีคนที่เ้าสามารถคบหาสมาคมด้วยย่อมเป็เื่ดี"
เมิ่งเฉิงเจ๋อมีน้องสาวร่วมอุทรเพียงคนเดียว ต้องแต่งงานไปแดนไกล ถ้าบอกว่าไม่กังวลคงจะเป็การโป้ปด
"ข้าทราบเ้าค่ะ ต้าเหนียงจื่อผู้นั้นอัธยาศัยไม่เลว เป็คนคุยง่าย ข้าจะพยายามใกล้ชิดกับนางอย่างสุดความสามารถ"
เมิ่งหว่านเหนียงรู้สึกแสบจมูก อีกไม่นานนางก็ต้องจากพี่ชายที่คอยปกป้องนางมาั้แ่เด็ก
เดิมทีนางไม่อยากแต่งงานไปแดนไกล แต่ว่า...
เมิ่งหว่านเหนียงนึกถึงเงาร่างสูงโปร่งสง่างามผู้นั้น พวงแก้มพลันซับสีโลหิต
พวกเซวียเสี่ยวหรั่นไม่ได้กลับโรงเตี๊ยมทันที แต่ไปแวะร้านขายยาก่อน แล้วค่อยไปร้านขายของชำซื้อของใช้จุกจิก
แล้วค่อยกลับไปโรงเตี๊ยมอย่างไม่รีบร้อน
กลับมาถึงโรงเตี๊ยมฝูสี่ อูหลันฮวาก็ยืนชะเง้อรออยู่หน้าโรงเตี๊ยมนานแล้ว
"ต้าเหนียงจื่อ เหตุใดพวกท่านไปนานนักเล่า"
พอได้ยินนางใช้ถ้อยคำตัดพ้ออย่างเนิบช้า เซวียเสี่ยวหรั่นก็อดยิ้มไม่ได้
"การเจรจาธุรกิจเป็เื่ระหว่างสองฝ่าย ใช้ปากเป็ทวนลิ้นเป็กระบี่ ต่อรองราคา มีเื่อีกเยอะเลย"
"แล้ว เจรจาสำเร็จหรือไม่" อูหลันฮวาทำสีหน้าวาดหวัง
"เ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มหยอกกับนาง
"ต้องสำเร็จอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ คุณชายน้อย?" อูหลันฮวาเห็นทั้งสามแลดูผ่อนคลาย ดวงตาก็สว่างจ้าราวกับตะเกียงสองดวง
เซวียเสี่ยวเหล่ยยิ้มอย่างขวยเขินก่อนพยักหน้า
ครานี้นอกจากตอนลงนามที่ได้เขียนชื่อของตนเองลงไปในหนังสือสัญญา เขาก็อยู่เงียบๆ ด้านข้างั้แ่ต้นจนจบ
"โอ้ ช่างดียิ่ง เคี่ยวกรำกันมาหลายวันสุดท้ายก็ไม่เสียแรงเปล่า" พอดีใจก็เริ่มพูดไม่ชัด
เซวียเสี่ยวเหล่ยเริ่มแก้ไขคำพูดของนางให้ถูกต้อง
พอกลับไปถึงห้องพัก อูหลันฮวาก็ลากเซวียเสี่ยวเหล่ยมาซักถามเื่ราวโดยละเอียด เซวียเสี่ยวหรั่นหอบข้าวของพะรุงพะรังไปที่ห้องเหลียนเซวียน
"ท่านกล้ามากเลยนะ ขอส่วนแบ่งผลกำไรตั้งสามส่วน" ทันทีที่เข้ามาในห้อง เธอก็เอ่ยถึงเื่นี้
เดิมทีขอส่วนแบ่งแค่ส่วนเดียวเธอก็กระดากใจจะแย่แล้ว แต่เขากลับโหดยิ่งกว่า โขกทีเดียวถึงสามส่วน
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ เมิ่งเฉิงเจ๋อยังรับปาก
เซวียเสี่ยวหรั่นคิดแล้วคิดอีกก็ยังรู้สึกเหมือนเป็ความฝัน
เหลียนเซวียนนั่งลงอย่างช้าๆ ย้ายสิ่งของที่นางวางสะเปะสะปะไปไว้ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
"หยิบกระดาษพู่กันมา แล้วมาฝนหมึก"
เขามอบหมายหน้าที่
"อื้อ" เซวียเสี่ยวหรั่นรับปากอย่างงุนงง
หลังจากนั้นก็หาพู่กันกระดาษแท่นฝนหมึกออกมา "เหตุใดต้องฝนหมึก จะเขียนจดหมายตอนนี้เลยหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินว่าเขาฝากเมิ่งเฉิงเจ๋อส่งจดหมาย
"ใช่ ค่ำคืนยาวนานความฝันยาวไกล [2]"
เหลียนเซวียนผสมผงสมุนไพรแต่ละชนิดที่ซื้อมาเข้าด้วยกันในจานรองถ้วยชา ก่อนเทน้ำหมึกที่ฝนเรียบร้อยแล้วลงไป
เซวียเสี่ยวหรั่นมองการกระทำของเขาก็สงสัยอย่างยิ่ง
เหตุใดเขาต้องผสมผงมากมายเ่าั้กับน้ำหมึก คิดจะทำอะไร?
...
[1] เจวี๋ยเยีย เป็คำเรียกของผู้มีบรรดาศักดิ์ ซึ่งแบ่งเป็ 5 ลำดับจากสูงไปหาต่ำได้แก่ ชั้นกง ชั้นโหว ชั้นปั๋ว ชั้นจื่อ ชั้นหนาน
[2] ใช้เป็ความเปรียบว่าหากยื้อเวลานานเกินไป สถานการณ์อาจพลิกผันไปในทางที่คาดไม่ถึง
