ฝ่าาโปรดตัดสินด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซ่งอี้เฉินมองไปทางใต้เท้าทั้งสองท่านที่โต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง ก็ให้รู้สึกขบขันนัก
บุรุษที่มีเกียรติสูงศักดิ์สองคนกำลังถูกสตรีสองคนจูงจมูกทำในสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ทว่าเมื่อคิดให้ละเอียดเขาเองก็เป็เพียงฮ่องเต้ที่ไม่มีอำนาจ ซ่งอี้เฉินกลับรู้สึกว่าเขาเองน่าขบขันยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก
ทว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าต้องมีข้อสรุป ส่วนข้อสรุปนี้ไม่เพียงตัดสินให้ใต้เท้าหยางกับใต้เท้าจางเท่านั้น ทว่ายังรวมถึงไทเฮากับองค์หญิงใหญ่อีกด้วย
แม้ว่าซ่งอี้เฉินจะไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงก็ตาม ทว่าเขาก็เป็เพียงฮ่องเต้ในนาม หากโอนเอียงไปทางผู้ใดก็ถือเป็ภัยคุกคามต่ออีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ตามหลักเหตุผลแล้ว ซ่งอี้เฉินไม่ควรลังเลที่จะโอนเอียงไปทางเ้ากรมหยาง อย่างไรเสียไทเฮาก็ยืนอยู่ข้างหลังเขา และไทเฮาก็คือพระมารดาผู้ให้กำเนิดของซ่งอี้เฉิน เพราะฉะนั้นท่าทีของเ้ากรมหยางจึงมั่นใจมาก รอดูรองเ้ากรมจางพ่ายแพ้กับตา
ทว่าในเมื่อองค์หญิงใหญ่ลงมือแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะพ่ายแพ้ นางต้องเตรียมแผนสำรองมาอย่างแน่นอน ขอเพียงซ่งอี้เฉินแสดงความโอนเอียง นางต้องลงมือแผนสำรองเป็แน่ ส่งผลให้รองเ้ากรมจางมีท่าทีขึงขังมั่นใจ ไม่มีท่าทียอมจำนนให้อีกฝ่ายเลยสักนิด
ซ่งอี้เฉินหยุดครู่หนึ่ง ราวกับว่าไม่ได้สนใจกับเื่นี้เลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกอึดอัดกับเสียงทะเลาะของคนเหล่านี้และใช้นิ้วมืออุดหู จากนั้นจึงหันไปเห็นหวังเทียนเหล่ยที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด เขาเอ่ยปากถามไปว่า “รองเ้ากรมหวังท่านคิดเห็นอย่างไร?”
หวังเทียนเหล่ยซึ่งแต่เดิม้าเป็เพียงผู้ชม กลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ฝ่าาเรียกชื่อเขา เขาโน้มตัวเดินไปข้างหน้า มองเ้ากรมหยางอย่างระมัดระวัง จากนั้นมองไปทางรองเ้ากรมจางอีกครั้ง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอึดอัด “เื่นี้......เื่นี้เป็เื่สำคัญอย่างยิ่ง จำเป็ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาดพ่ะย่ะค่ะ”
“จะตรวจสอบอย่างไร?”
“ต้อง......”
หวังเทียนเหล่ยลังเลและกำลังจะเอ่ย ไม่คาดคิดว่าซ่งอี้เฉินจะโบกมือแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิด พูดมาเจิ้นก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เช่นนั้นเื่นี้ให้เ้าเป็คนสอบสวน!”
ใต้เท้าหยางและใต้เท้าจางใและพูดออกมาพร้อมกัน “ฝ่าา......”
“เ้าทั้งสองต่างก็มีชนักติดหลัง หากสืบสวนร่วมกัน ไม่รู้ว่าเื่ราวจะออกมาในรูปแบบใด หาผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเหมาะสมแล้วมิใช่หรือ? หรือว่าปัญหาในกรมโยธาจะให้กรมอาญาเป็ผู้ดูแล?”
ทั้งสองตอบพร้อมกันอีกครั้ง “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ......”
“เจิ้นก็คิดว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน เจิ้นคิดว่าใต้เท้าทั้งสองท่านร่ำเรียนตำราและคัมภีร์แตกฉาน ต้องไม่ทำสิ่งใดที่เป็เื่อันตรายต่อปวงประชาและราชสำนักอย่างแน่นอน เจิ้นเกรงว่าจะมีความเข้าใจผิดบางอย่าง จึงสั่งให้รองเ้ากรมหวังสืบสวน ทุกคนก็เป็ครอบครัวเดียวกัน เป็เื่ง่ายที่จะพูดคุยกันใช่หรือไม่?” ซ่งอี้เฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นคล้ายจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาตบศีรษะเบาๆ พลางกล่าวว่า “ใต้เท้าทั้งสองท่าน้าจะสืบสวนเื่พวกนี้ เช่นนั้นต้องหลีกเลี่ยงความสงสัยของผู้อื่น งานในกรมโยธาทั้งหมดก็ไม่ต้องดูแลชั่วคราว เื่ในกรมโยธาให้ใต้เท้าหวังเป็ผู้ดูแลไปพลางๆ ใต้เท้าทั้งสองท่านพักผ่อนสักหลายวัน รอจนกระทั่งสืบสวนเื่นี้กระจ่างชัดแล้วค่อยกลับมา อยากทำสิ่งใดก็ไปทำ ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว ยอดเยี่ยมมาก!”
เดิมทีใต้เท้าหยางและใต้เท้าจาง้าบีบให้ซ่งอี้เฉินแสดงจุดยืน ทว่าพวกเขานึกไม่ถึงว่าซ่งอี้เฉินจะจัดการจนมาลงเอยเช่นนี้ สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างและทำให้ตำแหน่งขุนนางของเขาตกอยู่ในอันตราย สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างยิ่งพลางรีบชี้แจง
“ฝ่าา เื่นี้กระหม่อม......”
“เื่นี้ไม่ใช่เื่เด็กเล่น ในเมื่อใต้เท้าทั้งสองท่านมีความคับข้องใจ เจิ้นต้องหาคำตอบให้พวกท่านอย่างแน่นอน ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ ตกลงตามนี้ ไม่ต้องพูดอันใดอีก!” ซ่งอี้เฉินไม่ฟังคำทัดทาน ยืนขึ้นและกล่าวว่า “เจิ้นยังต้องให้ขุนนางโจวร่างราชโองการ เหยียนเป่าหลินกำลังรอราชโองการจากเจิ้นอยู่......อืม ควรจะเรียกว่านางว่าเหยียนฉายเหรินถึงจะถูกต้อง!”
ในขณะที่ซ่งอี้เฉินเอ่ยก็ได้เดินออกจากห้องทรงอักษรไปแล้ว ใต้เท้าหยางและใต้เท้าจางมองหน้ากัน ก่อนจะส่งสายตาเกลียดชังซึ่งกันและกันพลางกระชากเสียงฮึเ็า ต่างฝ่ายต่างเดินออกไป เหลือเพียงหวังเทียนเหล่ยที่อยู่เดินตามอยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างช้าๆ ด้วยแววตายิ้มเยาะ
......
ราชโองการเลื่อนตำแหน่งของฮ่องเต้มาถึงตำหนักเฟิ่งชัยอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้กลายเป็ข่าวร้อนแรงไปทั่ววังหลวง การเลื่อนตำแหน่งโดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้าทำให้ทุกคนคาดเดากันไปต่างๆ นานา ท้ายที่สุดทุกคนต่างก็เชื่อเป็เสียงเดียวกันว่า เื่นี้เป็เพียงความโปรดปรานของฝ่าา
ความโปรดปรานของฮ่องเต้นั้นไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อได้รับความโปรดปราน ทุกสิ่งอย่างประดังเข้ามาดั่ง์ประทาน เป็เพียงแค่สนมขั้นฉายเหรินไม่มีความหมายอันใด?
เหยียนอู๋อวี้เพิกเฉยต่อเื่นี้และรับราชโองการจากฝ่าา สั่งให้ป้าโฉ่วตกรางวัลใหญ่ให้ทุกคน นางถือราชโองการและถามหลี่ว์เหลียงฝู่ด้วยท่าทีมีความสุข “ขันทีหลี่ว์ ฝ่าาชื่นชอบดอกท้อใช่หรือไม่?”
หลี่ว์เหลียงฝู่รู้สึกแปลกใจที่นางถามคำถามนี้ เขาจึงตอบรับคำด้วยสีหน้าสงสัย ทว่าเหยียนอู๋อวี้กลับมีท่าทีจริงจังและเอ่ยอย่างมีความสุข “ข้าจะไปสวนในวังหลวง คืนนี้ฝ่าาเสด็จมา ข้าอยากแต่งตัวให้งดงามยิ่งกว่านี้ และ้าตกแต่งตำหนักเฟิ่งชัยให้มีชีวิตชีวาสักหน่อย!”
หลี่ว์เหลียงฝู่มองเรือนร่างของเหยียนอู๋อวี้ที่จากไปอย่างมีความสุข ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความสับสน
ฮ่องเต้โปรดปรานซูเฟยมาหลายปี ทุกคนในวังต่างคิดว่าพระองค์ชื่นชอบความอ่อนโยนงดงาม สง่างามและมีความสามารถ ทว่าพวกเขานึกไม่ถึงว่าความโปรดปรานของฝ่าาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงทันทีที่เหยียนฉายเหรินปรากฏตัว
เหยียนฉายเหรินไม่ฉลาดเฉลียว หนำซ้ำออกจะโง่เขลาไปสักหน่อย อุปนิสัยเปิดเผย ไม่รู้ว่าจะควบคุมตนเองอย่างไร
นางเข้าวังหลวงมาได้ไม่กี่เดือน ศัตรูทั้งที่ลับและที่แจ้งต่างพุ่งเป้ามาหานางนับครั้งไม่ถ้วน เคยได้รับาเ็ และถูกวางยาพิษ ทว่านางไม่เคยเก็บมาเป็บทเรียน นางยังคงทำตัวโดดเด่น ราวกับลูกไฟที่คล้ายจะแผดเผาความอิจฉาริษยาไปทั่วทั้งตำหนักหลัง
หลี่ว์เหลียงฝู่กล้าพนันว่าข่าวการเลื่อนตำแหน่งแพร่สะพัดไปทั่วทุกมุมของวังหลวง ตามธรรมเนียมของนางสนมในอดีต พวกเขาควรจะเป็ผู้ถ่อมตน รอให้ฝ่าามาหา ทว่าเหยียนฉายเหรินกลับกล้าไปที่สวนในวังหลวงด้วยตนเอง
ภายในวังหลวงอ้างว้าง นอกจากบรรดากุ้ยเหรินที่เลี้ยงสุนัข แมวและนกแล้ว ยังมีบางคนเดินเล่นอยู่ในสวน นางไปในครานี้ไม่รู้ว่าจะพบกับใครกี่คน จากตำแหน่งของนางในเวลานี้ ไม่รู้ว่านางสนมที่มีตำแหน่งสูงกว่านางกี่คนที่ลงมือกับนาง
เมื่อนึกถึงเื่นี้ หลี่ว์เหลียงฝู่รีบออกจากตำหนักเฟิ่งชัย และกำลังจะไปทูลเื่นี้ต่อฮ่องเต้ ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดของเว่ยหรูไห่พ่อบุญธรรมของเขา เขาก็หยุดเดินโดยไม่รู้ตัว
พ่อบุญธรรมบอกว่าในวังหลวงแห่งนี้ มีเพียงคนหูหนวกและคนตาบอดเท่านั้นที่อายุยืน
......
เหยียนอู๋อวี้ไม่ทราบเื่นี้ สาเหตุที่นางอยากไปสวนในวังหลวง นอกจากไปเด็ดดอกท้อให้ซ่งอี้เฉินแล้ว ยัง้าเสี่ยงโชคดูสักครั้ง
ก่อนหน้านี้ทั้งสองครั้งนางพบจวินอู๋เสียในสวนแห่งนี้ นางคิดว่าเขาต้องชอบเดินเล่นที่นี่อย่างแน่นอน นาง้าถามเื่ไข่มุกให้รู้เื่ เพียงแต่ไม่รู้จะไปหาเขาได้ที่ไหน มาที่นี่จึงเป็วิธีเดียว
ความเย็นของฤดูใบไม้ผลิกำลังจะหายไป ดอกไม้ในสวนบานสะพรั่ง แต่ละดอกพลิ้วไหวชูช่อล้อแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ
เพื่อหลบเลี่ยงจากสายตาผู้อื่น เหยียนอู๋อวี้ตั้งใจเดินไปตามทางที่ค่อนข้างไกลออกไป เด็ดกิ่งไม้ดอกไม้แล้วส่งให้ป้าโฉ่ว
นางเคยพบกับจวินอู๋เสียครั้งแรกเมื่อแปดปีที่แล้ว เขาอายุสิบสี่ปี ตอนนั้นเขาผอมแห้งไม่สูงเท่ากับเด็กปกติทั่วไป แม้เขาจะเป็องค์ชาย ทว่ากลับไร้ซึ่งลักษณะท่าทางขององค์ชาย ด้วยเหตุนี้ลูกหลานเชื้อพระวงศ์จึงไม่สุภาพกับเขาเท่าใดนัก
แม้ว่านางจะออกหน้าช่วยเหลือเขา ทว่านั่นเพียงเพื่อพยายามแสดงเจตนาดี เจรจาสันติให้ราชวงศ์ทางใต้ไม่ต้องขุ่นเคืองใจต่อแคว้นเซวียนอีก และไม่ต้องก่อาอีกทำให้ปวงประชาต้องทนทุกข์ทรมาน
ในเวลานั้น แม้ว่าจวินอู๋เสียจะมีท่าทีไม่เป็มิตรต่อนาง ทว่านางก็เห็นใจเขา เขาตกอยู่ในสถานภาพนี้ก็เพราะนาง เื่ฏในราชวงศ์ใต้เป็เื่ของผู้ใหญ่ เขาเป็เพียงรัชทายาท และเป็เพราะสถานะรัชทายาทของเขาที่ส่งผลให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่
ต่อมาคล้ายเขาจะััได้ถึงความคิดของนาง ทำให้ความเกลียดชังของเขาที่มีต่อนางลดน้อยลงมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง จู่ๆ เขาก็มาที่ประตูตำหนักนางแล้วบอกว่าเขา้าทำข้อตกลงกับนาง
“ข้อตกลงหรือ?” ยามนั้นนางมีสถานะเป็ฮองเฮา มีเวลาว่างไม่มากนัก กระนั้นนางกลับเจียดเวลาที่จะพบกับเขา
หลังจากอยู่ในแคว้นเซวียนเป็เวลาสองปี สีหน้าของเขาซีดขาว ทว่าเนื่องจากมีนางคอยปกป้องเป็ครั้งคราว ชีวิตของเขาจึงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างของเขาสูงขึ้น เพียงแต่ยังคงเป็คนพูดน้อยดังเดิม ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยความนิ่งเงียบอีกชั้นหนึ่งที่แตกต่างจากเด็กวัยใกล้เคียงกับเขา
ทว่าแม้นิ่งเงียบมากเพียงใด ท้ายที่สุดเขาก็คือเด็กอยู่ดี
“เ้ากล้าหรือไม่?” น้อยครั้งที่เด็กหนุ่มจะปริปาก กระนั้นกลับเอ่ยออกมาไม่กี่คำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้