เล่มที่ 10 บทที่ 272 ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันสองคน
หลินเฟยใจกระตุกขึ้นทันที คนผู้นี้เป็ถึงผู้บำเพ็ญขั้นจิงตัน อีกทั้งยังมีท่าทีแสนสุภาพ ในมือก็ถือคัมภีร์เอาไว้ หรือจะเป็สำนักศึกษาลิ่วเยิ่น?
‘ไม่ใช่สำนักเล็กๆเสียด้วยสิ…’
สำนักลิ่วเยิ่นเพิ่งก่อตั้งมาได้ประมาณหนึ่งพันปีเท่านั้น แม้จะไม่ได้เป็สิบสำนักใหญ่แห่งเป่ยจิ้ง แต่ก็ถือว่าเก่งกาจเลยทีเดียว ถึงกับติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกของสำนักต่างๆในเป่ยจิ้ง สำนักศึกษาลิ่วเยิ่นบำเพ็ญด้วยพลังแห่งปรัชญา ว่ากันว่าเมื่อพันปีก่อน โจวฟูจื่อแห่งสำนักศึกษาลิ่วเยิ่นได้ศึกษาปรัชญากระทั่งบรรลุธรรม จากนั้นก็ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบปี บรรลุขั้นบำเพ็ญจากยางชี่เป็ฟ่าเซี่ยงได้ จึงทำให้เขาคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเป่ยจิ้ง
เพราะมีโจวฟูจื่อคนนี้อยู่ ชื่อเสียงของสำนักศึกษาลิ่วเยิ่นก็เริ่มกลายเป็ที่รู้จัก จากนั้นเพียงหนึ่งพันปี ก็สามารถถีบตัวเองจากสำนักศึกษาเล็กๆ ให้กลายเป็สำนักที่มีพลังพอจะเข้าชิงหนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งเป่ยจิ้งได้…
สำหรับคนที่อยู่เบื้องหน้านี้…
การที่เขาสวมใส่อาภรณ์สีเขียวเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องเป็อาจารย์คนหนึ่งของสำนักศึกษาลิ่วเยิ่นเป็แน่ ถือว่ามีฐานะทัดเทียมกับผู้าุโของสำนักเวิ่นเจี้ยนเลยทีเดียว…
‘แต่ดันโผล่ออกมาเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกันนะ?’
‘เป็ถึงอาจารย์ของสำนักศึกษาลิ่วเยิ่นเชียวนะ แต่เื่แค่นี้ กลับไม่รู้เลยงั้นหรือ?’
‘การโผล่ออกมาขณะที่คนอื่นกำลังเด็ดสมุนไพรมันเป็เื่ที่ไม่สมควร…’
‘หรือบางที…’
‘จงใจงั้นหรือ?’
‘หากเป็เช่นนั้น ก็คงมีเจตนามาหาเื่สินะ’
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเฟยก็เหล่มองผู้บำเพ็ญวัยกลางคนอีกครั้ง จากนั้นก็แอบเก็บกล่องหยกเข้ากระเป๋าเฉียนคุนอย่างเงียบๆ…
“หึหึ ข้าเว่ยจงซูเป็อาจารย์ของสำนักศึกษาลิ่วเยิ่น…” ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนเอ่ยแนะนำตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทำให้คนมองเกิดความรู้สึกสำราญใจราวกับอาบลมวสันต์เลยทีเดียว ขณะที่เดินเข้ามา ก็ยังมิวายเอ่ยเตือนหลินเฟยด้วยรอยยิ้ม
“เ้าเป็ศิษย์สำนักไหนหรือ ที่นี่อันตรายมากนะ ผู้าุโที่สำนักยอมปล่อยเ้ามาคนเดียวได้อย่างไร?”
“คารวะผู้าุโ ข้าชื่อเวินโหว มาจากหุบเขาหมื่นอสูร” หลินเฟยยังคงแอบอ้างหน้าตายเช่นเดิม…
“ที่แท้ก็เป็ศิษย์จากหุบเขาหมื่นอสูรนี่เอง บังเอิญไม่น้อยเลยนะ ข้าเองก็สนิทกับปรมาจารย์เหยียนเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็มิตรสหายกันมานานเลยล่ะ…” ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนพยักหน้าลงน้อยๆ ส่วนน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็เจือไปด้วยความเป็ห่วง
“จริงสิเ้าหนุ่ม เมื่อครู่นี้เ้ากำลังจะเด็ดดอกไม้บางอย่างสินะ ดอกนั่นดูเหมือนดอกจื่อถานม่วงก็จริง แต่ก็ต้องระวังให้มากเลยเชียว เพราะที่แห่งนี้ประหลาดและลึกลับเป็อย่างมาก หากพลาดพลั้งขึ้นมาละก็ สิ่งที่เด็ดได้นั้น บางทีอาจจะไม่ใช่ดอกไม้ แต่เป็ยาพิษร้ายแรงก็ได้นะ… “
“หือ?”
เมื่อสิ้นเสียงคนตรงหน้า หลินเฟยก็มึนงงทันที ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนเห็นดังนั้นก็หัวเราะน้อยๆออกมา ก่อนจะเอ่ยเสริมขึ้น
“โชคดีนะ ที่เ้าได้มาเจอข้าเสียก่อน ในฐานะที่ข้าเป็สหายกับปรมาจารย์เหยียน จึงไม่อาจทนดูศิษย์ของสหายเจอเคราะห์ร้ายได้ เ้าจงเอาดอกไม้เมื่อครู่ออกมาเถิด เดี๋ยวข้าจะช่วยดูให้เองว่าเป็ดอกไม้หรือยาพิษกันแน่ หากเป็ดอกจื่อถานม่วงจริง ข้าจะช่วยเ้าหลอมยาลูกกลอนทงเทียนหนึ่งเม็ดให้เอง…”
“ยาลูกกลอนทงเทียนหนึ่งเม็ดงั้นหรือ?” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ตะลึงจนอ้าปากตาค้างเลยทีเดียว ที่เป็เช่นนี้ก็เพราะหลินเฟยรู้ดีว่าหากนำดอกจื่อถานม่วงมาหลอมยาลูกกลอนละก็ อย่างน้อยๆหนึ่งเตาก็สามารถหลอมยาได้ถึงสิบสองเม็ดเลยทีเดียว แต่คนผู้นี้กลับคิดจะมุบมิบยาลูกกลอนสิบเอ็ดเม็ดไว้เป็ของตน…
‘ให้ตายเถอะ ขนาดร้านหลอมอาวุธฟานซื่อยังไม่ชั่วร้ายเท่านี้เลยนะ…’
แต่ในสายตาผู้บำเพ็ญวัยกลางคนแล้ว กลับเข้าใจว่าที่หลินเฟยตะลึงจนอ้าปากตาค้าง ก็เป็เพราะได้ยินชื่อยาลูกกลอนทงเทียน เพียงครู่เดียวก็หัวเราะน้อยๆออกมา ก่อนจะเอ่ยตามมา
“การที่เ้าได้เจอข้าในวันนี้ ถือว่าเป็โชควาสนาของเ้า ยาลูกกลอนทงเทียนหนึ่งเม็ดนี้สามารถช่วยให้จิติญญาแข็งแกร่งขึ้น ไม่เกรงกลัวทั้งอัสนี เปลวไฟ สายลมและสายน้ำ เรียกได้ว่าหากมียาลูกกลอนนี้ในมือ ก็ไม่ต้องกังวลสี่เคราะห์ในขั้นมิ่งหุนอีกแล้ว เช่นนั้นก็จะสามารถบรรลุขั้นจิงตันได้สบายๆ…”
“…”
“แต่ว่าจงจำให้ขึ้นใจล่ะ ครั้งนี้ข้าเห็นแก่หน้าปรมาจารย์เหยียนจึงยอมช่วยเหลือเท่านั้น ดังนั้นวันหน้าก็อย่ามารบกวนข้าอีก…”
“เอ่อ คือว่า…” หลินเฟยกำลังจะอ้าปากเอ่ย แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินเข้ามา จากนั้นใบหน้าก็ถอดสีลง เขาจึงหันไปมองทางดงไม้ทันที แล้วก็พบว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา…
ผู้มาใหม่อายุราวสามสิบกว่าปีเห็นจะได้ มีรูปร่างค่อนข้างเตี้ย ส่วนใบหน้ามีเหลี่ยมมุมชัดเจน หูกางใหญ่แต่ดวงตาแวววาวกลับเล็กจ้อย ดูเ้าเล่ห์ไม่น้อย เมื่อมองดูดีๆ ก็พบว่าผู้ที่เข้ามาใหม่ก็เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเช่นกัน…
ขณะที่คนผู้นี้เดินออกมาจากดงไม้ เมื่อเห็นเว่ยจงซูก็ชะงักลงไปชั่วขณะ เหมือนกับไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันที่นี่ ทว่าหลังจากกลอกตาเพียงครู่เดียว ผู้มาใหม่คนนั้นก็หันมาจับจ้องหลินเฟยแทน จากนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนสีทันที
“เป็เ้างั้นหรือ!”
“หา?” หลินเฟยได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเองก็ชะงักทันที
‘นี่มันเื่อะไรกัน?’
ทันใดนั้นเอง หลินเฟยก็ทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่เกาหัวก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“รู้จักข้าด้วยหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” ผู้มาใหม่ก้าวเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ข้าจิงต้าไห่จากสำนักหนานิอย่างไรเล่า!”
หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็มึนงงเข้าไปอีก
“สำนักหนานิงั้นหรือ?”
“…” จิงต้าไห่ถึงกับไม่ออกเลยทีเดียว พอเห็นอีกฝ่ายจำไม่ได้ ก็รีบอธิบายออกมาทันที
“ทำไมถึงลืมกันได้เล่า ประมาณครึ่งเดือนก่อน จุดชีพจรหินิญญาของสำนักหนานิที่เ้าขนไปทั้งหมดอย่างไรเล่า ลืมไปแล้วหรือ!”
ส่วนน้ำเสียงที่พูดนั้น ยังแฝงไปด้วยความน้อยใจอีกด้วย…
“…” เมื่อหลินเฟยได้ยินดังนั้น ก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก
‘บ้าเอ๊ย ผู้เสียหายบุกมาถึงที่แล้ว…’
เมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง เขาก็จำได้ว่ามีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ
ประมาณครึ่งเดือนก่อน เพื่อที่จะบำเพ็ญคัมภีร์โครงกระดูกแล้ว หลินเฟยจึงเที่ยวตระเวนปล้นชิงของวิเศษกับเวินโหวไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็จุดชีพจร สมุนไพรหรือของวิเศษ ล้วนปล้นชิงโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็อะไรทั้งนั้น และดูเหมือนว่าจะเคยปล้นชิงสำนักหนานิจริงๆ จำได้ว่าหลังจากปล้นสามสำนักใหญ่แล้ว ระหว่างทางก็เจอคนกำลังขุดเจาะจุดชีพจรหินิญญาพอดี เห็นว่าไหนๆก็เป็ทางผ่านแล้ว จึงแวะเข้าไปปล้นเสียหน่อย พอไปถึงหลินเฟยก็ไม่รอช้า ปลดปล่อยกระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่ออกไปสะกดคนของสำนักหนานิเอาไว้ทันที ก่อนจะบงการคัมภีร์โครงกระดูกปกคลุมไปทั่วจุดชีพจร จากนั้นก็ดูดเข้าไปทั้งจุดชีพจรเลยทีเดียว…
สำหรับเ้าของจุดชีพจรคือใครนั้น หลินเฟยเองก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด…
ทว่าตอนที่หนีออกมา เหมือนคลับคล้ายคลับคลา ได้ยินมีคนะโว่าสำนักหนานิอะไรสักอย่าง…
“ใช่ๆ สำนักหนานิ ข้านึกออกแล้ว…” ที่จริงจะโทษหลินเฟยก็ไม่ได้ เพราะตอนนั้นเขาเที่ยวปล้นชิงไปทั่ว แม้แต่สามสำนักใหญ่ยังโดนปล้นชิงทุกวัน จึงไม่ใช่เื่แปลกที่จะจำสำนักหนานิไม่ได้ถูกไหมล่ะ?
“ในที่สุดก็นึกออกเสียที!” จิงต้าไห่ได้ยินเช่นนั้น ก็ยกยิ้มหน้าระรื่นขึ้นมาทันที
“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันที่นี่ ช่างบังเอิญเสียจริง…”
“นั่นสิ บังเอิญจัง!”
คนหนึ่งก็คือผู้เสียหาย ส่วนอีกคนก็คือโจรผู้ปล้นชิง ทว่าคำพูดที่โต้ตอบกัน กลับดูเหมือนการสนทนาทั่วๆไป ทันใดนั้นเองเว่ยจงซูที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รู้สึกทนดูไม่ไหวขึ้นมาทันที!
“ศิษย์น้องเป็ผู้าุโของสำนักหนานิหรอกหรือ ใช่ศิษย์น้องจิงที่เป็ผู้คุมระฆังพันอัสนีใช่หรือไม่?” เว่ยจงซูยกมือคารวะ ก่อนจะแนะนำตัวด้วยความสุภาพ
“ส่วนข้าเว่ยจงซูจากสำนักศึกษาลิ่วเยิ่น!”
-----------------------------------------------------------------------------