แม้ว่าไทเฮาจะไม่สุขุมเยือกเย็นเท่าฮองเฮา แต่นางก็ไม่หยิ่งผยองหรือใจร้อน
อย่างไรนางก็สามารถควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านได้อย่างเหมาะสม ข่มโทสะที่พร้อมจะพุ่งออกมาได้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งนี่ก็เป็เงื่อนไขที่หญิงสาวในวังหลังต้องมี
สามารถอยู่บนตำแหน่งอันสูงส่งได้ตลอดรอดฝั่ง ไทเฮาย่อมรับมือไม่ง่ายนัก นางไม่ได้ไร้ความสามารถ
ลมที่พัดเย็นระรื่นผสานฝนปรอยๆ [1] ตามมาด้วยคำพูดที่คุ้นชิน ในที่สุดก็สามารถทำให้สิ่งต่างๆ สงบลงได้ นี่คือจุดแข็งที่โดดเด่นที่สุดของไทเฮา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นเห็นไทเฮาใช้อุบายเช่นนั้น ยามนี้นางสามารถพูดได้อย่างใจเย็น นางย่อมไม่สร้างปัญหาให้พวกของมู่จื่อหลิงอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น ในยามนี้ฮ่องเต้เหวินอิ้นไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะจัดการกับเื่เล็กน้อยเหล่านี้ อีกทั้งวันนี้ไทเฮาทรงทนทุกข์ทรมานกับความคับแค้นใจมามากพอแล้ว ดังนั้นจึงต้องให้โอกาสนางได้มีทางไป
ไทเฮายุยงให้หมอหลวงหลินใช้เล่ห์กับฮ่องเต้ จุดไฟเผาเมืองเพื่อกำจัดโรคระบาด จากนั้นจึงตีสองหน้าใช้สามดาบ [2] ตำหนิฮ่องเต้ที่ไม่สนใจประชาชน
การโต้กลับของไทเฮา ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ทราบดี หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป จะกลายเป็เื่ขบขันในใต้หล้า
ดังนั้น ฮ่องเต้เหวินอิ้นจึงโบกพระหัตถ์อย่างกระวนกระวายใจ ตรัสด้วยน้ำเสียงสงบ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ อีกทั้งหมอหลวงหลินยังยอมรับความผิดพลาดด้วยความจริงใจ คราวนี้เจิ้นละเว้นโทษให้”
วิธีการของฮ่องเต้เหวินอิ้นเป็ไปตามที่มู่จื่อหลิงคาดไว้
หลังจากทุกสิ่งมาถึงจุดนี้แล้ว ในฐานะฮ่องเต้ พระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรไทเฮาเสียหน้าโดยไม่หวั่นไหวได้
ยามนี้ ฮ่องเต้เหวินอิ้นเองไม่สามารถปล่อยให้ไทเฮาอับอายต่อไปได้อีก ไม่เช่นนั้น แม้ว่าไทเฮาจะทรงมีพระประสงค์ร้าย ท้ายที่สุดแล้วปลายหอก [3] ก็จะเอนเอียงมาทางฮ่องเต้ ซึ่งจะเป็ผลร้ายมากกว่าผลดี
หมอหลวงหลินผู้คุกเข่าอยู่บนพื้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนตนจะได้รับการอภัยโทษแล้ว เขารีบก้มหัวลงคำนับทันที “ขอบพระทัยฝ่าา ขอบพระทัยไทเฮา...”
อย่างไรก็ตาม ไม่รอให้หมอหลวงหลินกล่าวขอบคุณ ไทเฮาทรงฝืนยิ้มออกมาบางๆ มองลงมาที่หมอหลวงหลินซึ่งยังคุกเข่าอยู่ แสดงนัยว่าตนเป็ผู้มีความยุติธรรมและศักดิ์ศรี “แม้ว่าเ้าจะได้รับการอภัย แต่เ้าสามารถกล่าวคำไร้สาระเช่นนี้ได้ โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็ยากจะหลีกเลี่ยง”
ยามได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้ ศีรษะที่กำลังค้อมลงต่ำของหมอหลวงหลินชะงักไปทันที มองไทเฮาอย่างสั่นสะท้าน ความยินดีในดวงตาของเขาจางหายไป จากนั้นกลับกลายเป็ร่องรอยของความสับสน
ฮ่องเต้เหวินอิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ทรงฉงนอยู่ชั่วขณะ...ไทเฮาไม่พอใจกับวิธีจัดการที่ชอบธรรมและน่าเกรงขามเช่นนั้นหรือ?
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเยาะเย้ย ดูเหมือนจะเป็รอยยิ้ม แต่ไม่ใช่รอยยิ้ม
แม่มดเฒ่าผู้นี้ร้องเพลงหน้าแดงอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงร้องเพลงหน้าขาวอีกครู่หนึ่ง [4] ไม่มีอะไรแปลกใหม่ที่มีสิ่งเหล่านี้โผล่ออกมาอย่างไม่ขาดสาย
หลังจากเล่นบทคนเลว ก็มาเล่นบทคนดี เมื่อเล่นบทคนดีจบแล้ว ก็ถึงเวลาเล่นตุกติกอีกครั้ง
เก่ง เก่งจริงๆ
โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็ยากจะหลีกเลี่ยงหมายความว่าอย่างไร...มู่จื่อหลิงเย้ยหยันในใจ หากแม่มดเฒ่า้าลงโทษหมอหลวงหลิน เช่นนั้นย่อมมีสิ่งผิดปกติแล้ว
ลองนึกถึงโทษเป็ครั้งนี้ คงเป็อีกหนึ่งเล่ห์กลรูปแบบใหม่ใช่หรือไม่?
เป็จริงอย่างที่คาดไว้!
ไทเฮาหันพระพักตร์ทอดพระเนตรพวกของมู่จื่อหลิงอย่างแ่เบา จากนั้นจึงหันไปทางฮ่องเต้เหวินอิ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีคุณธรรม “อย่างไรหลิงเอ๋อร์ก็กำลังจะไปยังพื้นที่โรคระบาด เช่นนั้นให้หมอหลวงหลินไปกับนางด้วย หากโรคระบาดสามารถรักษาให้หายได้ ถือเสียว่าทำความดีชดเชยความผิดที่บังอาจกล่าววาจาโอหังในครั้งนี้”
สิ่งที่ไทเฮาตรัสออกมาได้กลบเปลวไฟจากการยั่วยุ และกลบบรรยากาศที่ตึงเครียดจากการดูถูกทักษะทางการแพทย์ของมู่จื่อหลิง จนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของหมอหลวงหลินที่ตึงเครียดก็สามารถสงบลงได้ในที่สุด
ไม่ว่าอย่างไร การสนับสนุนของไทเฮาก็มีเป้าหมายที่ชัดเจน อีกทั้งนางยังปกป้องเขามาโดยตลอด ดังนั้น สิ่งที่ไทเฮาทรงตรัสออกมา เขาย่อมพึงพอใจ
ไทเฮาทำเพียงเท่านี้ สิ่งที่นางกล่าวอาจถือเป็เพียงการกล่าวออกมาด้วยความเร่งรีบ...สีหน้าของมู่จื่อหลิงยังคงสงบ แต่แอบเย้ยหยันอยู่ในใจ
ฮ่าฮ่า ชดเชยหรือ? เป็การลงโทษที่ฟังดูทรงเกียรติสง่าผ่าเผย [5] จริงๆ
เกรงว่าคงอยากส่งหน่วยสอดแนมไปจับจ้องนางหรือไม่ก็ลอบวางกับดักขัดขวางนาง หรือไม่ก็จะมาขอรับรางวัลจากผลงานในท้ายที่สุด
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถ้าหากหมอหลวงหลินผู้นี้มีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่ธรรมดาเหมือนเล่อเทียน บางทีนางอาจต้องระมัดระวังอย่างเข้มงวด
แต่ไม่มี ในโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก ดังนั้นนางจะไม่ถือเอาเื่ของหมอหลวงหลินผู้นี้มาคิดจริงจัง
จะเป็การดีที่สุด หากหมอหลวงหลินผู้นี้จะอธิษฐานต่อ์ ขอให้การได้รับคำสั่งให้ติดตามไปในครั้งนี้ ได้กลับมาอย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ
สำหรับคำกล่าวที่ดูมีเหตุผล แต่กลับมีการลงโทษที่ไร้สาระของไทเฮา ฮ่องเต้เหวินอิ้นรู้สึกหมดหนทางเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงไม่เห็นด้วยในทันทีกับคำขอของไทเฮา พระองค์ตรัสถามมู่จื่อหลิงก่อนว่า “ให้หมอหลวงหลินติดตามไปด้วย หลิงเอ๋อร์มีปัญหาหรือไม่?”
มู่จื่อหลิงรู้โดยธรรมชาติว่าการที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงตรัสถามนางด้วยเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อถามว่านางมีปัญหาใดหรือไม่ แต่เป็การมอบหมายให้นางควบคุมโรคระบาดในครั้งนี้ กล่าวคือ เพิ่มการป้องกันอีกชั้นให้กับตัวตนฉีหวางเฟย
ดังนั้นแม้ว่าจะมีหัวหน้าสำนักหมอหลวงอย่างหมอหลวงหลินติดตามไปด้วย ก็จะเป็ได้เพียงผู้ช่วยของนางเท่านั้น
สรุปได้ว่า หากนางสั่งให้หมอหลวงหลินทำอะไร เขาต้องทำทุกอย่าง และในยามที่นางจัดการกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เขาก็ไม่มีสิทธิ์เอ่ยปาก
ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากจบเื่แล้ว รางวัลสำหรับการกระทำที่ดีงามจะไม่เกี่ยวข้องกับหมอหลวงหลิน
ไทเฮาทรงเข้าใจในเื่นี้ แต่คราวนี้นางทำได้เพียงแอบโกรธเคือง ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า
“ไม่มีเพคะ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเสด็จพ่อทรงตัดสินใจ” สำหรับแรงกดดันและความห่วงใยที่ได้รับจากฮ่องเต้เหวินอิ้น นอกเหนือจากความรู้สึกขมขื่นในใจของมู่จื่อหลิงแล้ว นางก็ยอมรับมันอย่างหน้าชื่นตาบาน
ฮ่องเต้เหวินอิ้นพยักหน้าด้วยความโล่งใจ จากนั้นพระองค์ทรงทอดพระเนตรหมอหลวงหลินที่คุกเข่า โบกพระหัตถ์ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็เอาตามนี้”
“ขอบพระทัยฝ่าา กระหม่อมจะให้ความร่วมมือกับหวางเฟยอย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้กับโรคระบาดและบรรเทาภัยพิบัติพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลินยกยอนาง ก่อนยืนขึ้นอย่างไม่พอใจ
ฮ่องเต้เหวินอิ้นถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
เพียงแค่ไทเฮาสงบลง ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในขณะที่หมอหลวงหลินไปยังพื้นที่โรคระบาด พระองค์เชื่อว่า หลิงเอ๋อร์มีความสามารถมากพอที่จะแก้ไขได้
แต่กลับไม่รู้ว่า ในครั้งนี้ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงประเมินความสามารถในการก่อปัญหาของไทเฮาต่ำเกินไป
ไทเฮายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสง่างาม แต่ในยามนี้ศีรษะของนางสับสนเล็กน้อย ทุกย่างก้าวแสดงถึงความเหนื่อยล้า
นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองมู่จื่อหลิง ตรัสอย่างมีเมตตา “หลิงเอ๋อร์ เนื่องจากฝ่าาทรงวางพระทัยให้เ้ารักษาโรคระบาด คาดว่าพระองค์ทรงเชื่อมั่นในทักษะทางการแพทย์ของเ้า...”
ไทเฮายังตรัสไม่จบ ในเวลานี้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นรอบนอกประตู
ขันทีชราเข้ามา เป็ขันทีส่วนพระองค์ขององค์ฮ่องเต้ เข้ามาเพื่อเตือนฮ่องเต้เหวินอิ้นว่าถึงเวลาขึ้นท้องพระโรงแล้ว
ค่ำคืนนี้เหนื่อยล้าทั้งกายใจ...ฮ่องเต้เหวินอิ้นถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ไม่พูดอะไรมาก ฮ่องเต้เหวินอิ้นเพียงตรัสคำง่ายๆ อีกสองสามคำกับพวกของมู่จื่อหลิง จากนั้นจึงสะบัดแขนจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
หลังจากฮ่องเต้เหวินอิ้นเสด็จจากไป ไม่รอให้พวกของมู่จื่อหลิงจากไป
ไทเฮายังคงตรัสต่อไปด้วยรอยยิ้มเป็มิตร “หลิงเอ๋อร์ เมื่อไม่นานมานี้อายเจียมีปัญหาในการนอนและการรับประทานอาหาร หมอหลวงหลายคนไม่พบอะไรเลย เ้ามาตรวจให้อายเจีย ดูว่ามีทางรักษาหรือไม่เป็อย่างไร?”
ทักษะทางการแพทย์ของมู่จื่อหลิงเป็อย่างไร ทุกคนต่างรู้ดี นางสามารถกำจัดโรคที่ซ่อนอยู่เป็เวลาหลายปีของหลงเซี่ยวหนานได้อย่างสมบูรณ์ ทักษะทางการแพทย์ของนางย่อมไม่ธรรมดา
เพียงแต่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะไม่ยอมรับความสามารถของยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้
ในครั้งนี้หากมู่จื่อหลิงสามารถรักษาโรคนอนไม่หลับที่ทรมานนางมาหลายวันได้ เช่นนั้นจะดีมาก...ไทเฮาทรงครุ่นคิดอย่างกระวนกระวายในใจ
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น มู่จื่อหลิงรู้สึกพูดไม่ออก อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันเป็เื่ตลก
แม่มดเฒ่าโกรธจนโง่ไปแล้วหรือ?
แต่ควรกล่าวว่าไทเฮาโง่หรือไร้เดียงสาดี?
พฤติกรรมของแม่มดเฒ่าในวันนี้ เป็สิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ เหมือนกับอันหย่าผู้นั้นไม่มีผิด พวกตะเภาเดียวกัน [6]
ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมาแม่มดเฒ่าดูถูกทักษะทางการแพทย์ของนางผู้นี้หรือ ยามนี้กลับ้าให้นางช่วยรักษา? ฝันถึงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง [7] ไปเถอะ...มู่จื่อหลิงพึมพำในใจอย่างเ็า
มีแววเยาะเย้ยจางๆ ฉายในดวงตาของมู่จื่อหลิง ทั้งยังยิ้มเย้ยหยัน “ไทเฮา สิ่งที่แม้แต่หมอหลวงในวังก็ตรวจไม่พบ ทักษะทางการแพทย์ที่เงอะงะของหลิงเอ๋อร์จะตรวจพบได้อย่างไร?”
การรักษาอาการนอนไม่หลับของแม่มดเฒ่านั้นยากเพียงใด?
จะมอบยานอนหลับที่ออกฤทธิ์แรงซึ่งผลิตขึ้นเองให้แก่นาง ทำให้นางนอนหลับอย่างสงบจนถึงรุ่งสางก็ได้ แต่ความคิดของไทเฮาช่างประหลาดนัก อีกทั้งมู่จื่อหลิงก็ไม่ได้โง่
ในสายตาของมู่จื่อหลิงมีคนเพียงสองประเภทเท่านั้น หนึ่งคือคนที่นางห่วงใย นั่นคือคนของนาง และอีกประเภทคือคนที่นางเกลียด นั่นคือศัตรู
สำหรับคนที่นางห่วงใย มู่จื่อหลิงใจกว้างมากจนไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน นางจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือพวกเขาอย่างไม่เห็นแก่ตัว
สำหรับศัตรูที่นางเกลียด มู่จื่อหลิงขี้เหนียวมากจนไม่ยอมแม้แต่จะเริ่มต้นช่วยเหลือ แม้มีเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย มู่จื่อหลิงจะไม่เหลียวแล ปล่อยให้ดำเนินไปตามครรลอง
ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงการรักษาไทเฮาในยามนี้ ด้วยนางจะไม่ให้แม้แต่ยานอนหลับเพียงเล็กน้อยแก่แม่มดเฒ่าผู้นี้
ไทเฮาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคำพูดของมู่จื่อหลิงล้อเลียนนาง ด้วยก่อนหน้านี้นางดูถูกทักษะทางการแพทย์ของมู่จื่อหลิง มายามนี้กลับขอร้องให้รักษาตน แต่ทุกวันนี้นางทรมานมากจากฝันร้าย จนร่างกายและจิตใจแทบแหลกสลาย
ดังนั้นในยามนี้แม้ว่าจิตใจจะเริ่มเผาไหม้อีกครั้ง ไทเฮามีทั้งอารมณ์ฉุนเฉียวและเพลิงพิโรธ แต่นางยังคงยิ้มแล้วตรัสว่า “โรคที่ซุกซ่อนเป็เวลาหลายปีของเซี่ยวหนาน หมอหลวงก็ตรวจไม่พบเช่นกัน เ้ายังสามารถรักษาได้ อายเจียไม่เชื่อว่าเ้าจะรักษาโรคนอนไม่หลับเล็กน้อยนี้ไม่ได้”
ขณะพูด ไทเฮาค่อยๆ ยกพระหัตถ์ขึ้น วางศอกบนที่วางแขนของเก้าอี้ เลิกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อมือเล็ก
ไทเฮาได้ทำท่าทางให้มู่จื่อหลิงเข้ามาตรวจชีพจรแล้ว ท่าทางเช่นนี้ไม่อาจปฏิเสธได้
ยามนี้มู่จื่อหลิงรู้สึกทุกข์ใจมาก
ก่อนหน้านี้นางสามารถท้าทายไทเฮาได้ด้วยความมั่นใจและมีเหตุผล แต่ยามนี้ไทเฮาไม่ได้มองหาความผิด แต่้าให้นางช่วยรักษาโรค
ไทเฮาเพียงปล้นได้เพียงครึ่งทาง [8] เสมอมา แต่ยามนี้กลับเป็การขอร้องแบบตัวต่อตัว นางไม่อาจอนุญาตพูดว่า ‘ไม่’ ได้เลย
หากยามนี้นางอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ย่อมปฏิเสธไม่ได้ แต่...
ครั้งนี้มู่จื่อหลิงเลือกที่จะเพิกเฉยต่อไทเฮาอย่างตรงไปตรงมาและกล้าหาญ
นางยังคงยืนนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร เงยหน้าขึ้นมองหลงเซี่ยวอวี่ที่เงียบมาตลอด
จากนั้นนางยื่นมือออกไปจับชุดคลุมของหลงเซี่ยวอวี่ไว้แน่น และเขย่าเบาๆ จนแทบมองไม่เห็นสองครั้ง
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ลมที่พัดเย็นระรื่นผสานฝนปรอยๆ (和风细雨) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ใช้ไม้นวม วิธีการนุ่มนวลหรือวิธีการละมุนละม่อม
[2] ตีสองหน้าใช้สามดาบ (两面三刀) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ตีสองหน้า แต่ยามอยู่ลับหลังกลับเล่นเล่ห์เพทุบาย
[3] ปลายหอก (矛头) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ประชด หรือทิศทางของการโจมตี
[4] ร้องเพลงหน้าแดง (唱红脸) และร้องเพลงหน้าขาว (唱白脸) เป็คำที่มาจากการแสดงงิ้ว โดยตัวละครหน้าแดงบ่งบอกว่าเป็คนดี ซื่อสัตย์กล้าหาญ ดังนั้นร้องเพลงหน้าแดง จึงมีความหมายว่าเล่นบทพ่อพระแม่พระ ตัวละครหน้าขาวบ่งบอกว่าเป็คนทรยศคนเลว จึงมีความหมายว่าเล่นบทผู้ร้าย สำนวนเต็มคือ 一个唱白脸,一个唱红脸 แปลว่า คน 2 คนที่เล่นบทบาทต่างกัน เล่นบทไม้อ่อนไม้แข็ง เพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในเื่ต่างๆ ให้จบคลี่คลายลง
[5] ทรงเกียรติสง่าผ่าเผย (冠冕堂皇) เป็สำนวน มีความหมายว่า ดูจากภายนอกสง่าผ่าเผยแต่ความจริงไม่ใช่ เป็คำที่ใช้ในเชิงประชดประชัน
[6] พวกตะเภาเดียวกัน (一丘之貉) เป็สำนวน มีความหมายว่า (คนชั่ว) ย่อมจับกลุ่มรวมตัวกัน หรือพวกเดียวกัน
[7] ฝันถึงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง (春秋大梦) เป็สำนวน มีความหมายว่า ความคิดที่ไม่สมจริง หรือความคิดที่ไม่มีวันเป็จริง
[8] ปล้นได้เพียงครึ่งทาง (半路劫) มีความหมายว่า เข้ามาคุกคามหรือ้าประหัตปะาแต่กลับไม่อาจทำให้สำเร็จได้