“กั๋วซีฮัน...” หลินเหยาซื่อพยักหน้ารับ เธอพอนึกออกอยู่บ้างเพราะในสมุดบันทึกของ ‘หลินเหยาซื่อ’ มีเขียนถึงกั๋วซีฮันซึ่งเป็พี่ชายของกั๋วคังเหริน “ป้าฮุ่ยซิวพาเด็กๆไปกินขนมก่อนนะคะ ฉันจะดูแลคุณ เอ่อ พี่ซีฮันเอง”
กั๋วซีฮันมองหญิงสาวที่พูดคุยกับเด็กฝาแฝดที่ลอบมองทางเขาก่อนสะบัดหน้าเดินไปพร้อมกับแม่บ้าน ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มซ่อนความชิงชังไว้อย่างมิดชิด เด็กสองคนนั้นหน้าตาคล้าย ‘กั๋วคังเหริน’ เสียเหลือเกิน ใครจะรู้ว่าไอ้ไก่อ่อนอย่างกั๋วคังเหรินจะทิ้งทายาทไว้ให้เป็เสี้ยนหนามชีวิตอีก
“พี่ซีฮัน รับน้ำชานะคะ” เธอเอ่ยถามแต่ตัวเองเดินไปรินน้ำร้อนใส่กาน้ำชาเรียบร้อยแล้ว
“ให้พี่ช่วยดีกว่าครับ” กั๋วซีฮันปาดเข้าไปยกถาดน้ำชาด้วยตนเอง “เรานั่งที่เก้าอี้สนามหน้าบ้านดีไหม”
“ค่ะ” หยินเหยาซื่อพยักหน้ารับ เธอไม่อยากอยู่กับผู้ชายสองต่อสองในบ้านอยู่พอดี พอเขาเสนอให้ไปนั่งด้านนอกก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ่ที่ไม่สบายหลับไปหลายวัน ตื่นมาอีกทีก็มึนๆ งงๆ จำใครไม่ค่อยได้”
“น้องเหยาซื่อไปหาหมอหรือยัง ให้คุณหมอตรวจร่างกายหน่อยดีไหมครับ” กั๋วซีฮันถามอย่างห่วงใย เขาวางถาดน้ำชาลงแล้วรินน้ำชาด้วยตนเอง “พี่เองก็ยุ่งมาก เพิ่งกลับจากไปดูโรงงานที่ต่างเมือง พอรู้ข่าวเื่น้องเหยาซื่อก็รีบมาทันที”
เอ๊ะ! ทำไมต้องเป็ห่วงขนาดนี้ เธอมีฐานะเป็น้องสะใภ้ ไม่ต้องดูแลใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวก็ได้มั้ง? หลินเหยาซื่อตั้งคำถามในใจแต่ยังคงยิ้มอย่างมีมารยาท
“พี่รู้ว่าน้องเหยาซื่อรักคังเหรินมากแค่ไหน แต่ยังไงก็ต้องห่วงสุขภาพตัวเองก่อน อย่าลืมว่าเรามีลูกและลูก้าแม่ อย่าเสียเวลาตามหาคนที่ไม่กลับมาอีกเลย”
ออกตัวแรงไปไหม? นี่มาบอกให้น้องสะใภ้เลิกตามหาสามีที่เป็น้องชายตัวเองเหรอ? ปกติคนในครัวครอบเขาต้องให้กำลังใจกันสิ นี่ยังไม่นับรวมทำตาหวานใส่อีก ดีนะว่าเธอคือหลินเหยาซื่อ นักแสดงที่ต่อให้เป็แค่ตัวประกอบก็เคยผ่านคอร์สเรียนการแสดงมาก่อน
“ขอบคุณพี่ซีฮันมากค่ะ” เธอแค่ยิ้มน้อยๆ ดูเปราะบางและน่าสงสาร
“มีอะไรก็บอกพี่ได้” เขายิ้มอ่อนโยน “ยังไงเด็กๆ ก็กำลังกินกำลังโต คงต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น พี่จะลองหาทางให้น้องเหยาซื่อได้รายเดือนเพิ่มนะ”
เงิน! เื่นี้แหละที่อยากได้ยิน
“ค่ะ คงต้องฝากพี่ซีฮันดูแลเื่นี้ด้วย” เธอทำหน้าเศร้า “ที่ผ่านมาก็ใช้เงินเก็บจ้างนักสืบตามหาคังเหริน เงินเก็บที่มีอยู่ก็พร่องไปจนแทบจะหมดแล้ว”
“ได้ๆ รับรองว่าพี่ไม่ให้น้องเหยาซื่อต้องลำบากแน่นอน”
“เอ่อ...พี่ซีฮันพอจะมีงานอะไรให้ฉันทำไหมคะ” เธอลองถามดู “ลำพังรอแค่เงินกงสีส่งให้รายได้มันไม่พอใช้ ฉันอยากหางานทำเพื่อจะมีรายได้อยู่บ้าน”
กั๋วซีฮันมีสีหน้าลำบากใจ จบแค่มัธยมปลาย และสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ที่ผ่านมาคุณอาก็ประคบประหงมน้องเหยาซื่อมาตลอด ที่ให้กั๋วคังเหรินแต่งงานกับหลินเหยาซื่อก็เพียงเพราะ้าให้มีใครสักคนคอยดูแลลูกสาวคนเดียว แต่ใครจะรู้เล่าว่าวันหนึ่ง ลูกเขยที่ฝากชีวิตไว้จะมาทอดทิ้งภรรยาที่ยังสาวและสวยขนาดนี้ได้ลง
“พี่จะลองดูให้นะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอยิ้มขอบคุณ อันที่จริงเธอแค่อยากรู้ว่ามีเื่อะไรที่ถูกปิดบังอยู่บ้าง แต่เดิมสกุลกั๋วก็ไม่ได้มีฐานะดีนัก พ่อของเธออุปถัมภ์ค่าเล่าเรียนให้กั๋วคังเหรินมาตลอดจนเรียนจบมหาวิทยาลัย และตั้งความหวังให้กั๋วคังเหรินมาทำงานกิจการของสกุลหลิน แต่ไม่รู้อย่างไร พ่อคงบีบบังคับหรือทวงบุญคุณจนทำให้กั๋วคังเหรินที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับหลินเหยาซื่อจำใจต้องมาแต่งงานกัน เื่เหล่านี้เธออ่านจากสมุดบันทึกของหลินเหยาซื่อ
ก็น่าแปลกอยู่นะ ถ้ากั๋วคังเหรินไม่ได้รักหรือชอบหลินเหยาซื่อ แต่ทำไมทำให้หลินเหยาซื่อตั้งท้องได้เล่า หรือทำไปเพราะต้องทำหน้าที่สามี
หลินเหยาซื่อได้แต่ถอนหายใจ ชีวิตเธอมันเรียบง่ายไปหรือไง ์ถึงเหวี่ยงเธอมาเจอเื่วุ่นวายแบบนี้ด้วยนะ.
หลายวันต่อมา
หลินเหยาซื่อสวมชุดฉีเผายาวคลุมเข่า เป็ชุดที่เธอตัดเองแต่ใช้ผ้าลวดลายทันสมัย ไม่ใช่ผ้าไหมอย่างที่นิยมกัน แต่งหน้าบางๆ แต้มลิปสติกสีส้มอมชมพู นั่งมองตัวเองในกระจกแล้วก็อยากแนบหน้ากับเงาตัวเองจริงๆ
‘สวยอะไรแบบนี้นะ’ หลินเหยาซื่อพึมพำกับตัวเอง ความสวยที่เธอแลกกับการเป็แม่เลี้ยงเดี่ยวของเด็กฝาแฝด ในยุคที่เธอจากมามีประโยคหนึ่งที่พูดกันว่า “ถ้าคุณหน้าตาดี โลกนี้ก็ใจดีกับคุณ” ซึ่งเธอพิสูจน์มาแล้ว คนหน้าตาธรรมดาต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไร้คนเหลียวแล
หญิงสาวตบแก้มตัวเองเบาๆ ตอนนี้เธอสวยแล้ว แต่ยังจนอยู่ ยังดีที่มีบ้านให้อยู่โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน ก็นับว่าประหยัดไปได้มากจริงๆ แต่ต้องหาเงินเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวให้ได้ และเธอก็หวังว่างานนี้จะเป็ก้าวแรกไปสู่การเป็เศรษฐีนี หลินเหยาซื่อปลุกใจตัวเองแล้วเดินไปหยิบสมุดสเก็ตภาพใส่กระเป๋าที่เธอค้นเจอจากในตู้ ยังดีที่ว่าใน่ปี ค.ศ.1980 เปิดรับวัฒนธรรมจากต่างชาติเข้ามามาก รวมทั้งเสื้อผ้าและทรงผม ไม่ถูกจำกัดเื่สีเสื้อผ้าเหมือนยุคก่อน เธอยิ้มขำ นี่แหละ อย่าดูถูกว่าเธอเป็แค่เป็ด ต่อให้เป็เป็ด ก็ยังต้องเป็เป็ดที่ทรงความรู้
นางฮุ่ยชิวเห็นหลินเหยาซื่อเดินออกมาก็ทำตาโต เพราะไม่ได้เห็นคุณผู้หญิงแต่งเนื้อแต่งตัวเช่นนี้นานแล้ว หรือจะพูดให้ถูก ดูสดใสราวเด็กสาวด้วยซ้ำไป เด็กแฝดเห็นแม่ก็วิ่งเข้ามาหา หลินเหยาซื่อนั่งย่องๆ ให้เด็กทั้งสองกอด
“แม่จะไปคุยเื่งานนะ อวยพรแม่หน่อย”
“ซู่ๆ” จางหย่งรีบพูดขึ้น
“สู้ๆ ต่างหากล่ะ” จางลี่รีบแก้ให้
“มา! ขอหอมแก้มหน่อย” เธอกดปลายจมูกกับแก้มนุ่มๆ ของเด็กๆ ทั้งสอง เสียงหัวเราะดังคิกคักเพิ่มความสดใสของบ้านหลังนี้ หญิงสาวลุกขึ้นแล้วพูดกับแม่บ้าน
“ฉันออกไปคุยงาน ฝากดูเด็กๆ ด้วยนะคะ”
“ได้ค่ะคุณผู้หญิง”
