ตอนที่ 57 มาทันเวลา
ทันใดนั้นมู่อวิ๋นหานสีหน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด พร้อมยื่นมือไปเคาะหัวของมู่อวิ๋นจิ่น “แก่แดดจริงเชียว”
มู่อวิ๋นจิ่นแอบหัวเราะมุมปาก
“ได้ยินมาว่าพี่น้องคู่นี้สนิทกันมาก ดูท่าจะไม่ผิดจากความเป็จริง” ฉู่ชิงเดินเข้ามาข้างกายมู่อวิ๋นจิ่นกับมู่อวิ๋นหานโดยไม่ให้สุ่มให้เสียง
แต่ไหนแต่ไร มู่อวิ๋นหานเกลียดขี้หน้าฉู่ชิงเป็ที่สุด ในเวลานี้พอได้ยินที่ฉู่ชิงสัพยอก ก็ยิ่งไม่อยากสนทนาด้วย เอาแต่ยิ้มจาง ๆ ให้แทน “ความสนิทสนมขององค์ชายสาม องค์หญิงห้าและองค์ชายแปดก็ดีไม่น้อยต่างกันนี่เพคะ”
“น้องสะใภ้กับน้องหกแต่งงานกันได้หนึ่งเดือนแล้ว เหตุใดยังเรียกห่างเหินถึงเพียงนี้? สามารถเรียกว่าพี่ชายสาม พี่สาวห้า น้องชายแปดได้แล้ว” ฉู่ชิงกล่าว
มู่อวิ๋นจิ่นแสยะยิ้มมุมปากโดยไม่ตอบคำใด และเลือกเดินตามมู่อวิ๋นหานไปนั่งที่โต๊ะงานเลี้ยง
ฉู่ชิงมองดูมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ด้านหลังโดยที่สายตาแสดงความสนใจบางอย่างออกมา
หลังจากทุกคนเข้านั่งที่เรียบร้อยแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นหันมองเห็นฉู่ชิงเฉียงกับฉู่ชิงหยวนเดินเข้ามาพร้อมกัน
พอฉู่ชิงหยวนเห็นมู่อวิ๋นจิ่นนั่งอยู่ ก็รีบสาวเท้าวิ่งเข้าไปหาและส่งยิ้มให้นาง ก่อนจะพูดกับนางว่า “พี่สะใภ้หก พวกเราไม่ได้เจอกันเสียนานเลย”
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นฉู่ชิงหยวนจึงยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้นาง
“
“ชิงหยวน ทำไมเ้ายังไม่รู้จักปฏิบัติตามกฎบ้างเลย” ด้านหลังมีเสียงฉู่ชิงเฉียงตำหนิเสียงเยือกเย็น
ฉู่ชิงเฉียงเดินมายืนด้านหลังฉู่ชิงหยวน พลางใช้สายตามองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความเหยียดหยามจากเท้าจรดขึ้นหัว และเมื่อนางสังเกตุเห็นมู่อวิ๋นหานที่นั่งอยู่ด้านข้าง ก็ทำเอานางชะงักไปทันที
“
“คารวะองค์หญิงทั้งสอง” มู่อวิ๋นหานลุกขึ้นยกมือประสานโค้งคำนับให้แก่คนทั้งสอง
ฉู่ชิงเฉียงหันมองมู่อวิ๋นหานด้วยแววตาสดใส และหันไปพยักหน้ารับมู่อวิ๋นหาน ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เ้าคือหัวหน้าทหารมู่อย่างนั้นหรือ?”
“
“พ่ะย่ะค่ะ” มู่อวิ๋นหานเอ่ยตอบเสียงเรียบ
ฉู่ชิงเฉียงแอบเม้มปากเล็กน้อย พร้อมกับรู้สึกคล้ายจะเป็ลม จากนั้นนางจึงพยายามเดินไปนั่งในที่ที่ถูกจัดไว้
มู่อวิ๋นจิ่นมองตามฉู่ชิงเฉียงไป และสังเกตเห็นฉู่ชิงเฉียงส่งสายตาแปลก ๆ ให้มู่อวิ๋นหาน บางครั้งก็แสดงท่าทียักคิ้วหลิ่วตาให้ จนกระทั่งมู่อวิ๋นจิ่นหันมาเอ่ยเสียงต่ำกับพี่ชายตนว่า “แย่แล้ว พี่ดูเหมือนจะดึงดูดดอกเหมยเน่าเฟะเข้าแล้ว!”
มู่อวิ๋นหานได้ยินเช่นนั้นจึงรีบหันมองค้อนมู่อวิ๋นจิ่น
ไม่นานนัก ฝ่าาแห่งซีหยวนและฮองเฮาได้เสด็จเข้ามาสู่งานเลี้ยง เจิ้งไทเฮาและฉินไท่เฟยนั่งแยกด้านซ้ายด้านขวาของฝ่าาและฮองเฮา
ลี่เฟยและหว่านเฟยที่บังเอิญพบมู่อวิ๋นจิ่นเมื่อครู่ในสวนดอกไม้อวี่ฮวาต่างก็มานั่งฝั่งตรงข้ามมู่อวิ๋นจิ่น
หลังจากทุกคนลุกขึ้นต้อนรับและทำความเคารพกันแล้วจึงพากันนั่งลง
ฝ่าาซีินั่งลงบนบัลลังก์สอดสายตามองไปรอบทิศ แล้วมาหยุดลงตรงที่มู่อวิ๋นจิ่นพร้อมตรัสถาม “ลี่เอ๋อร์ล่ะ?”
“ลี่เอ๋อร์มีธุระจึงมาไม่ได้เพคะ” ฉินไท่เฟยรีบออกหน้าตอบแทนมู่อวิ๋นจิ่น
ฝ่าาซีิก้มพระพักตร์แทนเมื่อได้ยินคำตอบ
จากนั้นค่อยหันกลับมาที่มู่อวิ๋นจิ่นอีกครั้ง ยกถ้วยสุราขึ้นพร้อมตรัสว่า “อวิ๋นจิ่น วันที่เ้าออกเรือนกับลี่เอ๋อร์ เจิ้นมีงานชาติบ้านเมืองอันเร่งด่วน จึงไม่มีเวลาไปร่วมร่ำสุราแสดงความยินดีแม้แต่จอกเดียว”
เมื่อได้ยินฝ่าาซีิตรัส มู่อวิ๋นจิ่นพลันชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นยกแก้วสุรา ก่อนจะลุกยืนขึ้นพลางเอ่ยปากที่สั่นเครือของตน“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ อวิ๋นจิ่นมิอาจและเข้าใจในงานเพคะ”
ฝ่าาซีิยกมือขึ้นโบกปฏิเสธให้มู่อวิ๋นจิ่น “นั่งลงเสียเถอะ วันนี้เป็งานเลี้ยงในครอบครัว มิต้องคำนึงถึงกฎระเบียบมากมายอะไรทั้งนั้น”
เมื่อเห็นว่าฝ่าาซีิมิได้หาเื่นาง มู่อวิ๋นจิ่นค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะนางจำฝังใจว่าฝ่าาองค์นี้เคยต่อต้านงานแต่งงานของนาง
ด้วยเหตุนี้การเรียกฝ่าาว่าเสด็จพ่อ จึงเปล่งออกมาด้วยความเก้อเขิน
หลังจากที่งานเลี้ยงดำเนินไป่หนึ่งแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นคีบอาหารที่วางอยู่เบื้องหน้าทานอย่างช้า ๆ ก่อนพยายามเหล่ตามองฉู่ชิงเฉียง
นับั้แ่ที่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ฉู่ชิงเฉียงชำเลืองมองไปที่มู่อวิ๋นหานไม่ต่ำกว่าห้าครั้งแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นยกน้ำชาขึ้นมาจิบพร้อมกับนึกในใจ หากสตรีผู้นี้มาเป็พี่สะใภ้ของนาง เกรงว่าความวุ่นวานในจวนอัครเสนาบดีต้องมีไม่หยุดหย่อน
“เห้อ บรรยากาศในวันนี้ดีเสียจริง อายเจียอยากจะดื่มให้ลี่เอ๋อร์และอวิ๋นจิ่นในโอกาสออกเรือนใหม่ แต่ลี่เอ๋อร์กลับไม่ได้มาในงานเลี้ยง” เจิ้งไทเฮาแสร้งถอนหายใจเสียงดังออกมา จนทุกคนในที่นั้นได้ยินจนหมด
หลังสิ้นเสียง เจิ้งไทเฮาส่งยิ้มมุมปากให้มู่อวิ๋นจิ่นก่อนจะเอ่ยว่า “อวิ๋นจิ่น ั้แ่ที่เ้าแต่งกับลี่เอ๋อร์ อายเจียคิดว่าเ้าจะมายกน้ำชาให้อาเจีย แต่อายเจียรออยู่ที่ตำหนักเฟิงิทั้งวัน กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเ้าเลย”
“นี่เป็กล่องแสดงความยินดีที่อายเจียเตรียมไว้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ส่งออกไป ถือโอกาสในวันนี้ที่จะได้พบหน้าพอดี อายเจียจึงให้นำมาด้วย” หลังจากนั้นแม่นมหยางก็ถือกล่องเดินไปยืนด้านหน้ามู่อวิ๋นจิ่นและเปิดขึ้น
“นี่เป็สร้อยไข่มุกจันทราอันล้ำค่าที่อาณาจักรเป่ยินำมาถวายเป็บรรณาการ เ้าใส่แล้วจะต้องเหมาะสมยิ่งนัก” เจิ้งไทเฮากล่าวแย้มยิ้ม
มู่อวิ๋นจิ่นจ้องมองไปที่สร้อยเส้นนั้น ทั้งสีสันวรรณะเป็ของชั้นเลิศ แต่เื่นี้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เจิ้งไทเฮาจะมาไม้ไหนกันแน่
ในตอนนั้นเอง ลี่เฟยที่นั่งอยู่ตรงข้ามร้องด้วยเสียงทึกทัก “สร้อยไข่มุกจันทราช่างดึงดูดสายตายยิ่งนัก ดูท่าไทเฮาต้องรักใคร่ในชายาหกจากใจจริง”
“ในเมื่อชายาหกยังไม่เคยได้ยกน้ำชาให้ไทเฮา เช่นนั้นถือโอกาสนี้ยกน้ำชาได้เลย มิเช่นนั้นหากเป็ฝ่ายรับอยู่ทางเดียวคงไม่เหมาะใช่หรือไม่?” ลี่เฟยหัวเราะออกมา
มู่อวิ๋นจิ่นกัดริมฝีปาก พร้อมกับเงยหน้ากวาดสายตาไปทางลี่เฟยที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เกริ่นมาเสียยืดยาว ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้สินะ!
ลี่เฟยแสยะยิ้มให้กับมู่อวิ๋นจิ่น จากนั้นหันไปมองฝ่าาซีหยวน พร้อมกับเอ่ยอย่างออดอ้อน “ฝ่าาเห็นด้วยหรือไม่เพคะ ว่าธรรมเนียมมิอาจขาดได้”
ฝ่าาซีหยวนพยักหน้าขึ้นลง ก่อนหันมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “ในเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ยกน้ำชาให้ครบคนตามธรรมเนียมแล้วกัน”
สีหน้าของฉินไท่เฟยไม่ค่อยจะพอใจเสียเท่าไหร่ ในเมื่อฝ่าาตรัสออกมาเช่นนี้ นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ภายในใจกลับต่อว่าสาปแช่งยายแก่เจิ้งไทเฮา ที่ให้มู่อวิ๋นจิ่นต้องมานอบน้อมให้กับมัน
นี่เป็ครั้งแรกที่มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกทำตัวไม่ถูก ในตำหนักแห่งนี้ล้วนเป็คนที่สำคัญและมีอำนาจในอาณาจักรซีหยวน นางจึงไม่อาจล่วงเกินได้
ทว่าหากยกน้ำชาให้กับเจิ้งไทเฮาเช่นนี้ ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกเสียเปรียบเป็อย่างยิ่ง
“ใครก็ได้ ไปเตรียมน้ำชามาที!” ลี่เฟยเอ่ยปากหันไปทางมู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งตรงข้าม แววตาเปี่ยมด้วยชัยชนะที่สำแดงออกมา
ไม่นานนัก นางกำนัลคนหนึ่งก็เดินถือถาดที่วางน้ำชามาหนึ่งถ้วย
มู่อวิ๋นหานหันมองมู่อวิ๋นจิ่น เมื่อเห็นนางหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงเอ่ยกับน้องสาวด้วยเสียงแ่เบาว่า “อดทนไว้ อดทนเอาไว้”
ในขณะที่มู่อวิ๋นจิ่นกำลังเตรียมตัวลุกขึ้นเอื้อมหยิบถ้วยน้ำชา เสียงของขันทีก็ดังขึ้น “องค์ชายหกถึงแล้ว”
พอสิ้นเสียงขันที มีบุรุษในชุดสีม่วงก้าวเดินเข้ามาในตำหนัก แววตาดำขลับ และรู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านออกมา
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นเห็นฉู่ลี่เดินเข้ามา นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ฉู่ลี่คารวะฮองเฮาซีหยวน จากนั้นมองไปรอบ ๆ หามู่อวิ๋นจิ่นแล้วเดินไปนั่งข้างนาง
มู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งอยู่ััได้ถึงบุรุษในชุดสีม่วง ที่แผ่ซ่านความหนาวเหน็บ จนนางต้องสะดุ้งโหยง
ฉู่ลี่นั่งลงเป็ที่เรียบร้อย จู่ ๆ เสียงของลี่เฟยก็ดังขึ้นมาจากฝั่งตรงข้าม “ชายาหก ในเมื่อรับของขวัญไปแล้ว ตอนนี้รีบยกน้ำชาเร็วเข้าเถิด มิอย่างนั้นจะเย็นเอาได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่ลี่ก็เห็นกล่องของขวัญที่มีสร้อยไข่มุกวางอยู่เบื้องหน้า จากนั้นใช้สายตาพิฆาตจ้องไปที่ลี่เฟย
“ยกน้ำชาให้ใครกัน?” น้ำเสียงเปล่งด้วยความไม่พอใจแฝงความเด็ดขาด
ลี่เฟยถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาพิฆาตนั้นจ้องมองมาที่นางจนนางต้องรีบหลลบสายตา และเบนหน้าหันไปยิ้มและพูดกับเจิ้งไทเฮาว่า “ชายาหกรับของขวัญจากไทเฮาไปแล้ว ตามธรรมเนียมชายาหกก็ควรมายกน้ำชาให้ไทเฮาถึงจะถูกเพคะ”
“งั้นหรือ” ฉู่ลี่เอ่ยเสียงนิ่งจนดูน่าสะพรึง
มู่อวิ๋นจิ่นที่ได้ยินฉู่ลี่เอ่ยก็รีบก้มหน้าชำเลืองมองเขา “ของขวัญนี่…”
กำลังจะเอื้อนเอ่ยต่อไป ฉู่ลี่กลับแทรกขึ้นมาว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ คืนของขวัญกลับไปก็แล้วกัน!”
ทุกคนในตำหนักต่างเบิกตาโพลงกันทั่ว
แม้กระทั่งมู่อวิ๋นจิ่นเอง แม้จะเป็เช่นนั้นแต่นางก็แอบก้มหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อยากจะยกนิ้วโป้งชื่นชมฉู่ลี่เหมือคนในยุคปัจจุบัน
ในตำหนักถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบ ฉินไท่เฟยแอบหัวเราะคิกคักขึ้นมา จนทุกสายตาหันไปจับจ้อง ทำให้นางต้องยกมือขึ้นโบกไปมา “ไม่มีอะไร พวกเ้าไม่ต้องมองอายเจีย อายเจียแค่นึกถึงเื่ขำขันขึ้นมาได้เื่หนึ่ง”
เจิ้งไทเฮาเดือดดาลเป็ที่สุด ฉู่ลี่ฉีกหน้านาง ซ้ำะฉินไท่เฟยยังหัวเราะเยาะนาง ทำให้นางอับอายจนทำตัวไม่ถูก ทว่ามิอาจแสดงอาการออกมาได้
ลี่เฟยที่เห็นเหตุการณ์รีบเอ่ยยิ้ม ๆ กู้หน้าแทนเจิ้งไทเฮา “องค์ชายหกพูดเป็เล่นไปได้ ของขวัญส่งออกมาย่อมไม่รับคืน มิอย่างนั้นจะไม่เป็มงคล”
“พิธียกน้ำชาเป็ประเพณีที่สืบทอดกันมาจากบรรพชน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็สัญลักษณ์แสดงถึงความเป็มงคล การให้ชายาหกถือโอกาสนี้ยกน้ำชา ก็เพื่อให้บรรยากาศดูคักคักขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง”
ฉู่ลี่ได้ฟังถึงกับแสยะยิ้ม “ในเมื่อลี่เฟยหลงใหลกับการยกน้ำชา เช่นนั้นของขวัญชิ้นนี้ยกให้ลี่เฟยแล้วกัน ส่วนการยกน้ำชาก็เชิญทำแทนให้ด้วย”
สิ้นเสียงลง ฉู่ลี่หยิบกล่องของขวัญที่บรรจุสร้อยไข่มุกจันทราตรงหน้ามู่อวิ๋นจิ่น โยนลอยไปตกอยู่หน้าลี่เฟยด้วยความดูแคลน
ลี่เฟยสีหน้าซีดเผือด
ฝ่าาซีหยวนเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ได้ตรัสกับฉู่ลี่อย่างจนปัญญาว่า “ลี่เอ๋อร์จะเสียมารยาทไม่ได้”
“ลี่เอ๋อร์ก็มีนิสัยแบบนี้เพคะ งานเลี้ยงในครอบครัววันนี้ ลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้า อย่ามัวคิดแต่เื่ยกน้ำชาเลย ยิ่งไปกว่านั้นอายเจียได้ดื่มน้ำชาที่อวิ๋นจิ่นยกไปแล้ว นับเป็มงคลไปแล้วเพคะ” ฉินไท่เฟยโน้มน้าวฝ่าา
ฮองเฮาที่นั่งนิ่งอยู่นานกลับเอ่ยเห็นด้วย “ถูกต้องแล้ว หากวันนี้ลี่เอ๋อร์ไม่มา งานเลี้ยงวันนี้เหมือนดูขาดหายอะไรไป ในเวลานี้ถือว่ามาพร้อมหน้าพร้อมตาทุกคนแล้วเพคะ”
เมื่อได้ยินคำว่า “พร้อมหน้าพร้อมตา”สีหน้าของฝ่าาซีหยวนจึงค่อยดีขึ้น
เื่ยกน้ำชาในเวลานี้ถูกฉู่ลี่ทำให้ผ่านไป
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นว่าไม่มีใครติดใจกับเื่ยกน้ำชาแล้ว นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก หันชำเลืองมองฉู่ลี่ที่อยู่ด้านข้าง หนึ่งเดือนแล้วที่ไม่ได้เห็นฉู่ลี่ผู้นี้ดูเหมือนเขายิ่งเ็ากว่าเดิมขึ้นมาก
สงสัยหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เขาคงพบเจอเื่ที่ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหหร่นัก
พอคิดมาถึงตรงนี้ แม่นมเสิ่นที่อยู่ด้านข้างกลับสะกิดแขนของมู่อวิ๋นจิ่น เอ่ยเสียงแ่เบาขึ้นว่า “พระชายารีบรินสุราให้องค์ชายหกเร็วเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นที่มัวแต่คิดไปเรื่อยกลับได้สติคืนมา รินสุราให้ฉู่ลี่อย่างจำยอม
นางเอื้อมมือไปหยิบกาสุราขึ้นมารินใส่ถ้วยให้ฉู่ลี่จนเต็มปริ่ม
จากนั้นแม่นมเสิ่นได้สะกิดมู่อวิ๋นจิ่นอีกครั้ง กระซิบกระซาบอีกที “รีบคีบอาหารให้องค์ชายหกเร็วเถอะเ้าค่ะ”