เช่นเดียวกับที่ชื่อบอกไว้ ผืนดินเหมือนถูกเืแพร่กระจายไปทั่ว เมื่อมองไปในครั้งแรก ผืนแผ่นดินจะเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยผ้าโปร่งสีแดงเข้ม ทั้งเย็นแข็งและแห้งเหี่ยว ภาพที่ปรากฏสู่สายตาดูว่างเปล่าและรกร้าง เต็มไปด้วยความเงียบงัน
แม้ว่าจะอยู่ติดกันกับทะเลหินหนืดที่ร้อนระอุ แต่ทั้งสองก็ดูเหมือนแตกต่างกันคนละโลก ทะเลแห่งหินหนืดจะมีแสงสว่างแสบตา แต่แดนมรณะจะมืดสนิท ดูเงียบสงัดวังเวง ราวกับพลังมรณะที่แฝงเร้นใน่เวลาโพล้เพล้อันไร้ชีวิตชีวา
เมื่อมองดูคร่าวๆ จะมองเห็นเศษหินที่แตกกระจายกองอยู่บนพื้น หินเ่าั้ล้วนแต่ไม่สมบูรณ์ และมีสีดำสนิท ราวกับเืที่ถูกฉีดพ่นจนแห้งสนิท และถูกปล่อยทิ้งผ่านวันเวลา เมื่อมองจากระยะไกล จะดูเหมือนผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยหลุมฝังศพซึ่งกระจายไปทั่วบริเวณ
ทุกคนต่างอดใจไม่ไหวที่จะร่อนลงไปยังแดนมรณะ กว่าหนึ่งเดือนมานี้ พวกเขาใช้แก่นพลังปราณไปเป็จำนวนมากเพื่อการเหาะมาตลอดทาง และตอนนี้เมื่อได้พบกับแผ่นดินอีกครั้ง ทุกคนต่างนั่งขัดสมาธิลงทันที เพื่อรวบรวมสมาธิในการฟื้นฟูพลัง และตอนนี้ ฉินอวี่ก็กวาดสายตามองไปโดยรอบ ในตอนที่ลงมาถึงพื้นดิน เขารู้สึกได้ชัดเจนถึงเพลิงมรณะที่กำลังโลดเต้นอยู่กลางจุดตันเถียน และความรู้สึกถึงอันตรายที่อธิบายได้ยากได้ปะทุขึ้นในใจของเขา
นี่มันเื่อะไรกัน?
ในขณะที่ทุกคนกำลังทำสมาธิอยู่นั้น เสียงแหลมที่แสบแก้วหูก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งฟ้า
บรรดาคนที่เพิ่งหลับตาทำสมาธิต่างลืมตาขึ้นทันที แต่กลับมองเห็นนกร้ายขนาดั์ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นในฟากฟ้ายามพลบค่ำ
“มโนจิตไม่สามารถใช้งานได้!” ในขณะที่ทุกคนใช้มโนจิตส่องเข้าไปดูนั้น กลับต้องใอย่างมากว่าสถานที่แห่งนี้ไม่สามารถใช้พลังของมโนจิตได้
“ระวังไว้!” อันดับหนึ่งส่งเสียงอันหนักแน่นขึ้นมา จากนั้นจึงมองนกร้ายที่กำลังบินเข้ามาอย่างระมัดระวัง ฉินอวี่หยิบหอกศึกออกมาอย่างไม่ลังเล และใน่เวลากว่าหนึ่งเดือนที่เขามุ่งหน้าจากชั้นที่สองไปยังชั้นที่ห้า ฉินอวี่ได้หลอมอสุนีคำรามเพิ่มขึ้นมาแล้วอีกสามสาย
ภายใต้ความระแวดระวังของทุกคน นกร้ายตัวนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และในขณะที่พวกฉินอวี่กำลังพะว้าพะวังกันอยู่นั้น นกร้ายก็ปิดบังดวงอาทิตย์และร่อนลงมาจากท้องฟ้า
สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างขนลุกก็คือ ทั่วทั้งร่างของนกร้ายั์ตัวนี้ มีรอยเท้าที่อยู่บนร่างกาย ปีกของมันถูกฉาบไปด้วยสีของรอยเือันดำแห้ง ราวกับว่าผ่านการต่อสู้มาเนิ่นนานหลายปี สิ่งที่ทำให้พวกฉินอวี่รู้สึกหวาดกลัวคือ ศีรษะของนกร้ายตัวนี้ถูกผ่าออกเป็สองซีก ราวกับว่าได้ถูกการโจมตีที่รุนแรง
เป็เพราะศีรษะที่ถูกแยกเป็สองซีก ศีรษะทั้งสองด้านของนกั์จึงเหมือนจะหลุดลงมาตลอดเวลา ดวงตาแห่งลางร้ายจ้องมองลงบนพื้นตลอดเวลา ในขณะที่บินผ่านเหนือศีรษะไป ดวงตาทั้งสองข้างนั้นก็เหมือนจะพยายามมองมายังทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้ฉินอวี่และคนอื่นๆ ต่างใขึ้นมาทันที
“นี่มันตัวบ้าอะไรเนี่ย” ชายหนุ่มชุดเหลืองคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างอึดอัด กระบี่คมที่อยู่ในมือแทงทะลุอากาศขึ้นไปในทิศทางของนกั์ทันที
“หยุดนะ!” อันดับหนึ่งขนลุกขึ้นมา และ้าจะขัดขวางไว้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว กระบี่คมเล่มนั้นแทงทะลุเข้าตรงหน้าอกของนกั์ จนนกั์ร่วงจากอากาศตกลงในมวลหินหนืดที่ร้อนระอุ และถูกเผาไหม้กลายเป็เถ้าถ่านทันที
“ก็เป็แค่ของที่ตายแล้วมิใช่หรือ?” เมื่อชายหนุ่มชุดเหลืองเห็นสีหน้าที่บึ้งตึงของอันดับหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างรู้สึกผิด เขาคืออันดับยี่สิบห้าในรายนามระดับสามัญ
สีหน้าของอันดับหนึ่งดูบึ้งตึงอย่างมาก เขามองไปทางส่วนลึกของแดนมรณะที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความตาย หลังจากรออยู่นาน เขาก็พูดขึ้น “ทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น ใครกล้าวุ่นวาย ก็ไสหัวไป!”
ยอดฝีมือในรายนามระดับสามัญต่างพากันสะดุ้ง ั้แ่ไหนแต่ไรมา อันดับหนึ่งไม่ใช่คนพูดมากนัก น้ำเสียงก็มักจะดูเ็าเป็พิเศษ แต่ก็ไม่เคยมีน้ำเสียงที่จริงจังเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งเมื่อทุกคนได้ยินถึงความแปลกและน่ากลัวของแดนมรณะ พวกเขาต่างพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ และอันดับยี่สิบห้าก็พูดขึ้นด้วยความเสียใจเล็กน้อย “แค่ของตายอย่างหนึ่งคงไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่”
อันดับหนึ่งไม่ตอบอะไร ได้แต่กวาดสายตาไปยังหินแผ่นหนึ่งที่คล้ายป้ายหลุมศพ และพูดอย่างเคร่งขรึม “ทุกคนทำสมาธิฟื้นกำลังกันก่อน อีกประมาณครึ่งชั่วยามเราจะเข้าไปด้านในกันต่อ”
ฉินอวี่ละสายตากลับมาจากนกร้ายตัวนั้น ในใจของเขารู้สึกแปลกอยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่านกร้ายตัวนี้ยังไม่ตาย มันยังคงส่งเสียงร้องได้ อีกทั้งยังบินได้ เช่นนั้นแล้วก็คงมีเหตุผลอยู่สองประการ ประการที่หนึ่งคือมีใครบางคนควบคุมมัน ประการที่สอง... สถานที่อันแปลกประหลาดแห่งนี้ อาจจะสามารถชุบชีวิตได้
ฉินอวี่ให้น้ำหนักไปตามข้อที่สองมากกว่า หากมีใครควบคุมมันอยู่ มันคงไม่สามารถส่งเสียงร้องได้ หากเป็ไปตามการคาดเดาของเขาจริงๆ ละก็ ครั้งนี้ก็คงเดินเข้าใกล้ขอบของความตายจริงๆ แล้ว
หลายปีมานี้ คนของหยาจื้อสิบสามฝ่ายที่สามารถเข้าถึงหอคอยขัดเกลาชั้นที่เจ็ดได้นั้นไม่รู้ว่ามีมากน้อยเท่าไร หากนกร้ายตัวนั้นสามารถฟื้นชีพได้ เมื่อได้เข้าไปด้านใน ผลที่ตามมาก็คงเหนือกว่าจะจินตนาการได้
หลังจากทุกคนหายดีแล้ว พวกเขาต่างเคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆ เป็เพราะไม่สามารถใช้มโนจิตสาดส่องไปมองได้ ทุกคนจึงทำได้เพียงช่วยกันสังเกตด้วยตาเปล่าเท่านั้น แต่สถานที่แห่งนี้มีแสงที่ดูสลัวและมองเห็นได้ยากมาก พวกเขาจึงสามารถมองเห็นได้เพียงรัศมีห้าสิบจ้างเท่านั้น
“ช้าก่อน!” ฉินอวี่เหยียบลงบนพื้นอันเลอะเทอะ และเอ่ยปากขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดวงตาของเขาจ้องตรงไปยังก้อนหินที่แตกหักซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาต่างมองไปตามสายตาของฉินอวี่ และเมื่อมองไปเห็นอักษรที่อยู่บนหิน พวกเขาต่างใทันที เพราะหินเหล่านี้ดูเหมือนจะเปื้อนไปด้วยเื หากไม่สังเกตอาจจะมองไม่เห็น
“หนี!!!”
ตัวอักษรคำว่า “หนี” ถูกเขียนอย่างบิดเบี้ยว ราวกับว่าพยายามใช้นิ้วเขียนมันขึ้นมา เมื่อจ้องยังตัวอักษรที่ดูบิดเบี้ยวนี้ ทุกคนต่างมองเห็นได้จากในภวังค์ว่ามีคนใกล้ตายกำลังใช้พลังสุดท้ายของชีวิต เขียนตัวอักษรนี้ทิ้งไว้ เพื่อเป็สัญลักษณ์ให้คนรุ่นหลัง
ทุกคนรวมทั้งอันดับหนึ่งต่างขนลุกขึ้นมาทันที ที่แห่งนี้น่ากลัวกว่าที่คิด แม้ว่าเขาจะรู้จักชั้นที่เจ็ดเป็อย่างดี แต่เขากลับรู้เื่ของแดนมรณะแห่งนี้เพียงน้อยนิด นานจนนับไม่ได้แล้ว บรรพชนที่สามารถเข้ามายังแดนมรณะได้ มักจะปิดปากเงียบไม่บอกเล่าเื่ราวของแดนมรณะให้ผู้ใดฟัง เขาจึงรู้เพียงว่าแดนมรณะแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังของความตายที่หนาแน่น นอกจากเื่นี้แล้ว ก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
“หนี? เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่? ที่นี่เป็เขตหอคอยขัดเกลาของหยาจื้อสิบสามฝ่าย ตัวอักษรนี้ก็น่าจะเขียนโดยคนของหยาจื้อสิบสามฝ่าย ตัวอักษรนี้น่าจะเป็คำเตือนให้กับคนที่พยายามจะเข้าไปในแดนมรณะ” ฉินอวี่พูดกับตนเอง
“ตรงนั้นมีคนอยู่!” อันดับยี่สิบห้าที่สังหารนกร้ายได้ชี้นิ้วไปในทิศทางหนึ่งด้วยความใ พูดออกมาอย่างตกตะลึง
ทุกคนต่างใ และหันศีรษะตามไปตามทางที่อันดับยี่สิบห้าชี้ไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับมองเห็นร่างอันสูงใหญ่ร่างหนึ่ง ยืนห่างออกไปกว่าร้อยจ้าง สถานที่อันแปลกประหลาดแห่งนี้ช่างชวนให้ขนลุกเสียจริง
“นั่นไม่ใช่คน แต่เป็ก้อนหิน!” อันดับหนึ่งมีพลังการมองเห็นที่แข็งแกร่ง เขาจึงพูดอย่างหนักแน่น
เมื่อทุกคนมองไปให้ดีอีกครั้ง กลับพบว่ามันเป็เพียงหินก้อนหนึ่งจริงๆ เป็เพราะแสงที่ค่อนข้างสลัว ทำให้การมองเห็นของแต่ละคนไม่ชัดเจน และด้วยความสูงใหญ่ของหินก้อนนั้น เมื่อมองออกไปจึงเห็นเป็รูปร่างมนุษย์คนหนึ่งจริงๆ ไม่เพียงแต่หินก้อนนั้น แม้แต่ก้อนหินที่ตกอยู่โดยรอบ ต่างสามารถมองเห็นเป็รูปร่างของมนุษย์ได้ ในรัศมีร้อยจ้าง
แม้จะแน่ใจแล้วว่าเป็ก้อนหินจริงๆ แต่ความแปลกประหลาดของสถานที่แห่งนี้ทำให้จิตใจของแต่ละคนเหมือนมีหมอกหนา จากนั้นศิษย์คนหนึ่งของเผ่าหยาจื้อก็หัวเราะขึ้น “อันดับยี่สิบห้า ที่แท้เ้ามันก็ขี้กลัวไปหน่อยแล้ว แค่หินก้อนเดียวยังมองเป็คนเสียได้”
อันดับยี่สิบห้าเก้อเขินเล็กน้อย ยกมือขึ้นลูบศีรษะของตนเอง และจ้องตรงไปยังศิษย์คนนั้นพร้อมพูดว่า “จะโทษข้าได้อย่างไรกัน? ก็ก้อนหินนั่นมันมองแล้วเหมือนคนจริงๆ นี่นา”
“หยุดได้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว ไปเถอะ” อันดับหนึ่งพูดขึ้นอย่างจริงจัง ก่อนจะเดินต่อไปทางด้านหน้า
ทุกคนต่างก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ และอันดับที่ยี่สิบห้าที่กำลังหงุดหงิดได้จ้องไปยังหินก้อนนั้น ก่อนที่จะก้าวออกไปกระทืบพื้น แต่เท้ายังไม่ทันวางถึงพื้น ร่างกายของเขาก็เหมือนถูกฟ้าผ่า จากนั้นจึงค่อยๆ บิดคอ และมองไปทางหินก้อนนั้น ดวงตาทั้งสองเบิกโพลง พูดออกไปด้วยความกลัวอย่างสุดขีด “มัน... มันขยับแล้ว ก้อนหิน... ก้อนหินนั่นมันขยับอีกแล้ว”
ทุกคนต่างสะดุ้งด้วยความใ และมองไปทางหินก้อนนั้นอีกครั้ง และเมื่ออันดับสามผู้มีเขาบนศีรษะได้มองไปยังหินก้อนนั้น เขาก็พูดขึ้นพลางขมวดคิ้ว “อันดับยี่สิบห้า เ้าเป็อะไร? หินก้อนนั้นไม่เห็นจะขยับตรงไหนเลย? หากเ้าขี้ขลาดนักก็อยู่ตรงกลางของทุกคนสิ มัวแต่ทำอะไรเป็กระต่ายตื่นตูมไปได้”
ฉินอวี่ขมวดคิ้วแน่นแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป จากนั้นเขาก็หันไปมองอันดับยี่สิบห้าที่กำลังหวาดกลัว และหันมองหินก้อนนั้นอีกครั้ง ความคิดปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็เลือกไม่พูดออกมา
“ข้าไม่ได้ตาลายไปจริงๆ นะ ข้าเห็น... ข้าเห็นว่าคนนั้น... ไม่สิ... หินก้อนนั้นขยับได้ อีกอย่าง... ข้า... ข้ารู้สึกได้ว่าก้อนหินก้อนนั้นกำลังใช้ดวงตาจ้องตรงมาที่ข้า” อันดับยี่สิบห้าพูดด้วยร่างกายสั่นเทา
แดนมรณะเป็สถานที่ซึ่งรู้จักกันดีในเผ่าหยาจื้อ หลายปีผ่านมาจนนับไม่ได้ มีเหล่าอัจฉริยะต้องตายไปในแดนมรณะของหอขัดเกลาชั้นที่เจ็ดเป็จำนวนมาก ในตอนเข้ามานั้น คนของหยาจื้อสิบสามฝ่ายทุกคนต่างรู้สึกกลัวเป็อย่างยิ่ง ดังนั้น อันดับที่ยี่สิบห้าจึงตื่นตระหนกเช่นนี้
“พอได้แล้ว คนอื่นไม่มีใครเห็นสักคน เ้าเห็นอยู่คนเดียว ถ้ากลัวมากก็ปิดตาเสียเถอะ” อันดับหนึ่งพูดขึ้นด้วยตนเอง ราวกับเริ่มหมดความอดทนกับอันดับยี่สิบห้า
อันดับยี่สิบห้าหน้าซีดเผือด และพยักหน้าทันที และคิดไปว่าตนเองอาจคิดมากเกินไป หากมีแม้หญ้าสักใบที่เคลื่อนไหว ไม่มีทางรอดพ้นสายตาของอันดับหนึ่งและอันดับสามได้แน่นอน
ทุกคนต่างต้องใขึ้นมาเพราะอันดับยี่สิบห้าถึงสองหน โชคดีที่พวกเขาต่างไม่ใช่คนธรรมดา จึงระงับทุกอย่างไว้ในใจและก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆ
ฉินอวี่เดินตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน สายตาของเขากวาดมองไปโดยรอบ ด้วยระดับการฝึกฝนของอันดับยี่สิบห้า เขาไม่มีทางตาฝาดแน่นอน มันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเื่นี้ ในความคิดของเขาเริ่มประมวลตำราโบราณทุกเล่มที่เขาเคยอ่านมาจากสำนักเทียนฉี เพื่อลองค้นดูว่ามีบันทึกอะไรที่เหมือนกับสถานที่แห่งนี้บ้าง
ขณะที่ฉินอวี่กำลังคิดทบทวนนั้น ทุกคนต่างกำลังเดินไปอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
“อ๊าก!”
เสียงดังออกมาจากอันดับยี่สิบห้า!
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที พลังทั่วร่างกายของเขาปะทุออกมา เกิดเป็แสงสว่างเบ่งบานราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาบนความมืดสลัว และเมื่อทุกคนได้เห็นอันดับที่ยี่สิบห้า ทุกคนกลับมองเห็นอันดับยี่สิบห้าที่มีดวงตาเบิกโพลง ศีรษะนับจากระหว่างคิ้วไปถูกผ่าออกเป็สองซีก ใบหน้าที่ถูกผ่าครึ่งเต็มไปด้วยเืและเศษเนื้อ เต็มไปด้วยความสยดสยอง...
“เตรียมสู้!” อันดับหนึ่งะโอย่างโกรธเกรี้ยว ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายแสงสีทองราวกับเปลวเพลิงสองกองที่สาดส่องไปทั่วสารทิศ
“มีคนอยู่!” ทันใดนั้น ศิษย์หนุ่มที่หัวเราะอันดับที่ยี่สิบห้าเมื่อครู่นี้ก็พูดขึ้นด้วยความใ
ในตอนนี้ เห็นเพียงเงาร่างจำนวนมากที่ปรากฏขึ้นจากรอบด้านทุกทิศทาง และดูเหมือนเงาร่างนั้นจะยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นมาจากกลางอากาศ
“เปรี้ยง ตูม ตูม” แดนมรณะที่เต็มไปด้วยความสงบอยู่แต่เดิม เกิดการสั่นะเืขึ้นอย่างรุนแรง เสียงควบม้าดังมาจากระยะไกล และดูเหมือนมีอสูรอำมหิตกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“อย่าโจมตี ย้อนกลับไปทางเดิม!” ฉินอวี่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะะโขึ้นมาเสียงดัง พูดจบ ก็รีบวิ่งย้อนกลับไปทางทะเลหินหนืดทันที
“พยนต์มรณะ พยนต์มรณะจริงด้วย!”
