กระบี่ของกู้จวิ้นเฉินร่ายรำรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ คมกระบี่นั้นเฉียบคมและรุนแรง มันเต็มไปด้วยจิตสังหาร ทว่าสายตาของเขาเยียบเย็นยิ่งกว่า คมกระบี่หนักแน่น สายตาดุจมีประกายไฟ
หลี่ลั่ว เขาเป็ใครกันแน่?
เด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่ง ขวัญกล้าเช่นนี้ จิตใจละเอียดอ่อน อีกทั้งยังมีปฏิภาณไหวพริบ
กู้จวิ้นเฉินมีชาติกำเนิดสูงส่ง เป็ทายาทสายตรงของไท่จื่อ หลานแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ก่อน พระโอรสองค์เล็กของเสด็จพ่อ...จนกระทั่งมาถึงท่านอ๋องฉี เป็พระราชนัดดาที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ดูราวกับว่าทุกๆ ครอบครัวล้วนไม่แตกต่างกัน บุตรชายคนโตนั้นมีไว้เพื่อสืบทอดกิจการงานของครอบครัว ส่วนบุตรชายคนเล็กนั้นมีไว้เพื่อรักและเอ็นดู กู้จวิ้นเฉินเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
การก่อฏเมื่อครั้งหกปีก่อนนั้น ทำให้เขาสูญเสียคนที่ใกล้ชิดที่สุดในครอบครัว เสด็จพ่อ พี่ชาย...
“ท่านอ๋อง” เสียงของจวิ้นอีลอยมาจากด้านนอก
ฟิ้ว...กระบี่ในมือของกู้จวิ้นเฉินหมุนคว้างออกจากมือของเขาตรงเข้าไปสู่ฝักกระบี่ เขาถอดอาภรณ์ออกแล้วก้าวเข้าไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อน “เข้ามา”
ปริมาณน้ำในบ่อน้ำพุร้อนสูงเพียงต้นขาของกู้จวิ้นเฉิน แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างสาดส่องเข้ามา ทำให้เห็นเงาร่างของเขาในผืนน้ำ แสงจันทร์สีเงินครอบคลุมร่างของเขาเอาไว้ ท่านอ๋องฉีภายใต้เงาแสงจันทร์นั้นช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจคนจนไม่สามารถลืมตามองตรงๆ ได้
“บ่าวมารายงานพ่ะย่ะค่ะ วันนี้จวนจงหย่งโหวเกิดเื่ขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของจวิ้นอีนั้นนิ่งเฉยมาก เขาเป็ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง แต่กลับมีลักษณะเหมือนหมอกควันสีดำทั่วทั้งตัวมองเห็นเป็สีดำๆ ไปหมด เขาเป็หัวหน้าหน่วยองครักษ์ของกู้จวิ้นเฉิน ยามปกติเงียบขรึม พูดน้อย ตัวตนของเขานั้นน้อยคนนักที่จะรู้ แต่ความมีอยู่ของเขาเปรียบเสมือนขุนเขาลูกหนึ่ง ไม่ว่ากู้จวิ้นเฉินจะพบเจอกับอุปสรรคอันใด เขาจะใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุด หัวใจที่จงรักภักดีที่สุด คอยต้านรับอยู่ข้างหน้ากู้จวิ้นเฉิน
ชื่อของจวิ้นอี[1]นั้นกู้จวิ้นเฉินเป็ผู้ตั้งให้ ตั้งจากชื่อของเขา เป็ที่หนึ่งไม่มีสอง ที่คนทั่วไปเกรงกลัวกู้จวิ้นเฉิน ไม่ใช่เพียงเพราะว่าจ้าวหนิงฮ่องเต้รักและเอ็นดูเขาเท่านั้น ในฐานะที่เขาเป็บุตรชายที่หลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของไท่จื่อเยี่ยน หลังจากที่ไท่จื่อเยี่ยนสิ้นชีวิตลง อำนาจที่มีอยู่ในมือย่อมตกมาอยู่ในมือของกู้จวิ้นเฉิน กำลังความสามารถนี้ต่างหากเล่าที่น่าเกรงกลัว
แต่สำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี ต่อให้มีอำนาจและบารมีสูงส่งยิ่งใหญ่กว่านี้แล้วจะทำอันใดได้เล่า?
“เล่ามาให้ฟังซิ” กู้จวิ้นเฉินนั่งพิงขอบบ่อน้ำพุร้อน กลางบ่อน้ำมีจานรองใบหนึ่งลอยอยู่บนน้ำ บนจานใบนั้นมีเหล้าวางอยู่กาหนึ่ง กลิ่นหอมที่อวลออกมานั้นเป็กลิ่นหอมจากผลไม้ เหล้ากานั้นก็คือเหล้าองุ่นที่หลี่ลั่วให้กู้จวิ้นเฉินมา กู้จวิ้นเฉินดื่มมันอย่างเชื่องช้า มีเพียงบางครั้งที่อยากดื่มหนักจึงกระดกดื่มเข้าไปหลายอึก
ตลอดมาเขาเป็คนที่มีสติแจ่มใสอยู่เสมอ น้อยครั้งนักที่เขาจะดื่มหนัก แต่จากคำพูดของเด็กน้อยในวันนี้ ดูจากภายนอกแล้วเขาอาจจะเหมือนสงบนิ่งไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ความจริงแล้วเสมือนมีะเิลูกหนึ่งร้อนระอุอยู่ในอก หัวใจของเขาที่แช่แข็งมาเป็เวลาหกปีถูกะเิเสียจนจิตใจสับสนวุ่นวายและร้อนรุ่มขึ้นมาเสียแล้ว
พิษในร่างของเขา สามารถถอนพิษได้จริงหรือ?
หากว่ายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ผู้ใดเล่าจะเลือกเส้นทางของความตาย? กู้จวิ้นเฉินไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่อยากละทิ้งการมีชีวิตอยู่ไปอย่างง่ายดายเช่นกัน
“หลังจากที่เสี่ยวโหวเหฺยกลับไปถึงจวน...ต่อมาไห่กงกงก็นำหลิวย่วนเจิ้งและหมอหลวงท่านอื่นมาที่จวนโหว...” จวิ้นอีเล่าเื่ราวที่ได้รับรายงานมาจากผู้ใต้บังคับบัญชาให้กู้จวิ้นเฉินฟังอย่างไม่ตกหล่นสักคำ
หืม? กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา
จวิ้นอีรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก หลังจากที่เกิดเื่เมื่อหกปีก่อนขึ้นมา เขาเพิ่งจะได้ยินเ้านายของตนหัวเราะอย่างเบิกบานใจเช่นนี้เป็ครั้งแรก
“อายุสามขวบปูพื้นฐาน ห้าขวบท่องกวี จวิ้นอี จงหย่งโหวของพวกเราช่างมีความมั่นใจและหยิ่งผยองขนาดไหนกัน” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
จวิ้นอีคิดในใจ จงหย่งโหวยังไม่ใช่ของพวกเราเสียหน่อย “เสี่ยวโหวเหฺยเป็คนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ฝีปากเฉียบคมยิ่งนัก เื่แล้วเื่เล่า ความสามารถในการเอ่ยวาจานั้นคนธรรมดาสามัญเปรียบเทียบไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เป็คนที่ล้ำเลิศเสียจริงๆ เป็เด็กน้อยที่ไม่มีรากฐานเลยสักนิด ยังสามารถมีวาสนาได้รับความโปรดปรานจากเสด็จอา และไม่ใช่เพียงแต่เป็เพราะความสัมพันธ์ของหลี่ซวี่เท่านั้น เขาฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ สติปัญญามิใช่คนธรรมดาทั่วไปจะเปรียบเทียบได้ ฟังจากที่เ้าพูดแล้ว วันนี้แต่ละก้าวนั้นเชื่อมโยงต่อกัน ขณะที่เขาทำเื่แรกก็ได้เตรียมการในเื่ที่สองแล้ว และแต่ละก้าวก็ได้วางแผนเชื่อมต่อกันเป็อย่างดี ฉลาดจริงๆ เป็ขุนนางที่ซื่อสัตย์ไปชั่วชีวิต...” กู้จวิ้นเฉินดื่มเหล้าอีกอึกหนึ่ง ไม่เอ่ยอันใดอีก เขาหลับตาลง ที่ปลายขนตามีละอองหมอกควันเกาะอยู่ แลดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
เป็ขุนนางที่ซื่อสัตย์ไปชั่วชีวิต...
ห้วงคำนึงในสมองของเขามองเห็นภาพของหลี่ลั่วที่กระหยิ่มยิ้มย่อง ดีใจจนลืมตัว คิดได้ดังนั้นแล้วมุมปากก็พลันค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นมา
เช้าวันถัดมาในท้องพระโรง
“เฉิน[2]มีฎีกากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ เ้ากรมพิธีการดูแลวัดกวงลู่ หลี่เนี่ยนจู่ รักอนุฆ่าภรรยาพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เหล่าไท่เหฺยหน้าแดง “ตลอดมาตุลาการสูงสุดพูดอย่างเป็อีกอย่างเสมอ แต่หาก้าจะพูดสิ่งใดแล้วต้องมีหลักฐาน ข้ามีเพียงหนึ่งภรรยาหนึ่งอนุ อนุได้เสียชีวิตไปแล้ว จะมีรักอนุฆ่าภรรยามาจากที่ไหนกัน?”
อวี้สื่อ[3]จางนั้นได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว “ภรรยาคนที่สองนั้นนับเป็อนุเช่นกัน ได้ยินมานานแล้วว่าหลี่โหวเหฺยหลี่ซวี่อายุเพียงสิบขวบก็ออกจากบ้านไปเข้าร่วมกับกองทัพด้วยเหตุที่มารดาเลี้ยงในเรือนทารุณนัก ทุกคนต่างก็รู้ แคว้นของเรานั้นมีเด็กหนุ่มที่ไหนอายุสิบขวบต้องไปเข้าร่วมกองทัพกัน? หากมิใช่แม่ทัพใหญ่รับตัวเอาไว้ เกรงว่าเขาคงจะตายอยู่ในสนามรบไปนานแล้ว ใต้เท้าหลี่ หากไม่ใช่รักอนุฆ่าภรรยาแล้วคืออันใดกันเล่า?”
“ท่านพูดจาเหลวไหล ซวี่เกอเอ๋อร์มีนิสัยไม่ชอบอยู่ร่วมกับผู้อื่น ไม่เชื่อฟัง และไม่ชอบเรียนหนังสือ เขาออกจากบ้านไปเอง ไฉนจึงกลายเป็ข้ารักอนุฆ่าภรรยาไปได้เล่า?” หลี่เหล่าไท่เหฺยย้อนถาม
“ใต้เท้าหลี่ ที่เอ่ยคำพูดมานี้หน้าไม่แดงบ้างหรือไร?” หยางต้าฮ่านหลินกล่าว “หลี่โหวเหฺยนั้นเป็วีรบุรุษผู้กล้า แล้วยังเป็ขุนนางทหารผู้ซื่อสัตย์กล้าหาญ แม้ว่าเขาจะได้จากไปแล้ว แต่ชื่อเสียงของวีรบุรุษนั้นไม่อนุญาตให้ท่านมาทำให้ต้องด่างพร้อย ต่อให้ท่านจะเป็บิดาของเขาก็ตาม”
หยางต้าฮ่านหลินและหลี่เหล่าไท่เหฺยนั้นเป็ครอบครัวที่เป็ดองกัน บัดนี้มีละครให้ดูแล้ว
แต่มันก็น่าสนุกจริงๆ บิดาของตนกล่าวว่าบุตรชายตนเองไม่ดี แล้วพ่อตายังออกหน้ามาพูดจาแก้ต่างแทนบุตรเขยอีก สกุลหลี่ช่างเป็ครอบครัวที่แปลกประหลาดยิ่ง ตลอดมามีแต่พ่อตาออกมาพูดว่าบุตรเขยไม่ดี
“ท่าน...” หลี่เหล่าไท่เหฺยถูกหยางต้าฮ่านหลินตอกกลับด้วยคำพูดเช่นนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก
“ใต้เท้าหลี่รักอนุฆ่าภรรยาในประเด็นที่สองนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดี ใต้เท้าหลี่รับครอบครัวบุตรชายของอนุที่เกิดกับสามีคนก่อนมาอยู่ในเรือนด้วย ทั้งยังช่วยให้หลานชายที่เกิดจากอนุและสามีคนก่อนรังแกหลานสาวแท้ๆ ของตนเอง นี่ไม่ใช่รักอนุฆ่าภรรยาแล้วจะเป็อันใดได้อีกเล่า?” อวี้สื่อจางกล่าว
“อวี้สื่อจาง คำกล่าวนี้เป็คำพูดที่ไม่ถูกนัก” หยางต้าฮ่านหลินเอ่ยปาก
“ใช่แล้ว คำพูดของอวี้สื่อจางมีความเข้าใจผิดอยู่ ข้าไปช่วยข่ายเกอเอ๋อร์รังแกหลานสาวของตนเองั้แ่เมื่อใดกัน ข้าไม่รู้เื่ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย” หลี่เหล่าไท่เหฺยแก้ต่างให้ตนเอง
“ผิดแล้ว” หยางต้าฮ่านหลินเอ่ยปาก “ข้อหารักอนุฆ่าภรรยานั้นเป็ความจริง ทว่าใต้เท้าหลี่มิได้รับครอบครัวสกุลหยวนเข้าไปในเรือน แต่กลับรับเข้ามาอยู่ในเรือนของบุตรีและบุตรเขยของข้า เรือนของเขาคือคฤหาสน์สกุลหลี่ มิใช่จวนจงหย่งโหว”
“นี่ท่าน...” หลี่เหล่าไท่เหฺยโมโหแทบตาย หยางต้าฮ่านหลินผู้นี้ปกติไม่พูดไม่จา แต่เมื่อเอ่ยปากขึ้นมาแล้วช่างไม่ไว้หน้าผู้ใดเลยจริงๆ
“ฝ่าา” หยางต้าฮ่านหลินคุกเข่าลง “เฉินขอฟ้องร้อง ใต้เท้าหลี่รังแกข่มเหงเด็กกำพร้าหญิงม่าย บุตรเขยของเฉินและใต้เท้าหลี่นั้นแยกเรือนกันนานแล้ว พวกเขาฉวยโอกาสที่บุตรเขยของเฉินเสียชีวิตลงเข้าไปยึดจวนโหวแล้วไม่ยอมย้ายออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพูดจาเหลวไหล ข้าอาศัยอยู่ในเรือนของลูกชายข้าแล้วเป็เช่นใดเล่า?” หลี่เหล่าไท่เหฺยย้อนถาม
“ก็มิมีอันใดหรอก ทว่าเฉินตรวจสอบดูแล้ว คฤหาสน์ของใต้เท้าหลี่นั้นเป็คฤหาสน์ขนาดใหญ่ ภายในมีเรือนย่อยอีกสี่เรือน เหตุไฉนจึงไม่อาศัยอยู่ในเรือนของตนเอง จำต้องไปอยู่ในจวนโหวของบุตรเขยเสียให้ได้? หากจะบอกว่าจวนโหวจะเลี้ยงดูท่านนั้นก็สมเหตุสมผลอยู่ เช่นนั้นบุตรชายคนโตของท่าน บุตรชายคนที่สามของท่าน รวมไปถึงบุตรชายของอนุที่เกิดจากสามีคนก่อนอีกเล่า? เช่นนี้มิใช่พวกท่านรังแกที่บุตรเขยของข้าเสียชีวิตไปแล้วจึงคิดจะยึดครองจวนโหวหรอกหรือไร?” คำพูดของหยางต้าฮ่านหลินบีบเขาทุกทาง คำพูดเหล่านี้หลี่หยางซื่อพูดไม่ได้ หลี่หงเองก็พูดไม่ได้เช่นกัน ความจริงแล้วหลี่ลั่วในฐานะเ้าของจวนโหวเองก็ยังถือว่าเอ่ยปากลำบาก แต่เขาอายุยังน้อย อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนในยุคสมัยโบราณ เขาไม่ใส่ใจเื่ชื่อเสียงเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นต่อหน้าหลี่เหล่าไท่เหฺย แต่เมื่อเป็หยางต้าฮ่านหลินเป็ผู้พูดออกมานั้นจึงเหมาะสมยิ่งนัก ด้วยเขากับหลี่เหล่าไท่เหฺยอยู่ในวัยเดียวกัน ซ้ำยังเป็ครอบครัวที่เกี่ยวดองกัน
“ท่านช่างเป็คนไร้เหตุผลสิ้นดี” หลี่เหล่าไท่เหฺยสะบัดแขนเสื้อ “และครอบครัวสกุลหยวนนั้นก็เข้ามาอยู่ในจวนโหวแค่เป็การชั่วคราว พวกเขามาทำการค้าในเมืองหลวง ในเมื่อสามารถช่วยเหลือได้ก็ให้ความช่วยเหลือสักเล็กน้อยแล้วจะเป็อันใดไปเล่า?”
“มาอยู่เป็การชั่วคราวหรือ การเข้ามาอยู่เป็การชั่วคราวนี้ของพวกท่านกินเป็เวลาถึงห้าปี เกรงว่าการมาอยู่ชั่วคราวจะกลายมาเป็อยู่ถาวรเสียแล้วกระมัง?” คำพูดของหยางต้าฮ่านหลินนี้เก็บอัดอั้นอยู่ในใจของเขามาเป็เวลาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนที่หลี่ซวี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาพูดไม่ได้ ต่อมาหลี่ซวี่ตายไป ตำแหน่งโหวยังไม่ได้กำหนดแน่นอน บุตรสาวเขานั้นเป็สตรีที่อยู่ในกรอบตลอดเวลา และยังต้องพึ่งพาครอบครัวสกุลหลี่อีก ดังนั้นจึงพูดไม่ได้ ต่อมาเมื่อหลี่ลั่วกลับเข้าสู่สกุล บุตรสาวตนถูกบีบบังคับให้ไปอยู่สำนักแม่ชี เขาก็ยังพูดไม่ได้อีก เื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นเขาได้ไปสืบข่าวมาแล้ว คำพูดของหลี่ลั่วทำให้เขาคิดตก ราวกับช่วยหยิบเส้นผมที่บดบังดวงตาของเขาอยู่ออกไป หลานตาคนนี้ของเขาช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก และเมื่อมีคำพูดของหลี่ลั่วที่ได้พูดไว้เมื่ออยู่หน้าจวน คำพูดจากปากเขาวันนี้ย่อมสมเหตุสมผลเป็อย่างยิ่งที่จะกล่าวออกมา
อวี้สื่อจางนั้นเป็มิตรที่ดีของเขา อวี้สื่อกับฮ่านหลิน[4]นั้นเป็ขุนนางผู้ซื่อสัตย์สุจริตเหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็มิตรที่ดีต่อกัน แต่วันนี้ต่อให้อวี้สื่อจางไม่เป็ฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน ก็ย่อมมีอวี้สื่อท่านอื่นๆ เอ่ยปากแน่นอน หากอวี้สื่อพูดจาโดยไม่ดูทิศทางลมแล้ว เช่นนั้นความมีตัวตนก็ไร้ค่า ดังนั้นต่อให้ใต้หล้าสงบสุขกว่านี้ อวี้สื่อก็ต้องออกมาปรากฏกายสักหน่อย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมีตัวตนของตัวเอง
“ท่านวางใจเถิด ครอบครัวสกุลหยวนจะย้ายออกไปวันนี้” หลี่เหล่าไท่เหฺยกล่าว
“ย้ายไปที่ไหนเล่า?” หยางต้าฮ่านหลินถาม
“จวนชิ่งป๋อ” หลี่เหล่าไท่เหฺยกล่าว
ชิ่งป๋อเหฺยอยู่ในท้องพระโรงเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เหล่าไท่เหฺยก็พลันกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ครอบครัวสกุลหยวนจะย้ายไปอยู่ที่จวนชิ่งป๋อั้แ่เมื่อใดกัน?
หยางต้าฮ่านหลินมองไปที่ชิ่งป๋อเหฺย จากนั้นจึงหัวเราะออกมา “ก็ใช่ จวนชิ่งป๋อเป็ญาติฝ่ายมารดาของครอบครัวสกุลหยวน ชิ่งป๋อเหฺยเป็ท่านน้าแท้ๆ ของสกุลหยวน มีญาติฝ่ายมารดากลับไม่ไปอยู่อาศัย มีเหตุผลอันใดไปอาศัยอยู่ในเรือนหลานชายของมารดาที่แต่งงานใหม่” อย่าได้มองว่าในยามปกตินั้นฮ่านหลินเป็คนสุภาพทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้เพียงเท่านั้นเชียว ฝีปากที่ไม่ละเว้นผู้ใดนี้ยังคงมีอยู่ ต่อมาหยางต้าฮ่านหลินยังหันไปเอ่ยกับชิ่งป๋อเหฺยอีกว่า “ป๋อเหฺย ท่านว่าถูกต้องหรือไม่?”
ชิ่งป๋อเหฺยอ้าปากเหมือนจะกล่าวว่าไม่ถูกต้อง ใครเล่าจะชมชอบให้หลานนอก[5]มาอยู่ในเรือนของตน? แม้หลี่เหล่าไท่ไท่จะเป็น้องสาวแท้ๆ ของเขา แต่น้องสาวคนนี้เป็คนร้ายกาจเสมอมา ชิ่งป๋อเหฺยเกรงกลัวนางยิ่งนัก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหนิงฮ่องเต้และขุนนางทั้งท้องพระโรง เขาจึงไม่สามารถเอ่ยปากปฏิเสธออกมาได้ ได้แต่พยักหน้า “ใต้เท้าหยางกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
“พอได้แล้ว” จ้าวหนิงฮ่องเต้เอ่ยปาก “ที่นี่คือท้องพระโรง ไม่ใช่สถานที่ให้พวกเ้ามาปรึกษาหารือปัญหาภายในครอบครัว”
“เฉินสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เหล่าไท่เหฺย หยางต้าฮ่านหลิน และชิ่งป๋อเหฺยล้วนคุกเข่าลง
“หลี่เนี่ยนจู่ เ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่กลับจัดการเื่ต่างๆ ในเรือนหลังได้ไม่ดี เช่นนั้นเื่ของราชสำนักเ้าจะจัดการได้ดีหรือไม่?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ย้อนถาม
“ขอฝ่าาลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“รอให้เ้าจัดการเื่ในเรือนหลังให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาประชุมเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าาที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
“เลิกประชุมได้ เว่ยเหวินชิงอยู่ก่อน” เว่ยเหวินชิงคือเสนาบดีกรมขุนนาง ซึ่งกรมขุนนางนี้บริหารเกี่ยวกับการสอบ เลื่อน ลด ปลด ย้ายขุนนางทั้งหมด เป็เสนาบดี (อาลักษณ์) ผู้รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสอง
“พ่ะย่ะค่ะ”
ณ ห้องทรงพระอักษร
“กระหม่อมเว่ยเหวินชิงถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ยกมือขึ้น “นั่งเถิด การสอบของขุนนางในตำแหน่งต่างๆ เป็เช่นใดบ้าง? ปลายปีนี้จะมีการโยกย้ายแล้ว”
[1] จวิ้นอี (郡一) ตัวอักษรตัวแรกเป็จวิ้นตัวเดียวกับชื่อของกู้จวิ้นเฉิน ส่วน อี หมายถึง เลขหนึ่ง ลำดับที่หนึ่ง
[2] เฉิน (臣) เป็คำที่ขุนนางใช้เรียกแทนตนเองขณะพูดจาสนทนากับฮ่องเต้
[3] อวี้สื่อ (御史) คือ ตำแหน่งตุลาการสูงสุดของกรมยุติธรรม
[4] ฮ่านหลิน (翰林) หรือ ฮ่านหลินย่วน คือสำนักราชบัณฑิต สำนักป่าพู่กัน ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานด้านเอกสารภายในวังร่วมกับขุนนางฝ่ายบริหารทั้งหกกรม ทั้งหกกรมและสำนักราชบัณฑิตนี้จะถูกเรียกรวมกันว่า เน่ยเก๋อ (内阁)
[5] หลานนอก (外孙) หมายถึง หลานที่เกิดจากลูกสาวของครอบครัว, หลานที่เกิดจากลูกชายเรียกว่า หลานใน